วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ส่งท้ายปีมังกร 2012




            นั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่พวกเราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้ากระดาน ข้อความ หรือตอนออนไลน์สดแลกเปลี่ยนกัน   สิ่งที่ตัวเองมีคนถาม และมักจะบอกกับหลายท่านบ่อย ๆ เกี่ยวกับการจัดการพฤติกรรมของลูกที่ไม่เหมาะสม พฤติกรรมที่เป็นปัญหา  นั่นคือ

            ให้มีสติ ใจเย็น ๆ คุยกันตอนที่ใจเราพร้อมและลูกพร้อม อันนี้บอกกันบ่อย ๆ เนอะ  แล้วก็จะมีคำถามย้อนกลับมาอีกว่า “แล้วทำยังไงให้ไม่โกรธ  ให้ใจเย็น ๆ อย่างแม่ดาวได้”  ฮ่าๆๆ ไม่อยากไม่ใครมาเหมือนเลย ปัจจุบันก็ยังต้องฝึกฝนในการควบคุมอารมณ์อยู่เนือง ๆ  ขอย้ำต้องฝึกฝน ค่ะอย่างที่บอกกันบ่อย ๆ ตัวแม่ดาวเองเดิมทีเป็นคนนิสัยไม่ค่อยจะดีนัก  อีกทั้งสะสมความโกรธเอาไว้มากมาย โกรธง่าย หายก็ยาก  สามีนี้ต้องลำบากใจมากเหนื่อยมากเวลาจะง้อ ฮ่าๆๆ  ปัจจุบันดีขึ้นมากมายค่ะ  เรียกว่าตอนแรก ๆ ที่เริ่มทำได้ครูดี คอยแนะนำ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ครูใหม่และครูหม่อมเช่นเคย

            ดังนั้นวันนี้จะสรุปอีกทีเป็นข้อสั้น  ๆ ถึงวิธีการที่แม่ดาวทำให้ระยะแรก ๆ ถึงปัจจุบัน

            วิธีแรก เมื่อรู้ตัวเรากำลังโกรธให้เดินหนีไปจากจุดเกิดเหตุค่ะ    ง่ายมากวิธีนี้  แรกๆ  ทำแบบนี้บ่อยมากๆๆ  ด้วยบางทีเราโกรธมาก เห็นพฤติกรรมอันน่าปวดหัว  พอโกรธจัด ๆ มันจะคิดคำพูดดี ๆ ไม่ออก เรียกว่าคิดดี ทำดีไม่ได้  ต้องเดินหนีไปเลย   หากถามว่าแล้วแรก ๆ  ตอนที่โกรธปรี๊ดแตก หยุดตัวเองไม่ให้พูด ไม่ให้ทำอะไรได้ยังไง  ....อืม  เรียกว่า  แม่ดาวคิดไว้ว่าจะพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้  เรียกว่าวางเป้านี้ไว้ตั้งแต่ตื่นนอนมา  ว่าวันนี้ หากลูกทำอะไรให้ต้องโกรธจะหยุดตัวเองให้ได้ อย่าปากไว คิดไว เหมือนทุกครั้ง  เรียกว่าพยายามมีสติ   แต่หากสติยังพอมีก่อนไปจะพูดกับลูกว่า “ตอนนี้แม่ยังไม่พร้อมที่จะคุยกับลูก แม่ขอเวลาสงบสติอารมณ์สักพัก” ประมาณนี้ แล้วค่อยเดินหนีไป    ปัจจุบันการกระทำนี้น้อยมาก หรือแทบไม่ได้ทำเลย

            วิธีที่ 2.    สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  หยุดนิดนึงแล้วค่อย ๆ หายใจออกช้า ๆ  ทำแบบนี้สัก 3-5 ครั้ง ก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง  คือบางทีเราอาจไม่สามารถเดินหนีไปได้  อาจหลับตาจะได้ไม่ต้องเห็นภาพอะไรที่กระตุ้นอารมณ์โกรธของเรา อาจได้ยินเสียงอยู่  เทคนิคนี้สำคัญคือเราต้องเอาใจของเราไปไว้ที่ลมหายใจของเรา  เช่น หายใจเขาลึก ๆ  ท้องป่องแล้ว เต็มที่แล้ว หยุด เอาหล่ะ ที่นี้หายใจออกเบา ๆ ค่อย ๆ ผ่อนออก ท้องแฟ่บแล้ว  คือตามสังเกตุอาการทางกายของเรา  ตามลมหายใจเราไป จากปลายจมูก ไปถึงไหน ยังไง ประมาณนี้    วิธีนี้ยังใช้อยู่เรื่อย ๆ ค่ะ สำหรับตัวเองแล้วมันช่วยได้มาก

            วิธีที่ 3.   ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า  เรากำลังโกรธลูกเรื่องอะไร  เขาทำอะไรเราถึงโกรธ  แล้วเราจะจัดการพฤติกรรมนี้อย่างไร  ประมาณนี้ค่ะ   คือ พอเราโกรธปุ๊บ รู้ว่าโกรธ แทนที่จะปล่อยอารมณ์โกรธระเบิดใส่ลูกเลย หยุดแล้วคิด การหยุดแล้วคิด ต่อให้คิดไม่ออกในขั้นจะจัดการพฤติกรรมลูกอย่างไรดี  มันเป็นการช่วยให้เรามีสติมากขึ้น ความโกรธมันจะลดลง

            วิธีที่ 4.    การฝึกสติ  แต่ละวันที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอน ให้พยายามระลึกรู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไร สังเกตุอาการทางกายและใจบ่อย ๆ   การสวดมนต์ไหว้พระ  และสุดท้ายคือการนั่งสมาธิ  ไม่ต้องหวังนะคะว่าจะไปถึงณานไหนยังไง ฮ่าๆๆ  เราเอาแค่ความสงบ  แรก ๆ อย่างที่บอกมันไม่สงบหรอกค่ะ  นั่งแรก ๆ มันจะฟุ้งมาก อย่าไปกดดันตัวเอง  “นั่งเล่น ๆ แต่ทำจริง ๆ” อันนี้จำมาจากท่านพระไพศาล  หมั่นทำ หมั่นฝึก  แล้วจะเห็นผล  หลัง ๆ ตัวเองก็เกียจคร้านไม่ค่อยจะได้นั่งสมาธิเลย  เห็นความต่างเลยค่ะ ใจมันจะฟุ้งง่าย ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้ไหม แต่ตัวเองเป็น  แต่ก็ไม่ถึงขนาดกลับไปเป็นคนเก่า  เพราะถึงไม่ได้นั่งสมาธิแต่พยายามมีสติกับชีวิตประจำวัน เห็นว่าตัวเองนั่งสมาธิแล้วดีขึ้นมากแบบผิดเป็นคนละคน เลยอยากชวนคนอื่นลองทำดูบ้าง  ลองดูไม่เสียหายนะคะ  แต่ต้องลองกันนาน ๆ สักหน่อย ทำติด ๆ กันจะเห็นผลจ้า

            สุดท้ายนี้  ชวนกันทบทวนตัวเองเนอะ ปีเก่าที่กำลังจะผ่านไปมีอะไรที่เราไม่ชอบ อยากจะแก้ไขตัวเองบ้าง เขียนออกมา และพยายามทำให้ได้อยากที่คิดเนอะ  คิดแล้วไม่ทำ กรรมก็ไม่เปลี่ยนนะคะ 

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ใครผิด....





        เกิดแรงบันดาลใจอยากจะพิมพ์เรื่องนี้ขึ้นมาได้ฟังรายการพ่อแม่พันธุ์ใหม่หัวใจเกินร้อย เรื่องเกี่ยวกับ “พ่อควรเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกอย่างไร”

        ฟังแล้วนึกถึงครอบครัวของตัวเองมาก อย่างที่บอกอะไรไม่ดีก็ต้องตีแผ่เนอะ แบ่งปันประสบการณ์ ถึงไม่ดีสำหรับเรา แต่มันเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนอื่น  ก่อนอื่นต้องขออโหสิกรรมต่อผู้ที่จะกล่าวถึงก่อน คือ สามี ฮ่าๆๆๆ เริ่มแบบนี้รู้แล้วชิมิ นินทาสามีชัวร์      น้องดีโด้ปัจจุบันอายุ 5 ขวบครึ่งแล้วค่ะ  นิสัยอย่างหนึ่งที่ไม่ดีมาก ๆ สำหรับความคิดเราที่เขาเหมือนพ่อเหลือเกิน คือ ไม่เคยผิด  หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เช่น วิ่งเล่นด้วยกัน แล้วเขาล้มเอง เขาจะโทษคนที่อยู่ใกล้เขา ส่วนมากก็คือ แม่ดาวนี่แหละ “เป็นเพราะแม่คนเดียว ดีโด้ล้มเจ็บเลยเห็นไหม”  หรือเดินถือแก้วน้ำ เทน้ำล้นเดินถือจะวางที่โต๊ะทำน้ำหก ก็จะบอกอีก 

“เพราะแม่เปิดทีวีเสียงดัง ดีโด้เลยตกใจทำน้ำหก”  เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เป็นมานานแล้วค่ะ ก็ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ บอก มีนิทานเรื่องหนึ่งดีมากสำหรับสอนเรื่องนี้  เรื่อง “ดาบของหมีใหญ่”  เคยยืมเพื่อนลูกมาอ่านให้ลูกฟัง เป็นโครงการแลกเปลี่ยนนิทาน แลกกันอ่าน ฮ่าๆๆ ไปหาซื้อก็หาไม่ได้  ดีโด้ก็ชอบเรื่องนี้มาก แม่เองก็ชอบมากเช่นกัน  

        สาเหตุก็คือ พ่อแบบในครอบครัวนี่แหละค่ะ  สามีจะเป็นคนเจ้าระเบียบ ขี้บ่น จุกจิก ช่างตำหนิ มักจะต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกเสมอ ๆ  ถึงจะคุยกันแล้วว่า แบบนี้ไม่ดีนะคะ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกเห็น และลูกจะทำตามอย่างได้   แต่หากคนเราไม่ฝึกสติ ไม่พยายามฝืนตัวเอง จะไม่เห็นตัวเอง  ไม่ว่าลูกจะสะท้อนพฤติกรรมของมาแบบเขาเลยก็ตาม เขาก็จะไม่มองที่ต้วเอง เพราะนั้นคือ สิ่งที่มันปลูกฝังหยั่งรากลึกจนยากจะแก้ไข  แต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้ แม่ดาวเองยังขุดนิสัยไม่ดีมากมาย ค่อย ๆ ขุดทิ้งไปทีละนิด ทีละนิด เหนื่อยและหนักนะ แต่ต้องทำ   และขอบอกว่าหลายอย่างก็ทำได้ดีเกินคาด

        ยกตัวอย่าง  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าลูก   เสื้อตัวหนึ่งของสามีหายไป พยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เราก็พยายามคิดทบทวนในส่วนของตัวเองก็คิดว่าไม่มีแน่ ๆ   ถามต่อให้เขาช่วยคิดว่าไปใส่แล้วลืมไว้บ้านแม่ (ของเขา) หรือไม่  เขาก็ยืนยันว่าไม่แน่ ๆ  เขาไม่เคยใส่ตัวนี้ไปบ้านแม่เลย  เราก็คล้าย ๆ ว่าจะจำได้ว่าเขาเคยใส่ไป  คือบางทีใส่ไปแล้วต้องไปถอดแขวนไว้ก่อน เพราะต้องซ่อมข้าวของเครื่องใช้ในบ้านในแม่  ทำเสร็จก็จะใส่กลับ แต่บางทีลืมถอดใส่จนเลอะ ก็จะเปลี่ยนเอาตัวใหม่ในบ้านแม่ใส่กลับมา   แต่จะไม่บ่อยมากที่จะลืมเปลี่ยนเสื้อ  เขาก็จะโทษว่าเราตากผ้าไม่ดี ลมคงพัดปลิวตกไป หายไปแล้ว  สุดท้าย คือ อยู่บ้านแม่เขาจริง ๆ      กุญแจรถหายทั้ง ๆ ที่เขาถือไว้เองตลอด  เขาก็ยังพยายามมายัดความผิดให้เรา ถามว่า “เราถือไม่ใช่เหรอ”  เรื่องพวกนี้เวลาเกิดขึ้น เมื่อก่อนก็จะเถียงกัน แต่พอลูกพูดว่า “หยุด อย่าเถียงกันได้ไหม” แค่นั้นเราก็ได้สติ  หยุด แต่เขาไม่ค่อยจะหยุด  

        ปัจจุบันหากเจอเหตุการณ์พวกนี้ ตัวเองก็จะนิ่ง ๆ ค่อย ๆ คุย ค่อย ๆ บอกให้เขามีสติ แต่เวลาคนมันขาดสติ ก็ยากนะคะ ที่จะแค่ส่งสัญญาณแล้วเขาจะรู้สึกได้  ถึงบอกว่ามันต้องฝึกการมีสติ   แต่มีเรื่องหนึ่งที่ตัวเองควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบากคือ การทะเลาะกันเวลาขับรถ  หากตัวเองขับรถนั้น แล้วสามีจุดประกายไฟนั้น จะดับได้ยาก  แต่จะดับเร็วเลยหากลูกพูดขึ้นมาว่า “หยุด อย่าทะเลาะกัน”  

        ความคิดที่ต้องการส่งต่อคือ  ไม่ว่าจะอย่างไร เราไม่ควรจะต่อว่า ตำหนิกันและกัน โดยเฉพาะต่อหน้าลูก  ตัวเองพยายามอย่างมาก เพราะได้รับผลของการเลี้ยงดูมาโดยที่มีแม่คอยตำหนิว่าพ่อบ่อย ๆ  สิ่งที่จะบอกสำหรับตัวเองคือ ตัวเองกลับไม่ได้มองว่าพ่อไม่ดี แต่กลับหันมาแอบตำหนิแม่แทน แปลกไหม  เรารักทั้งพ่อและแม่ ออกจะรักแม่มากกว่าด้วยนะคะ แต่กลับไม่พอใจหลาย ๆ ครั้งที่แม่ต่อว่าพ่อ  ลึก ๆ จะมีคำถาม “แล้วไม่รักกันจะทนอยู่ด้วยกันทำไม” เสมอ  มันเหมือนลึก ๆ มันมีความกลัวเขาจะแยกทางกันด้วยแหละ  คิดว่า หากเป็นลูกคงไม่มีลูกคนไหน อยากได้ยินคำร้าย ๆ ที่พ่อแม่พูดถึงกันแน่ ๆ 

        ดังนั้นควรพยายามฝึกสติเรื่อย ๆ จะได้มีสติ รู้ทันอารมณ์ ความคิด การกระทำคำพูดตัวเอง บางทีมันหลุดไปแล้ว ไม่ทันแต่ยังรู้ตัว หลุดแล้วก็หยุด หยุดให้ได้ ขอโทษลูกว่า  สิ่งที่แม่พูดแม่ไม่ควรพูดเลย ให้เขารู้ว่าแบบนี้คือไม่ดี ไม่ควรทำ ไม่ควรพูด  หากเวลาที่สามีตำหนิเรา  ก่อนนอน หรือเวลาที่ใจลูกสบาย ๆ จะค่อย ๆ คุยกับลูกว่า “ป๊าว่าแม่แบบนี้ แม่รู้ว่าดีโด้ไม่ชอบ แต่อยากให้ดีโด้เข้าใจว่าป๊าเราปรารถนาดีต่อแม่  แต่ป๊าเขาเลือกคำพูดไม่ค่อยเป็น”

        ยกตัวอย่างบทสนทนาดีกว่า
        เวลาที่สามีตำหนิ หน้าตา ท่าทางน้ำเสียงจะแสดงออกแบบยักษ์ ฮ่าๆๆ  ดีโด้บางทีเขาก็จะบอกสวนไปว่า  “อย่ามาว่าแม่นะ”   “หยุดอย่ามาว่าแม่ดีโด้” แต่บางทีเขาก็ฟังเฉย ๆ แต่แสดงอาการไม่พอใจ   หลังจากนั้นเวลาจะนอนหากเกิดเหตุการณ์ เรามักจะคุยกัน เขาจะบ่น ๆ ว่า
กรณีหากแม่ดาวทำผิด
ดีโด้           ดีโด้ไม่ชอบป๊า ดีโด้ไม่รักป๊าแล้ว
แม่            ดีโด้โกรธป๊าเหรอ
ดีโด้          ใช่
แม่            แล้วโกรธป๊าเรื่องอะไรครับ
ดีโด้          ป๊าชอบว่าแม่  ดีโด้ไม่ชอบ ดีโด้ไม่รักป๊าแล้ว
แม่            นี่ดีโด้คงโกรธป๊ามากเลยนะเนี้ย
ดีโด้          ใช่
แม่            ป๊าว่าแม่   แม่เองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่แม่ไม่โกรธป๊านะ แค่ไม่ชอบคำพูด แต่ไม่โกรธตัวป๊า 
ดีโด้          ดีโด้โกรธป๊าและไม่ชอบคำพูดป๊าด้วย  (หงุดหงิดเหมารวมเลย)
แม่            ก็แม่รู้ว่า ป๊าเขาเป็นคนพูดจาแบบนี้ แต่ในใจป๊าเขารักและหวังดีกับแม่นี่ครับ แค่ป๊าเขาเลือกใช้คำพูดไม่เหมาะสม  ลูกชอบไหมเวลาเราทำผิด แล้วใครมาพูดตำหนิเราแบบนี้  
ดีโด้          ไม่ชอบ ถ้าป๊าว่าดีโด้แบบนี้นะ ดีโด้จะเถียงกลับ
แม่            นั่นซิ แม่ก็ไม่ชอบ  ดีโด้ก็ไม่ชอบ  แม่คิดว่าป๊าเองก็ต้องไม่ชอบด้วย คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ดีโด้คิดว่าไง
ดีโด้          ดีโด้ว่า ป๊าชอบ  แม่กับดีโด้กับคนอื่น ๆ ไม่ชอบ
แม่            อืม....นั่นซิ เราคิดต่างกันเนอะ แต่เหมือนกันตรงที่ ดีโด้ แม่ และคนอื่น ๆ ไม่ชอบ  แล้วหากว่ามีใครทำอะไรผิด ลูกจะพูดกับเขายังไง

โยนคำถามให้เขาลองตอบ ลองพูดตามความคิดว่า เขาจะเลือกใช้คำพูดอย่างไร   หากพูดดีแล้วก็ชมและบอกว่าแบบนี้ดี   หากไม่ดี ก็ไม่ตำหนิ แต่ให้ใส่ความคิดเห็นเราเข้าไปแทน  เช่น  “เอ...หากเป็นแม่นะ แม่จะบอก....................................”  แล้วสมมุติเหตุการณ์ให้เขาเป็นคนทำอะไรผิดสักอย่าง แล้วใช้ 2 ประโยคที่เขาคิด กับเราคิดพูดให้เขาฟัง  ว่าแบบไหนรู้สึกดีกว่ากัน  เชื่อว่าเด็กเขาคงเลือกในสิ่งที่ถูกค่ะ ขนาดดีโด้มีความยึดมั่นถือมั่นกับความคิดตัวเอง พอใช้สถานการณ์แบบนี้เขายังเลือกในคำพูดที่ดีของความคิดแม่ดาวเลย

กรณีหากป๊าทำผิดกันเห็น ๆ  แต่ไม่ยอมรับผิด ตะแบงเถียงข้าง ๆ คู ๆ แถไปเรื่อย  พยายามโยนความผิดไปให้อย่างอื่นแทน  เวลาคุยจะไม่ได้คุยต่อหน้าป๊านะคะ จะเลือกคุยกันในจังหวะที่ใจสบาย ๆ ทั้งคู่ แต่จะคุยวันที่เกิดเหตุแหละ

ดีโด้          เป็นเพราะป๊าคนเดียวทำกุญแจรถหาย เราเลยกลับบ้านไม่ได้
แม่            ดีโด้ครับ  แม่ว่า ป๊าเขาก็รู้ตัวแหละว่าผิด  แค่นี้ป๊าเขาก็เครียดมากอยู่แล้วดีโด้เห็นไหม   เวลาดีโด้ทำผิดแล้วก็รู้ตัวแล้วว่าผิด  แต่ป๊ายังมาตำหนิดีโด้ต่อไม่จบ  พูดวน ๆ แบบนี้ดีโด้รู้สึกยังไง
ดีโด้          ไม่ชอบ ดีโด้จะเถียงป๊า ทำเสียงดัง ๆ ให้ป๊ากลัวเลย แบบนี้ ...........ทำเสียงให้ฟัง
แม่            อืม.....มันจะรู้สึกโกรธแทนที่จะรู้สึกผิดใช่ไหม (ขำๆ)  เมื่อก่อนแม่ก็เป็นแบบนี้บ่อย ๆ เลย  แต่พอแม่ฝึกการมีสติ จะรู้ทันว่าเราโกรธ พอเรารู้เจ้าความโกรธมันจะอายนะ ที่เรารู้ทัน มันก็จะหนีหายไป  แล้วก็จะไม่ค่อยจะโกรธเลย พอไม่โกรธก็ไม่ทุกข์  ใจสบาย ๆ  ไม่แก่เร็ว  ดีโด้อายุแค่นี้หากฝึกแต่เด็กจะได้ผลดีกว่าแม่เยอะเลย จะได้หน้าใส อ่อนวัยไปนาน ๆ ไง

ก็มีสอนเรื่อย ๆ ค่ะ ฝึกสติ แต่ไม่ได้ว่าจะต้องทำ บังคับทำ สอนเมื่อเขาดูจะฟังเรา พูดเมื่อเขาพร้อมจะฟัง ให้ลองทำถ้าเขาพร้อม เป็นแบบสนุก ๆ มากกว่า

มาต่อ  

แม่            เวลาที่ใครในครอบครัวทำผิด ดีที่สุดในความคิดแม่คือ ไม่ใช่เฝ้าตำหนิ แต่ให้ช่วยเหลือ คิดหาวิธีแก้ไขและให้กำลังใจ  ไม่มีใครอยากทำผิด แต่บางทีมันก็เผลอทำผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ใช่ผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ ไม่ปรับปรุงตัวเองเลย  ดีโด้คิดว่าไง

ดีโด้          ดีโด้ก็คิดเหมือนแม่เลย 

แล้วดีโด้ก็เล่าเรื่องตัวเองที่โรงเรียนให้ฟัง เรื่องที่เพื่อนเขาทำผิด แล้วเขาให้อภัย เขาพูดอะไรกับเพื่อนยังไง  

ที่สำคัญเวลาฟังเราต้องใส่ใจ ตั้งใจฟัง ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องที่เขาพูด นะคะ 

        เหตุการณ์พวกนี้สอนให้รู้ว่า  อย่าทำหนิกันและกันให้ลูกฟัง  แม้แต่เรื่องของชาวบ้านนั้นก็ไม่ควร  เพราะลูกจะจำเป็นเยื่องอย่างนะคะ ตัวเองก็หมั่นหุบปากให้ทันเมื่อรู้ทันความคิดไม่ดีจ้า


***อาจจะอ่านแล้วกระโดด ๆ แปลก ๆ รีบพิมพ์ ค่ะ  กำลังจะเก็บของไปต่างจังหวัด  แต่พอคิดได้ก็อยากแบ่งปันเรื่องราวก่อนเก็บกระเป๋าเดินทางยาวไป 3 วัน







               

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หากเราไม่เห็นว่าสำคัญ เราจะไม่ทำมันจริงไหม





            อีก 1 เรื่อง ที่วนเวียนอยู่ในหัว จนในที่สุดคิดว่าถ่ายทอดเรื่องคาใจนี้ออกมาดีกว่า อันที่จริงก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่ มีเพิ่มบางส่วนเข้าไปนิด ๆ 

            การบ่มเพาะ สร้างระเบียบวินัย  คุณคิดว่ามันเกิดจากการบังคับ สั่งการ หรือเกิดจากการพยายามทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำ  ๆ ทำกันบ่อย ๆ จนชิน ติดเป็นนิสัย หรือคิดว่าเกิดจากอะไร

            อย่างที่รู้ ๆ กัน ตัวเองนั้น ก็พยายามบ่มเพาะปลูกฝังเรื่องพวกนี้กับลูกมาก็ประมาณ 2 ปีได้แล้ว ช่วงนึงเขาก็ทำได้ดี  แต่ช่วงนี้ก็แทบจะไม่เอาเลย  เลยทำให้ต้องมานั่งทบทวนเรื่องราวหลาย ๆ เรื่องทั้งที่เกิดจากตัวเอง(ก่อน)  ตัวเราเริ่มมีระเบียบวินัยได้ตอนไหนกัน    เอาแบบเริ่มมีระเบียบวินัยจริง ๆ โดยใช้ความพยายามอย่างมากฮ่าๆๆ เพราะก่อนหน้าในชีวิตส่วนตัวนั้นแทบจะไม่มีระเบียบวินัยกับเรื่องใด ๆ เลย ยกเว้นเรื่องการตรงต่อเวลา เรื่องนี้เรียกได้ว่าอยู่ในสายเลือด และยกเว้นในการทำงานนอกบ้านในสมัยก่อนหน้าจะมีลูก

            คิดว่าการที่เรานอนตื่นสาย  บ้านรก ก็เรื่องของเรา ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย หากเสาร์-อาทิตย์หยุดงาน ก็นอนตื่นสายได้ ซึ่งสมัยเรียนไม่ได้นอนตื่นสาย แต่นอนตื่นบ่ายกันเลยทีเดียว เป็นปกติของชีวิต  พ่อแม่ก็บ่น สั่งสอนมาตลอด สารพัดจะสอน แต่ไม่ทำ  เพราะไม่เห็นความสำคัญว่า ทำไมต้องทำ  เพราะตัวเองนั้นไม่ได้มีหน้าที่อื่น ๆ นอกจากกิน เรียน เล่น  อาจมีบ้างที่พ่อแม่ บอกให้ช่วยเหลืองานบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นหน้าที่ของตัวเองแต่อย่างใด 

            แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันซึมเข้าไปโดยเราไม่รู้ตัวคือ เรื่องการตรงต่อเวลา ที่บ้านจะให้ความสำคัญมากกับการที่ต้องไปโรงเรียนให้ตรงเวลา  ส่วนใหญ่ก็จะไปเช้ากว่าเวลาเยอะ ส่วนพ่อเองก็จะเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้มาก และพ่อจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญมากกับเรื่องนี้ ขนาดนัดกันไปเที่ยว หากทางฝ่ายเพื่อนนัดกี่โมงก็ต้องไปให้ถึงก่อนเวลาอย่างน้อยสัก 15 นาที ซึ่งส่วนมากก็ไปก่อนเป็นชั่วโมง  อันนี้เท่าที่สมองลูกนกอย่างแม่ดาวจะจำได้ฮ่าๆๆๆ   และพ่อเป็นคนมีวินัยกับการทำงานสูงมาก เป็นคนที่รับผิดชอบงานที่สุด  เรียกว่ามีตัวอย่างดี ๆ ให้เห็นอยู่ตลอดกับเรื่องพวกนี้ 

            ส่วนที่บ้าน แม่จะเป็นแม่บ้าน ลูกๆๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากที่กล่าวมาข้างต้น แม่ก็เป็นคนสบาย ๆ รักลูกมากๆๆๆๆ แต่อาจจะรักแบบผิดวิธีไปสักนิด ซึ่งอันนี้แม่ดาวก็เข้าใจเขาแหละ  เพราะมันมีเหตุของการกระทำ  เมื่อเราเข้าใจเหตุผลแล้ว ไม่คิดจะตำหนิ ท่านเลย เพราะท่านรัก เพียงแต่ท่านแค่ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงอย่างไรจึงจะถูกทาง  รักอย่างที่พ่อเองก็บ่นว่าแม่เสมอ ๆ “จะเลี้ยงลูกให้เป็นเทวดาหรือไง”  เป็นคำพูดที่ได้ยินจากปากพ่อบ่อยๆ  แต่แม่เองก็มีวิธีการสอนหลาย ๆ เรื่องที่ทำให้เราเป็นคนดีได้ แค่เราไม่มีระเบียบวินัยแค่นั้นฮ่าๆๆ  แม่มักสอนในเรื่องจิตใจ การช่วยเหลือคนอื่น การแบ่งปัน ฯลฯ โดยที่วิธีการสอนของแม่นั้น คือท่านทำให้เราเห็น ท่านอาจไม่รู้ตัวหรอกว่าการสอนแบบนี้ ดีกว่าการสั่ง  การพูด พร่ำบ่นขนาดไหน อิอิ  

            คำตอบตอนต้น คือ  แม่ดาวนั้นมีระเบียบวินัยจริง ๆ ได้ก็คงตอนเริ่มมีครอบครัว  และยิ่งเข้มข้นมากขึ้นตอนมีลูกนี่แหละ  เมื่อก่อนไม่เคยเห็นว่ามันสำคัญ  ก็สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ พอมีลูกแล้ว มันแจ่มชัดเองในความคิด ว่า แค่การพร่ำสอน ไม่ได้ผล เท่าการกระทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง  อันนี้รวมไปถึงทุก ๆ เรื่องไม่ใช่แค่ระเบียบวินัย  

            มาอีกตัวอย่าง  มีคนที่รู้จักสนิทหลายคน ที่เคยเรียนในโรงเรียนที่หากบอกไปทุกคนน่าจะต้องรู้จัก เรื่องระเบียบวินัยของโรงเรียนแห่งนี้เป็นที่ทราบกันดี  เป็นโรงเรียนชายล้วนชื่อดังเชียวแหละ  แต่ที่เห็นทุก ๆ ปิดเทอม พี่ท่านก็ยังนอนตื่นสาย ไม่มีระเบียบวินัยอยู่ดี  พ่อแม่หลาย ๆ คนคงคิดว่า ส่งลูกเข้าโรงเรียนแบบนี้แหละดี อยู่บ้านมันไร้ระเบียบวินัยเหลือเกิน ส่งไปดัดสันดานเสียให้เข็ด เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ จากปากพ่อแม่หลาย ๆ ท่าน  

            ปัจจุบันพี่ชายคนนี้ก็เป็นคนไม่มีระเบียบวินัยอะไรเลย แม้กระทั่งชีวิตการทำงาน  ไม่ชอบทำงานบริษัท ไม่เห็นความสำคัญของการที่ต้องไปทำงานให้ตรงต่อเวลา  จนกระทั่งมีลูก ๆ นั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน  ขนาดเวลากิน นอน ของลูกก็ยังไม่เป็นเวลาเช่นกัน   ไม่รู้มาอ่านจะเคืองกันไหม  แต่คิดว่าเรื่องมันมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คิดว่าทำบุญนะพี่นะ   ไม่ได้ตำหนิพี่ชายแต่อย่างใดเน้อ  เข้าใจ ว่าครอบครัวใครก็ครอบครัวมัน แต่อยากบอกว่า อนาคตมันจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นด้วยเหมือนกัน  บางนิสัยอาจไม่เดือดร้อนใคร เช่น กิน นอน แต่หากพวกเรื่องอื่น ๆ เช่น การตรงต่อเวลา อันนี้มีผลกระทบแน่  หากอยู่ร่วมกันในสังคม 

            แม่ดาวนั้นสมัยเรียนมักจะหงุดหงิด จิตเสีย กับเพื่อนในกลุ่มที่ทำรายงานด้วยกันอยู่เสมอ ๆ  นัด 9 โมง กว่าจะทยอยมากันครอบปากไป 10 โมง 11 โมง  กว่าจะรวมตัวกันได้ กว่าจะได้ทำงาน นี่ถ้าทำเองคนเดียวงานก็เสร็จไปนานแล้ว  อันนี้เรียกว่าทำกรรมนะคะ  ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนฮ่าๆๆ  ต้องขยายเวลา ลากยาวไปทั้งวัน บางทีก็ยันกลางคืน  แถมมากันแล้วแทนที่จะช่วยกันทำให้เสร็จ ก็เล่นไปทำไป อันนี้ขัดใจจริง ๆ  สมัยนั้นจะเป็นคนตึงมาก  ไม่ใช่คนเรียนเก่ง  แต่เวลาทำอะไรจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบค่อนข้างสูง  

            มาอีกนางที่รู้จักเรียนโรงเรียนประจำเช่นกัน  แต่ก็เป็นโรงเรียนชาย-หญิง  ตอนอยู่ที่โรงเรียนต้องตื่นเป็นเวลา ต้องอ่านหนังสือตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ฯลฯ ทุกอย่างต้องมีระเบียบวินัย  ปิดเทอมมาก็เหมือนเดิม   ปัจจุบันชีวิตนั้นก็แทบไม่เห็นความเป็นระเบียบวินัยในตัวพระน้องนาง 

            มาที่ตัวลูกชาย  น้องดีโด้  สังเกตุมาเรื่อย ๆ ถึงจะให้ทำบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ  แต่เขาก็ไม่จำ อันที่จริงต้องเรียกว่าเขาไม่ใส่ใจมากกว่า เพราะคิดว่า เขาไม่เห็นว่า ทำไมต้องทำแบบนี้  ถึงเราจะบอกเหตุผลไปแล้ว แต่มันเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าไปถึงใจเขา   เช่น การถอดเสื้อผ้ากองไว้  แม่ดาวจะบอกว่า  “แม่ไม่ชอบเลย เพราะบ้านเราจะดูรก แม่ไม่ชอบจริง ๆ และแม่ก็เหนื่อยมากที่ต้องพูดซ้ำ ๆ กับเรื่องที่ลูกก็รู้อยู่แล้ว”  เขาก็จะขอโทษ และให้เหตุผลว่า “ลืม”  ช่วงหลัง ๆ เป็นบ่อย เลยบอกเขาว่า หากแม่ต้องพูดเยอะ ๆ แม่เหนื่อย คงต้องงดนิทาน อันนี้ดูจะดีขึ้น   ต่อมาก็มีปรับชิ้นละ 1 บาท   ก็ดีขึ้นอีกนิด  คือที่ใช้วิธีพวกนี้ เพราะรู้ดีว่า สิ่งเหล่านี้จะได้ผลกับลูกของเรา     

            กำลังคิดว่า จะต้องหาวิธีพูด หรือทำบางอย่างให้เขารับรู้เข้าไปถึงใจ ว่าแต่ละเรื่องที่แม่สอนให้เขาทำนั้น มันสำคัญกับเขาอย่างไร มี 2 แผนที่คิดไว้ คือ  แต่งนิทานเอง และการเปิดประชุมประจำบ้าน  ที่บอกไปบน face แต่ยังไม่ได้ทำเพราะตอนนั้นต้องเดินทางไปต่างจังหวัดแบบเปลี่ยนแผน จนถึงวันนี้สมาชิกในครอบครัวก็รวมตัวกันไม่ได้สักที   ส่วนนิทานเนี้ยก็ต้องใช้ความคิดเยอะ ต้องเลือกอะไรที่เขาฟังแล้วจะถูกกับจริตเขา  คิด ๆ ต้องให้โดน ๆ ต้องให้กระเทาะใจ แต่ไม่กระเทือนใจ  สอนแบบเนียน ๆ  เคยทำมาแล้ว และได้ผลดีมาก  แต่ตอนนี้เขาโตมาก รู้มาก เลยผูกเรื่องลำบาก  สอนแบบไม่สอน อันนี้ยากจริง

            สรุปในความคิดของตัวเองคือ  ระเบียบวินัยนั้นต้องสร้างด้วยใจให้ถึงใจ ไม่ใช่ แค่บังคับ สั่งการ พูดพร่ำไปเรื่อย ๆ  ส่วนวิธีไหนยังไง ต้องลองกลับไปคิดกันเองแต่ละครอบครัวเนอะ  เด็กแต่ละคนก็นิสัยต่างกันมาก  บางคนที่เจอนะคะ ไม่ต้องสอนเยอะ เขาก็น่ารัก มีระเบียบวินัย บางคนที่รู้จักดีได้จากโรงเรียนก็มี พ่อแม่เนี้ยคนละเรื่องกันเลย  ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเขาด้วยส่วนหนึ่ง

            ความเชื่อที่แม่ดาวมีคือ  บุคคลิกลักษณะนิสัยของแต่ละคนนั้น  เกิดจากกรรมเก่าที่ส่งเรามาเกิด 1 ส่วน   พันธุ์กรรมในชาตินี้ 1 ส่วน  อารมณ์ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งท้องด้วยอีก 1 ส่วน  การเลี้ยงดูสิ่งแวดล้อมอีก 1 ส่วน  

            อันนี้ความเชื่อส่วนตัวนะคะ  หรือใครคิดว่ายังไง


**** อย่าลืมนะคะ  ทำให้เต็มที่ ส่วนผลจะออกมาดีหรือไม่นั้นอย่าไปสน  เคยเป็นคนที่ตั้งใจมาก เลยคาดหวังมาก และเจ็บใจเสียใจมาก  ทำให้เต็มที่ค่ะ ผลลัพท์ที่จะออกมาจะดีหรือไม่ ก็เกินการควบคุมของเราแล้วเนอะ  "ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบัน"  ประโยคเด็ดที่ท่องจำอยู่ในใจ


           
           

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เข้าสู่โหมด “โกหก” เพื่อ




        ห่างหายจากการพิมพ์ การเขียน และการอ่าน ทุกอย่างแทบไม่ได้ทำเลยในช่วงลูกปิดเทอมที่ผ่านมา   มีเรื่องมาพิมพ์บทความ คิดเองว่าต้องนำมาขยายต่อ คือ “เด็กชอบพูดโกหก”

        ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาได้มีโอกาส พบและได้พูดคุยกับเด็กคนนึง น่าจะอายุสักประมาณ 7-8 ขวบ เขาเป็นเด็กที่ดูบุคคลิกภายนอกก็จะดูแข็ง ๆ  ไม่อ่อนโยน ไม่สุภาพ ก็คงสไตล์เด็กผู้ชายโดยส่วนใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัดด้วยหรือเปล่า  คือเท่าที่ตัวเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัด เด็กผู้ชายต่างจังหวัดก็จะแบบแข็งๆ  ประมาณนี้   ต่างจากเด็กกทม. ที่จะพูดเพราะ ดูสุภาพกว่า อ่อนโยนกว่า นี่เล่าจากส่วนมากที่ตัวเองเจอนะคะ

        ผู้ปกครองที่นำเด็กมาดูแลช่วงปิดเทอมบอกว่า เขาเป็นเด็กมีปัญหามาก อารมณ์รุนแรง โมโหร้าย และโกหกแทบทุกเรื่อง  เอ่อ......พอได้ฟังก็คิดในใจ “ขนาดนั้น” เลยหรือ  ยังไม่เชื่อนะคะ  คิดเองว่า อาจจะคิดไปตามสไตล์ผู้ใหญ่ที่มองด้วยสายตาแบบผู้ใหญ่หรือเปล่าหนอ

        พอได้พูดคุย ใกล้ชิด ก็ค่อย ๆ เห็นว่า “ก็จริง” นะ  แต่...................ไม่รู้สึกตำหนิเด็กเลยค่ะ  กลับยิ่งรู้สึกเห็นใจ เข้าใจ และสงสารเด็กมาก  มีการคิดเองเออเองตามประสา คุณแม่ชอบตีความ ฮ่าๆๆๆๆ  แล้วสิ่งที่เราคิด ก็จริงด้วยนะ  เขาถูกเลี้ยงดูประมาณถูกดุ ถูกตำหนิ ถูกทำโทษ ตี  และบางทีก็ไม่สมเหตุสมผล  อันนี้เติมเองจากที่เคยเห็นและได้ยินด้วยตัวเอง  

        เด็กคือผ้า ส่วนเนื้อผ้าแต่เดิมนั้นจะมาแบบไหน ยังไงซะคงไม่ขนาดนี้เนอะ  การโกหก การพูดปด ของเขา จากที่เราสัมผัส คือ เขาทำเพื่อปกป้องตัวเอง  กลัวโดนตำหนิ กลัวถูกทำโทษ พอทำไปนานๆๆๆๆๆ  เข้ามันติดเป็นนิสัยไปโดยปริยาย  เด็กคนนี้ เขาชอบไหว้พระ  รู้จักศีล 5 เป็นอย่างดี  แต่คิดว่าที่เขาทำสมองคงสั่งการว่า “โกหกแล้วจะรอดปลอดภัย” เขาถึงทำ  

        เราเป็นแค่คนนอกครอบครัว ทำได้เต็มที่ ก็แค่เล่านิทาน เล่าเรื่อง ชวนพูดคุย แต่จะไม่มุ่งประเด็นไปที่ตัวเขา ทำเป็นสอนลูกเรา และให้เขาผู้เป็นพี่ช่วยสอนน้อง  เขาสอนน้องได้ดีทุกอย่าง เขารู้ว่าเรื่องไหนดี ไม่ดี เขารู้ถูก รู้ผิด แต่เขาไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของเขาเองได้  เห็นแล้วก็เห็นใจ เข้าใจ  ไม่รู้สึกรังเกียจ แต่มีแปลกใจบ้าง คือบางเรื่อง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าโกหกทำไม  มานั่งคิดเอง ตอบเอง เอ่อ......ก็มันติดเป็นนิสัยไปแล้วนี่นะ  อันนี้แก้ยากจริง ๆ 

        เช่น  เวลาถามเขาไม่ตอบ  คนที่ถามก็ถามหาสาเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบ เขาเลยบอกว่าเจ็บหู หูไม่ได้ยิน เลยต้องพากันไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจ ผลปรากฎว่า “ปกติ”     เอ่อ....แม่ดาวเนี้ยคิดไว้อยู่แล้ว่า ที่เขาไม่ตอบ เพราะเขาไม่อยากจะตอบ เขาคิดไม่ออกว่าจะตอบอะไร  ถึงบางคำถามจะเป็นคำถามง่าย ๆ แต่คิดออกไหมค่ะ เด็กเขาระแวงไปหมด เขารู้สึกว่าเขาถูกจับผิด  ด้วยว่า คนพามาเขาบอกว่า “จะพามาดัดนิสัย” เวลาเขาเห็นเราคุยอะไร เขาก็จะมองตลอด ระแวงว่า นี่จะว่าอะไรเขา มองด้วยสายตาที่หวาดระแวง  ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดีจริงไหมค่ะ  เขาดูไม่มีความสุขเท่าไหร่  ถึงเราจะไม่ได้พูดถึงเขา เขาก็จะมองตลอด  ด้วยความระแวงนั่นแหละ  เขารู้ว่า “ผิด” แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้ คิดว่านะ

        เขาโกหกได้แทบทุกเรื่องจริง ๆ แม้แต่เราที่หวังดีกับเขาอย่างจริงใจ  คิดว่าเขารับรู้ได้แน่ ๆ ค่ะ ว่าเราหวังดีกับเขาจริง ๆ เมตตาเขาจริง ๆ  เวลาที่เขาอยู่กับเราแล้วเขาโกหก เขาจะเหมือนทำหน้ารู้สึกผิด ไม่สบตา พูดไม่เต็มปากเต็มคำ และต้องบอกว่า หากเขาอยู่ในภาวะปกติด้วยนะคะ คือไม่ถูกกดดัน อารมณ์ปกติ ไม่เครียด   ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะคะ  และหากเขาอยู่ในโหมดปกป้องตัวเอง เขาจะแสดงอาการอีกแบบเท่าที่สังเกตุนะคะ

        ถามว่าแล้วแบบนี้ควรทำอย่างไร  คนที่ถามไม่ใช่คนดูแลที่แท้จริง ไม่ใช่พ่อแม่ด้วยนะคะ  ถามเพราะห่วงใยในตัวเด็ก  แม่ดาวก็นิ่งอึ้ง ยากมาก  เพราะให้แก้ที่พ่อแม่ คนดูแล เขาบอกว่า ยากเช่นกัน  หากคนเลี้ยงไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด ก็ยาก  ต่อให้พาไปพบจิตแพทย์ด้วยนะ คิดเองต้องให้คนดูแล พ่อแม่พบมากกว่าที่จะให้เด็กไปพบ  แก้ที่ต้นเหตุจะดีกว่าปลายเหตุเนอะ   และการที่ว่าให้ผู้ปกครองไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่การประชดประชันนะคะ  หมายถึงอย่างนั้นจริง ๆ บางทีคำพูดจากปากจิตแพทย์ จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าที่จะทำให้คล้อยตาม และยอมเปลี่ยนพฤติกรรมก็เป็นได้

        เล่าๆ เนี้ย แค่ให้เป็นอีก 1 เรื่องที่ลองย้อนถามตัวเองว่าเราเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กชอบโกหก หรือเปล่า  บางทีเราก็ไม่ทันคิดถึงจุดนี้   เห็นลูกโกหก ก็ว่าลูก ตำหนิลูก “เด็กนิสัยไม่ดี ชอบโกหก”  อยากให้ย้อนดูที่การสอน การเลี้ยงดูของเราเองก่อนเป็นสำคัญนะคะ  

        และเรื่องความรุนแรงของเขาเวลาเขาโกรธนั้น ฟัง ๆ แล้วก็หนักใจแทน ทำลายข้าวของ ขว้างปาของ ไม่แน่ใจว่าทำลายผู้อื่นด้วยหรือเปล่า  หากเราเลี้ยงเขาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ใช้ความรุนแรง จะแปลกใจทำไม หาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ถ้าไม่ใช่ตัวเองเนอะ บางเรื่องก็พูดยาก บางคนเขาไม่ได้คิดแบบนี้ มองข้ามตัวเองไป มองไปไกลมาก ทั้ง ๆ ที่ปัญหามันอยู่ใกล้ขนาดนั้น  ทำได้แค่อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ อีกแหละ

        น้องดีโด้เองก็เคยเกือบ ๆ จะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เช่นกัน  ด้วยที่สามีเป็นคนชอบตำหนิ เจ้าระเบียบ เหมือนจะจ้องจับผิดตลอดเวลา   เขาหวังดี รักลูก แหละค่ะ แต่ผลมันออกมาตรงข้าม  ก็ต้องพูดคุยชี้ให้เห็นพฤติกรรมของลูกให้เขาเห็น  ยอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง ตามประสา  อย่าว่าแต่ลูกเลยค่ะ แม่เองยังจิตตกฮ่าๆๆๆ จะบาปไหมเนี้ยเอาเรื่องจริงมาเล่าต่อเนี้ย  เอาเป็นว่าการเขียนบทความนี้ไม่ได้จะมุ่งร้ายต่อใคร แต่เพื่อประโยชน์ของพ่อๆ แม่ ๆ เนอะ 

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เสวนา “มองไปข้างหน้าร่วมแก้ไขปัญหาแจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1” ภาค 2




        มาแล้วค่า  อันที่จริงก็คิดอยู่จะพิมพ์บทความนี้ดี ไหม  งานนี้แม่ดาวไม่ได้มีโอกาสไปด้วยตัวเอง แต่ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณแม่แอนและแม่ยุ้ยช่วยกันเก็บเกี่ยวบันทึกภาพและเสียงส่งตรงมาให้ถึงบ้าน ด้วยความปรารถนาดีอยากแบ่งปันให้หลาย ๆ ครอบครัวได้รับข้อมูล โดยผ่านแม่ดาว ฮ่าๆๆๆ จะได้เรื่องไหมเนี้ย
        เอาค่ะ ไหน ๆ ยังไงซะ มันก็มีเรื่องดี ๆ มากมายที่สอดแทรกอยู่ ณ เวทีเสวนาครั้งนี้ ถึงจะหลงประเด็นกันจนกลายเป็นการโต้วาที และไม่ค่อยจะได้เห็นในมุมของการก้าวต่อไปข้างหน้าสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีอะไรดี ๆ แฝงอยู่มากมาย เอาไม่เยอะ ไม่เยิ่นเย้อมากนะคะ
        ก้าวไปข้างหน้าสรุปประเด็นจากฝ่ายรัฐบาล
1.      มีการจัดอบรมพัฒนาบุคคลากร โดยเริ่มอบรมครั้งแรกให้กับวิทยากรหลัก เรียกว่า “ขั้นเทพ” เข้มข้นจำนวน 100 คน และจากนั้นให้วิทยากรขั้นเทพดังกล่าวนี้ อบรมต่อให้กับหน่วยงานและบุคคลกรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อ ๆ กันไป กระจายการอบรมไปทุกพื้นที่
2.       จะมีการพัฒนาสร้าง Social Network ให้เด็กบนแท็บเล็ตในรูปแบบที่ดึงดูดความสนใจให้น่าเรียนรู้ โดยที่มียังเนื้อหาสาระในการเรียนครบครัน
3.      ให้มีการพัฒนาระบบเครือข่าย wifi ถึงห้องเด็ก ป. 1
4.      ให้บริการเก็บ Log ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (อันนี้ไม่เข้าใจอย่างแรง อธิบายไม่ได้ พิมพ์ตามนั้น แต่ไม่มีความเข้าใจ ฮ่าๆๆ)
5.       ให้บริการตรวจสอบสิทธิการเข้าใชอินเตอร์เน็ต
6.      ในอนาคตจะมีการจัดทำ Government Cloud service for tablet  เพื่อใช้ในการควบคุมการเข้างานของเด็กในเว็บที่ไม่เหมาะสม  ตอนนี้ก็ช่วย ๆ กันสอดส่องดูแลนักเรียน และบุตรหลานของท่านเมื่อใช้งานด้วยความใกล้ชิด
7.      สร้างฐานข้อมูลพฤติกรรมของเยาวชน และฐานข้อมูลสิ่งที่เยาวชนได้เรียนรู้ เพื่อไว้เก็บข้อมูลผู้ใช้งานและติดตามพัฒนาการใช้ด้านต่าง ๆ
8.      หากเครื่องเสีย ภายในเวลา 15 วันนับจากวันเซ็นรับจากทางโรงเรียน จะเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้เลย แต่หากหลังจาก 15 วันไปแล้วสามารถจัดส่งให้ทางบริษัท  Advice ซึ่งมีหลายสาขากระจายอยู่ซ่อม เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ เว็บ  http://www.obec.go.th  รับประกัน 2 ปี โดยนับวันที่เซ็นรับ คิดว่านะคะ   แต่หากสูญหาย ทำพังเอง อันนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่คิดว่าทางคนที่ทำพัง หรือสูญหายคงต้องรับภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้ไป ยังไง ลองติดตามถามเข้าไปในเว็บที่แจ้งนะคะ  อาจจะได้คำตอบ

        โดยภาพรวมแล้วทางฝ่ายรัฐบาลก็ยังเล็งเห็นประโยชน์มากกว่าที่จะเห็นโทษของการใช้แท็บเล็ต  โดยมองว่าหากใช้แท็บเล็ตเป็นเครื่องมือ เป็นผู้ช่วยครู จะสามารถพัฒนาศัพยภาพของทั้งครู นักเรียน ระบบการศึกษาไทยให้ก้าวไกลไปข้างหน้า ไม่ล้าหลังนะคะจะบอกให้   
        หากฟังและคิดตามก็ยังไม่เห็นภาพอะไรที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมสักเท่าไหร่  อย่างเช่น การใช้แท็บเล็ตจะสร้างให้เด็กคิดบวก ซึ่งเป็นพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่า แล้วทำอย่างไร วิธีไหน เราก็แอบงงมันจะสร้างสรรค์ได้อย่างไร  คือในมุมมองความเป็นแม่  กระดาษ 1 แผ่น  สี 1 กล่อง ก็สามารถสร้างสิ่งพวกนี้ได้แล้ว ไม่ต้องลงทุนกันมากขนาดนี้ก็ได้  คาใจค่ะ  ยังมีอีกหลาย ๆ อย่างค่ะ ที่ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ  เอาไว้ใครอยากฟังติดตามฟังกันได้นะคะ เห็นพี่โน กับคุณแป๋มบอกว่าจะมีเสียงบันทึกมาโพสต์ไว้
        ใครสนใจ รอฟังนะคะ  แต่เตือนไว้ก่อนนะคะ  ก่อนฟัง ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญสติมาก ๆ ก่อนเน้อ  เดี๋ยวจิตตก ฮ่าๆๆๆ  

        มาที่อีกฝ่ายกันบ้าง เริ่มกันที่ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ และผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล อันนี้แม่ดาวขอให้รายละเอียดไม่ว่าจะก้าวหน้า หรือไม่นะคะ เพราะอยากให้ตระหนักเห็นกันชัด ๆ  ใครชัดแล้ว ก็จะเป็นการเตือนสติให้ระลึกรู้
-          การใช้เทคโนโลยี สำคัญคือต้องมีวินัย เกาหลีที่เขาพัฒนาไปได้ไกลเพราะเขามีวินัยกันสูงมาก  แล้วคนไทยมีแล้วหรือยังก็คิดดูกันนะคะ ไม่ต้องมุ่งไปที่เด็ก มองที่ตัวผู้ใหญ่เรา ๆ นี่แหละ  ต้นแบบยังไม่มีวินัย หรือหย่อนวินัยแล้วจะหวังอะไรกับ เด็ก จริงไหม
-          การใช้เทคโนโลยีเข้ามามากเกินไป ก็เป็นการทำลายความสัมพันธ์ทีดีต่อกันในครอบครัว ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีเวลาจะได้เจอหน้า พูดคุยกันแล้ว หากมีพวกนี้เข้ามา ก็คิดกันเองว่า ปัญหาที่จะตามมาคืออะไร
-          เด็กผู้ชายในระบบการศึกษาระดับหัวกะทิ  หายไปไหน  ปัจจุบันที่คุณหมอเห็นมีแต่นักศึกษาหญิง เข้ามาเรียนแพทย์  มองหานักศึกษาชายน้อยลงไปจนแทบไม่เหลือ  ประเด็นคือเด็กผู้ชายติดเกมส์ เสพติดเทคโนโลยี จนสมองไม่ค่อยพัฒนาไปอยู่ตามสายการเรียนอื่น ๆ กันแทบจะหมด
-           โรค  LD หรือ Learning Disabilities เป็นกลุ่มที่มีความบกพร่องในทักษะการเรียนรู้เฉพาะด้าน ที่แสดงออกมาในรูปของปัญหาการอ่านหนังสือ การเขียนหนังสือ การสะกดคำหรือการคำนวณ ทำให้เด็กมีผลการเรียนต่ำกว่าระดับเชาว์ปัญญา ซึ่งไม่ได้เกิดจากอวัยวะพิการ ภาวะปัญญาอ่อน ปัญหาทางอารมณ์หรือการขาดโอกาสในการเรียนรู้ แต่เป็นผลโดยตรงที่มาจากสมองทำงานบกพร่องไป   ที่พบส่วนมากมักเกิดกับเด็กผู้ชาย เพราะเด็กผู้ชายเสพติดเทคโนโลยีง่ายกว่าผู้หญิง
-          ระบบการศึกษาในปัจจุบันยังอยู่กับศตวรรษที่ 20  คือแพ้คัดออก  ไม่ได้พัฒนาความรู้คิดของเด็ก  คุณหมอแนะนำโรงเรียนหนึ่ง ที่สอนเรื่องการรู้คิดเด็กได้ดีมาก ๆ  คือ โรงเรียนบ้านกาญจาภิเษก ( บ้านทดแทนชั่วคราวของวัยรุ่นที่ก้าวพลาด ก้าวผิดจังหวะ)  อันนี้น่าสนใจ แล้วทำไมไม่พัฒนาให้มีโรงเรียนแบบนี้เยอะ ๆ ก็ไม่รู้นะคะ  ทำไมต้องให้มีปัญหาก่อนถึงค่อยซ่อม ค่อยแก้  ไม่ป้องกันกันไปเลยเนอะ เฮ้อ...
-          จริยธรรมของสื่อไม่ชัดเจน ยังจัดการควบคุมในการเข้าไปใช้งานในแต่ละเว็บยังไม่ได้ทั่วไป
-          มีการทำงานวิจัยขึ้นมาโดยให้เด็กประเมินตัวเอง  ผลคือ เป็นที่น่าตกใจอันดับ 1 เด็กประเมินตัวเองว่า มีโอกาสในการแบ่งปันน้ำใจกันต่ำมาก  แล้วมันเกิดจากอะไร คิดว่า คำ ตอบนี้ ตอบได้กันทุกคน แต่สำคัญที่จะตระหนักรู้แล้ว จะแก้ไข ทำกันไหม แค่นั้นเนอะ
-          เด็กป.1 เป็นเด็กที่อยู่ในภาวะจุดเปลี่ยนหลายสิ่ง เช่น เปลี่ยนโรงเรียนใหม่  เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ไม่มีการนอนกลางวัน แข่งขันกันเรียน ต้องเครียดกับการปรับตัวหลายเรื่อง  ก็คิดกันเอานะคะ ว่าเอาแท็บเล็ตเข้ามาในช่วงวัยนี้เหมาะสมไหม  นี่ขนาดยังไม่นับรวมเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการสมองตามวัยนะเนี้ย  น่ากลัวชะมัด
-          ชอบที่สุดกับประโยค  “สร้างภาพ  แต่คุณภาพไม่เกิด”  เจ็บและโดน
-          สมองจะมีการทำงานอย่างหนึ่งคือ เมื่อสมองรก ๆ มีข้อมุลเยอะ ๆ เกินไป มีหลายสิ่งที่จำไว้ ๆ  แต่ไม่ค่อยใช้ พอถึงวัยประมาณป.1-ป.2 ปฐมวัย เนี้ยค่ ะ  สมองจะทำงานจัดการล้างข้อมูล จัดระบบ  จัดเรียงข้อมูล อะไรใช้บ่อย ๆ คิดบ่อย ๆจะคงไว้ อะไรไม่ค่อยใช้ ถึงดี แต่ไม่ค่อยใช้ จะจำทำไม ล้างมันทิ้งซะเลย   เรียกว่า big cleaning อีกช่วงคือวัยรุ่นตอนกลาง
-          Twenty first century ทักษะแห่งอนาคตใหม่ การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21  เราควรเตรียมความพร้อมเด็กดังนี้คือ
1.      ทักษะเทคโนโลยี  ส่วนวิธีอย่างไร ยังไง ต้องคิดกัน
2.        ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ
3.        กระบวนการเรียนรู้เท่าทัน  การเรียนแบบศตวรรษที่ 21 ต้อง ครูควรสอนให้น้อยลง ให้เด็กเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ทำให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ เปลี่ยนครูจากผู้อบรมสั่งสอน เป็น ผู้อำนวยการสอนแทน  
4.        ต้องมีจิตสำนึกต่อโลก
การมองไปข้างหน้าของคุณหมอบ้าง
1.        ผู้ใหญ่ต้องสอนทักษะชีวิตอย่างเต็มที่กับเด็ก
2.        ผู้ใหญ่ต้องมีจิตสำนึกที่ดี  เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีสำคัญมาก
3.        สอนให้รู้ธรรม ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ธรรมะที่ใช้กับวิถีชีวิต
4.        ต้องมีหลักสูตรมีกระบวนการให้เข้าถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ของตัวเอง และนำมาแลกเปลี่ยนกัน พัฒนาไปด้วยกันทั้งผู้เรียนและผู้สอน    อันนี้ไม่รู้ใครสมัยเด็กๆ  เคยเรียนไหม ชื่อวิชา “ท้องถิ่นของเรา  ปัจจุบันถามใครก็ไม่รู้จัก ไม่รู้มีใครเคยเรียนวิชานี้มาบ้างค่ะ
5.        สอนให้รู้เท่าทันสื่อ
        มาอีกท่านคุณวันชัย บุญประชา มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว แนะนำให้ทดลองใช้ไปก่อน คือให้ทดลองไปสักระยะ แล้ววัดผลทำการประเมินผลถึงผลดี ผลเสียของการใช้แทบเล็ต โดยนำเสนอให้ประเมินด้านต่าง ๆ ดังนี้
-          ประเมินเด็ก
-          ประเมินครอบครัว
-          ประเมินครู
-          ประเมินชุมชน
-          ประเมินด้านความคุ้มค่าของการลงทุนการศึกษาของรัฐบาลในเรื่องนี้
-          ประเมินในความเป็นวัฒนธรรมไทย
        ท่านสุดท้าย ขวัญใจของแม่ดาว พี่ปอง คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีบ กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก  ชัดเจน ตรงใจ ไม่มีเม้ม   พี่ปองปล่อยมุข เรียกแท็บเล็ต ว่า “แทบเล็ด หมายถึงน้ำตาแทบเล็ด เอ้าฮาไป 1 ดอก ตลกร้ายตลอดรายนี้  มาดูการมองไปข้างหน้าในมุมมองของพี่ปอง
-          เตรียมความพร้อมเนื้อหาที่จะนำมาใช้ (ป้อนและป้อง)  ณ ตอนนี้หากเนื้อหาดี ๆ ยังไม่มีเท่าไหร่  เนื้อหาไม่ดีมีมากมายเด็กพร้อมที่จะรับได้ตลอด แล้ววิธีป้องกันต้องฝากไปคิดเป็นการบ้านไว้ อย่างไร เมื่อใด เนอะ
-          เตรียมความพร้อมของเด็ก เหมือนอย่างที่คุณหมอกล่าวไว้ ต้องเตรียมเรื่องวินัย ทักษะชีวิต
-          เตรียมครู  แค่นำเสนอ ส่วนวิธีการนั้นทางรัฐบาลต้องเป็นคนจัดการค่ะ
-          เตรียมความพร้อมของผู้ปกครอง  ในชุมชนห่างไกลความเจริญ หลายแห่งคนเลี้ยงดูเด็กไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก การใช้เทคโนโลยีเข้ามาจะยิ่งทำให้ เด็กยิ่งดูแคลนผู้เลี้ยงดู ด้านความสัมพันธ์กันในครอบครัวจะเกิดอะไร นึกภาพตามกันเองนะคะ
หากไม่มีการเตรียมความพร้อมอะไร ให้พร้อมทุก ๆ ด้าน แล้วนั้น ใช้ไป ไม่เกิน 10 ปี พี่ปอง คาดการณ์ถึงความวิบัติที่ต้องเกิดขึ้น
1.        เด็กขาดวินัย รวนวินัย วินัยหย่อน  อันที่จริงปัจจุบันก็เห็นกันชัดนะคะเรื่องนี้
2.        นิสัย  เมื่อก่อนต้นแบบคือพ่อแม่  แต่หากใช้แทบเล็ด ต้นแบบอยู่ที่ปลายนิ้ว อยากได้ใครค่ะ  นักเรียนตบกัน เกาหลีศัลยกรรมเกลื่อนเมือง  หรือน้องจ๊ะคันหูดีน้อ  เด็ก ๆ เลือกได้แค่ปลายนิ้ว  สยองอีกแล้ว
3.        การครองตน
4.        ความคิด
5.        ภาษา
***พี่ปอง ได้ฝากข้อคิดดี ๆ เรื่องการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แม่ดาวด้วยอีกเสียงค่ะ  การอ่านหนังสือนั้นมีข้อดีมากมาย  พัฒนาการที่ดีด้านภาษา  พัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ สมาธิ และปัญญาทั้งหลาย  รวมไปถึงความสัมพันธ์ทีดีในครอบครัว   คุณเลือกได้นะคะว่าจะให้แทบเล็ดอ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง แล้วคุณไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรอีก หลับสบายใจ  หรือจะเลือกยอมเหนื่อยกันสักนิดอ่านหนังสือนิทานดี ๆ หรือหนังสือดี ๆ ให้ลูกฟังบ้าง อย่างน้อย ๆ อ่านวันละ 2-3 เล่มก็ยังดีเนอะ  พี่ปองพูดถึงการทำวิจัยในการสังเกตุพัฒนาการเด็กที่เป็นออทิสติก ดาวซินโดรม พัฒนาการสมองและอารมณ์ของเด็กเหล่านี้ยังพุ่งขึ้นพัฒนายังเห็นได้ชัด  แล้วลูกเราล่ะค่ะ เขามีสมองปกติ คุณจะทำร้ายลูกลงคอไหม ผลักเขาให้ไปเป็นเด็กมีพัฒนาการทางสมองผิดปกติ เช่นโรคสมาธิสั้น   หรือ LD   คิดดูเองค่ะ  เราเลือกเองได้ ชีวิตลูกอยู่ในกำมือคุณ
        สุดท้ายนี้ฝากทิ้งไว้กับคำพูดพี่ปอง  รักอย่างเดียวไม่รอด ต้องรู้เท่าทันด้วย  จำคำพี่ปองไว้นะคะ ใครขี้ลืมแนะนำจดใส่กระดาษแล้วแปะฝาบ้านเลยค่า เอาตัวใหญ่ ๆ โต ๆ เลยนะ จะได้มี สติ เตือนตัวเอง   การเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่ใช้ความรักนำทางแล้วจะไปถึงจุดหมาย  ต้องรู้ และไม่หลงนะคะ 
        แม่ดาวฟังแล้วก็ยังคิดว่าตัวเองไม่หลงทางนะคะ “เลี้ยงลูกให้ถูกธรรม นั้นคงไม่หลงทางแน่ ๆ