วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มาเป็นพ่อพระแม่พระให้กับลูกกันเถอะ

           จากเมื่อ 2 วันก่อนแม่ดาวได้ฟังเทศน์ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) จากคลิปใน youtube  ตอน ศิลปะของการเป็นแม่ ที่ท่านได้นำมาจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  ฟังแล้วได้สติและปัญญามากมาย เลยเอามาพิมพ์ไว้เผื่อใครไม่ได้ดูเนอะ
            แม่ดาวเองอยากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านให้ลูกแบบที่ท่านบรรยาย  ท่านบอกว่าพ่อแม่ต้องทำตัวเป็น พระพรหมของลูก พระพรหมคือพระผู้สร้าง โดยใช้ พรหมวิหาร 4 ในการเลี้ยงลูก คือ

1.     เมตตา คือการที่เราให้ความรัก ดูแลเอาใจใส่ห่วงใยลูกของเราในยามปกติ

2.     กรุณา คือการที่เราพร้อมที่จะช่วยเหลือเวลาที่ลูกป่วยไข้ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มีปัญหา เวลานั้นให้ใช้ข้อนี้

3.     มุทิตา คือการที่เราชื่นชม ยินดีเมื่อเห็นลูกมีความสุขหรือประสบความสำเร็จ 

4.     อุเบกขา คือการที่เราต้องวางใจเป็นกลาง  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเปิดโอกาสในการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ลูก หรือหากลูกกระทำความผิด ก็ต้องวางใจเป็นกลางไม่เข้าไปแทรกแซงให้เขาได้รับผลของการกระทำที่เขาทำนั้นด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้เพิกเฉย เมินเฉย  ข้อนี้ยากนะคะ เราต้องพิจารณากันเองโดยใช้สติและปัญญาช่วย ว่าเหตุการณ์ไหนถึงควรจะใช้อุเบกขา

ต่อมาให้สูงกว่านั้น พ่อแม่ควรจะต้องทำตัวให้เป็น พระอรหันต์ของลูกด้วยจะดียิ่งขึ้นไปอีก  ดังนี้ค่ะ

1.     ห้ามปรามลูกจากความชั่วต่าง ๆ  สอนให้เขารู้ว่าอะไรคือความชั่ว ไม่ควรปฎิบัติ  
2.     แนะนำให้ลูกตั้งมั่นอยู่ในความดี สอนให้เขารู้ว่าอะไรคือความดี เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะเป็นคนดี

3.     ให้ศึกษาศิลปะวิทยา คือให้วิชาความรู้ต่าง ๆ แก่ลูก ไม่ว่าจะเราสอนเอง หรือให้ไปโรงเรียน หรือเรียนรู้จากประสบการณ์ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว

4.     เป็นธุระในการเลือกคู่ครองให้กับลูก ข้อนี้คือให้แค่ช่วยดู ให้คำชี้แนะ ไม่ใช่เลือกให้นะคะ ให้ทางเลือกเชิงบวกก็น่าจะได้นะ ว่า น้อง A  หรือน้อง B ดีนะ ฮ่าๆๆ ขำ ๆ นะ

5.     เมื่อถึงเวลาสมควรให้มอบทรัพย์มรดกให้ลูกด้วยหลักความยุติธรรมเป็นธรรม  คือ พอถึงเวลาใกล้ ๆ ที่เราจะกลับบ้านเก่าแล้ว ก็ให้จัดการเรื่องทรัพย์สินซะให้เรียบร้อย ก่อนที่เราจะออกเดินทางไกล ไปแดนบ้านเกิด โดยจัดสรร แบ่งปัน ให้เหมาะสม ใช้หลักความยุติธรรม  แบ่งไว้เลย จะได้ไม่ตีกัน ฆ่ากันตายเพราะมรดก  ข้อนี้แม่ดาวสบายใจ มีลูกคนเดียว 1 และไม่มีสมบัติทรัพย์สินอะไรจะให้ตัดปัญหาไปได้ อิอิ ที่ให้กับลูกได้คือ คำสอน ความดีที่พยายามปลูกฝังอยู่ กว่าจะถึงวันนั้น แม่ดาวคงมีให้เยอะมากพอที่เขาจะดูแลตัวเองได้อย่างดีแล้ว หรือหากผิดแผนที่วางไว้ จากไปก่อนวัยอันควร ก็ยังมีคำสอนที่ผ่านสมุดบันทึกเก่า ๆ ด้วยลายมือที่อ่านลำบากสักหน่อย ฝากไว้สอนใจลูกต่อไป

แถมท้าย หน้าที่ของการเป็นลูกที่ดี

1.     เลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ
2.     ช่วยทำกิจธุระให้ท่าน
3.     ดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูล
4.     ประพฤติตัวให้สมควรแก่การรับมรดก
5.     หากพ่อแม่ล่วงลับไปแล้วให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน

ฝากไว้ให้อ่านเพื่อเตือนสติตัวเราเอง แม่ดาวเองก็จะหมั่นเข้ามาอ่านหน้านี้ด้วยเหมือนกัน พิมพ์ไว้อ่านเองด้วย  ถ้ารักลูก มาเปลี่ยนตัวเราเพื่อลูกกันเถอะนะคะ มาเป็นทั้งพระพรหมผู้สร้างลูก และพระอรหันต์ให้ลูกกันเถอะ




วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สร้างวินัยเชิงบวกกับลูกเล็ก ๆ ที่ยังสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง

          โจทย์ข้อนี้จะว่ายาก ก็ยากนะคะ สำหรับแม่ดาว เพราะตอนที่ลูกแม่ดาวเล็ก ๆ 0-3 ขวบ แม่ดาวเองก็ใช้สัญชาติญาณร่วมกับความรู้ที่ได้จากการอ่านและประสบการณ์ที่เคยเลี้ยงน้อง ๆ หลาน ๆ ด้วยตัวเองมาประยุกต์ใช้ และยังเป็นช่วงที่ตัวเองยังไม่ค่อยจะมีทั้งสติและปัญญา  มีแค่ความศรัทธากับการสร้างวินัยเชิงบวกแค่นั้น คือ ตั้งใจไว้ว่าจะเลี้ยงลูกแบบใช้เหตุผลและความรัก ตอนนั้นดวงตาก็ยังมืดมัว ยังไม่มีแสงธรรมนำชีวิตเหมือนกับตอนนี้
           สิ่งที่แม่ดาวจะเสนอเป็นแนวทาง จะเป็นสิ่งที่คิดเองว่า หากย้อนกลับไป แม่ดาวจะทำแบบนี้กับลูก

          1.  สร้างภาษามือสื่อสารกัน   ในช่วงเด็กเล็กประมาณ 0-9  เดือน  แม่ดาวคิดว่าเด็กในช่วงนี้ต้องให้ความรัก อุ้ม กอด หอม ฯลฯ การแสดงออกสื่อสารความรักที่เรามีต่อลูก   แม่ดาวจะใช้ทั้งภาษากายและภาษาพูดไปพร้อม ๆ กัน  ภาษามือ เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับเด็กในวัยนี้ เด็กที่ยังพูดไม่ได้ เขาจะมีความอึดอัดคับข้องใจ และทำให้เขาอารมณ์บูดได้ง่าย ระเบิดได้ง่าย ๆ   เพราะการที่เราไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้รู้เรื่อง  และตัวเขาเองก็ไม่สามารถจะสื่อสารกับเราได้รู้เรื่องเช่นกัน  การที่มีภาษามือใช้ในการสื่อสารกันจะช่วยให้เขาและเราจัดการกับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
           แต่แม่ดาวไม่ได้ไปเรียน หรือซื้อหนังสือเกี่ยวกับการใช้ภาษามือกับลูก (babysign) มาศึกษาเลยนะคะ  แม่ดาวใช้สัญชาติญาณ ฮ่าๆๆๆๆ   หากถามว่าย้อนกลับไปได้จะศึกษาไหม ตัวเองคงไม่ค่ะ มองว่าไม่จำเป็นสำหรับตัวเอง เราก็แค่สร้างภาษามือแบบที่เราเข้าใจกับลูกได้เอง เพราะแม่ดาวเลี้ยงลูกเองแทบจะคนเดียวอยู่แล้ว แต่หากอยากได้แบบเป็นภาษามือสากลอยากเรียนรู้ก็ดีนะคะ 

          2.  การให้ทางเลือกเชิงบวก ก็ทำได้ค่ะ สำหรับเด็กเล็กที่พอจะสื่อสารกันรู้เรื่อง เขาพูดไม่ได้ก็จริงแต่เขาสามารถเข้าใจ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้แล้ว เช่น หากเราจะให้เขาผลไม้  ก็เอาผลไม้ให้เขาเลือกว่า  ลูกอยากทานกล้วย หรือส้มค่ะ  ให้เขาชี้ และเราก็ยืนยันกับเขาอีกที เช่นเลือกส้ม  ก็ยืนส้มให้เขาและถามยืนยันว่า ลูกเลือกส้มนะคะ ใช่ไหมค่ะ สอนให้เขาตอบรับเช่น จะเป็นพยักหน้า หรือจะอะไรก็ได้ อย่างที่บอกภาษากายที่สื่อสารกันรู้เรื่อง   การให้ทางเลือกเชิงบวกกับลูกเป็นการฝึกให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง ฝึกตั้งแต่เล็ก ๆ ดีมากค่ะ

          3.  การสอนพฤติกรรมที่เหมาะสม  เช่น เวลาเขาอยากได้อะไร เขาจะร้องไห้ใช่ไหมค่ะ บางทีภาษามืออะไรไม่เอาแล้วไม่สน ฉันเอาแบบที่ฉันถนัด ร้องไห้นี่แหละ วิธีง่าย ๆ ทำได้เรื่อย ๆ และเห็นผลได้เร็วกว่า ฮ่าๆๆๆ    หากเจอเหตุการณ์ประมาณนี้  เราก็บอกเขาว่า ลูกอยากได้ แม่ให้ ลูกควรทำอย่างไร เช่น ลูกอยากทานขนม   เขาจะแสดงอาการร้องไห้ โมโหหน้าแดง  ชี้มือมาที่ขนมจริง แต่ร้องไห้   เราก็ต้องใจเย็น ใช้หลักการแสดงความเข้าใจ ว่า เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร และเขาต้องปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะได้ขนม เช่น น้องดีโด้อยากทานขนมใช่ไหมครับ แม่เข้าใจแล้ว ลูกชี้นิ้วและบอกว่าหม่ำ ๆ แบบนี้แม่เข้าใจแล้วค่ะ หากลูกร้องไห้แม่จะเข้าใจผิดนะคะว่าลูกไม่อยากจะทานขนม เกลียดขนม ถึงร้องไห้  คือหาคำพูดแบบที่เราคิดว่าเราสื่อสารกันเข้าใจ  ต้องใช้วิจารณญาณเองนะคะว่าพูดยังไงจะเหมาะกับลูกของเรา ส่วนมาก เด็กเล็ก ๆ เขาจะพูดกระชับ ๆ สั้น ๆ เพราะเขาบอกว่าเด็กจะไม่ค่อยเข้าใจความหมาย
สำหรับแม่ดาวเป็นประเภทพูดเยอะมากตั้งแต่ลูกเล็ก ๆ พูดคุยกับเขาตั้งแต่ในท้องก็ว่าได้ พูดคุยเหมือนกับเขารู้เรื่องแล้ว  ลูกเลยชินและได้เรียนรู้คำศัพท์ไว้เยอะมาก คือแรก ๆ แม่ดาวว่าเขาก็คงไม่รู้หรอก แต่พูดบ่อย ๆ เขาก็เรียนรู้ว่า พูดแบบนี้คืออะไร หมายความว่าอะไร  พอตอนที่เขาพูดได้แล้ว เราขำเลยเขาเอาคำศัพท์มากมายที่จำ ๆ ไว้ในสมองเอามาทยอยใช้ บางทีก็ใช้ผิด เราก็คอยแก้ให้ แต่อย่าไปขำนะคะ ถึงจะอยากขำแทบตายก็อดทนไว้ เดี๋ยวเขาจะเสียความมั่นใจ ไม่กล้าพูดไม่กล้ากล้าใช้คำใหม่ ๆ   

4.  สอนคำศัพท์ เกี่ยวกับอารมณ์ต่าง ๆ ให้ลูกรู้ ว่า แบบนี้คือเรียกว่าอะไร โกรธ  เสียใจ เหนื่อย ฯลฯ อย่างที่บอกค่ะว่า  เขายังพูดไม่ได้ตอนนี้ ยังไม่เข้าใจ ณ ตอนนี้ ที่เขาได้เรียนรู้ครั้งแรก ๆ  แต่พอหลาย ๆ ครั้งเข้าเขาก็จะเข้าใจเอง และเรื่องนี้สำคัญนะคะ เพราะจะทำให้เราและเขาจัดการอารมณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

5.  สอนให้รู้จักรอคอย  เวลาที่ลูกอยากได้อะไร อย่าเพิ่งให้เขาทันที  เมื่อเขาขอ (พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปนะคะ) สอนให้เขารู้จัก รอคอย   เช่น เราทำกับข้าวอยู่ เขามาชวนเราไปเล่นด้วย เราก็บอกเขาว่า แม่รู้ค่ะว่าลูกอยากจะเล่นกับแม่มากตอนนี้ รอก่อนนะคะ แม่ทำกับข้าวเสร็จแม่ไปจะไปเล่นกับลูกทันที  ย้ำว่าให้เขารอ ต้องให้เขาร้องไห้ เราก็ต้องอดทน เพราะนี้คือการสอนให้เขารู้จักการอดทนและรอคอย สำคัญมากนะ แม่ดาวก็พลาดมากมายกับจุดนี้

6. การแสดงความเข้าใจ คือการใช้คำพูดที่บอกว่าเราเข้าใจเขาว่าอย่างไร คงไม่ต้องอธิบายเนอะ ผ่านเลย

7. สอนให้เขารู้จักการขอบคุณ และขอโทษ พูดไม่ได้ก็ทำได้ค่ะ จับมือเขาและสอนว่าแบบนี้คือขอบคุณ ขอโทษ ภาษามือนี่แหละ 

8. เรื่องการตั้งเวลาก็ใช้ได้นะคะ  ลอง ๆ พิจารณาดูว่าเขารู้เรื่องแค่ไหนยังไง

9.  สอนให้เขาช่วยเหลือตัวเองตามวัยที่เหมาะสม เราต้องมีอุเบกขามาก ๆ  ใช้ปัญญาพิจารณาเอาเลยค่ะว่า แค่ไหนยังไง หากคิดไม่ออกลองหาตัวช่วย ศึกษาจากประสบการณ์คนอื่น ๆ โดยที่ต้องยึดลูกเราเป็นหลักนะคะ แม่ดาวก็ทำแบบนั้น เช่น น้องดีโด้เขาจะมีพัฒนาการเร็วกว่าวัยของเขา แม่ดาวก็พิจารณาจากพัฒนาการของลูกตัวเอง อย่างสมมติเขา 6 เดือน แต่พัฒนาการเขาจะไปอยู่ 8 เดือน  เราก็ไปดูว่า 8 เดือนเนี้ยเขาสามารถทำอะไรได้เองบ้าง ก็เปิดตำราบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ลอก ๆ คนอื่นมาบ้าง เอามาประยุกต์ใช้เป็นแนวของเรา

10.  คำพูดประเภท  ห้าม อย่า หยุด เลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะคะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  เขาอยู่ในวัยอยากเรียนรู้ ทุกอย่างเป็นสิ่งน่าสนใจน่าเรียนรู้ไปหมด  เราต้องให้โอกาสเปิดพื้นที่ในการเรียนรู้ตามความเหมาะสมเช่นกัน คำพูดประเภทข้างต้น เป็นการไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลสมองลูก จะกินนมที่มีส่วนผสมอกระตุ้นพัฒนาการสมองดีเลิศขนาดไหน ก็ฟ่อกันได้ง่าย ๆ หากเรายังใช้คำพูดพวกนี้ ไม่ได้ขู่นะเนี้ย 

11.  พูดเรื่องจริงกับลูก  เจอกันบ่อย ๆ นะคะ ชอบจริง ๆ  ขู่เด็ก เนี้ย เช่น ถ้าไม่ไปนอนนะ เดี๋ยวผีจะมาหลอก , มาตรงนี้เร็วมากับแม่ ถ้าไม่มานะเดี๋ยวตำรวจมาจับ ฯลฯ สารพัดคำขู่ บอกเขาไปตรง ๆ เถอะค่ะ เราต้องการให้เขาทำอะไร เพราะอะไร ใช้การสื่อสารแบบ I message ก็ได้ อย่าขู่ลูกแบบนี้เลย เป็นตัวอย่างไม่ดีกับลูกด้วยนะ โกหกลูกเนี้ย

12. วินัยบนโต๊ะอาหาร  ฝึกให้ลูกทานอาหารให้เป็นเวลา จัดสถานที่ ๆ สำหรับทานอาหาร  ให้ลูกเรียนรู้ว่า เราควรทานอาหารบนโต๊ะทานข้าว และต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ถึงเวลาทานอาหารก็พาลูกไปนั่งทานที่โต๊ะทานข้าว ให้ลูกได้ทานด้วยตัวเอง หากอยู่ในวัยที่สามารถหยิบจับอาหารได้แล้ว อุเบกขาอีกเช่นกัน ไม่พร่ำบ่น ต่อว่า คอยทำความสะอาดระหว่างลูกกำลังทาน ปล่อยให้ทานด้วยตัวเอง หากลูกไม่ทานแล้ว บ้วนทิ้ง ขว้างช้อน ก็ให้บอกกับลูกประมาณว่า  "แบบนี้แสดงว่าลูกอิ่มแล้วใช่ไหมค่ะ" แล้วเก็บจานช้อนไปเลย ดูเหมือนอาจจะโหดแต่ดีต่อตัวเขาในอนาคต ให้เขาได้เรียนรู้ว่า หากหิว ก็ต้องทาน หากเล่น ไม่ทานแล้วก็แสดงว่าอิ่ม ถึงเขาจะงอแงสักหน่อย ก็ต้องอดทนนะคะ อย่าลืมใส่ความอ่อนโยนเข้าไปในคำพูดด้วยนะคะ  ไม่ใช่พูดแบบไม่พอใจนะ

13.  วินัยในการกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ  เช่น การตื่นนอน การเข้านอน การล้างมือก่อนทานอาหาร ฯลฯ มากมายที่เราควรฝึกไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ    มีหลานของแม่ดาวคนนึงน่ารักมาก ตอนอายุได้ประมาณ 1 ขวบ เขาตื่นมาแล้วจะถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเอง และม้วนไปทิ้งที่ถังขยะแบบที่ผู้ใหญ่ทำเลยค่ะ  เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดีมากๆ สื่อสารอะไรรู้เรื่องหมดทั้ง ๆ ที่พูดไม่ได้ 
หลานคนนี้เป็นต้นแบบของน้องดีโด้เลย แม่ดาวตั้งใจไว้ว่าหากมีลูก ก็อยากให้ลูกช่วยเหลือตัวเองแบบนี้ (ตอนนั้นยังไม่มีลูก) แม่เขาเลี้ยงแบบที่บวกบ้าง ลบบ้าง ปัจจุบันก็ 9 ขวบนะคะ น่าเสียดายเหมือนกัน หากเลี้ยงด้วยแนวคิดบวกสม่ำเสมอหลานแม่ดาวคนนี้คงจะเป็นเด็กที่ดีมากๆ เพราะเขามีต้นทุนชีวิตดีอยู่แล้ว เป็นเด็กฉลาดและเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาก ถึงปัจจุบันเราจะห่างกันมาก เนื่องจากย้ายบ้านไปต่างจังหวัด ที่น่าแปลกคือความสัมพันธ์ของเรายังดีอยู่อย่างน่าประหลาดใจ เขามีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ดาวเยอะมาก ทั้ง ๆ ตอนที่แม่ดาวช่วยดูแลนั้นประมาณถึง 2-3 ขวบ  ห่างกันแต่กาย แต่ใจเรายังมีสะพานความรักสื่อถึงกันได้ ถึงสะพานนั้นจะเก่า แต่มันก็ยังไม่ขาด หากมีโอกาสแม่ดาวก็จะหมั่นขัดถูทำความสะอาดสะพานรักของแม่ดาวกับหลานทุกครั้ง

คร่าว ๆ นะคะ  ที่จริงแล้วหากเราใช้เป็นวิธีไหนๆ ในเชิงบวก ในเคยแนะนำไว้ก็นำมาประยุกต์ใช้ได้หมด และอย่าลืมสำคัญที่สุด คือ การเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็นและการยืนยันคำพูด ใจดีแต่ไม่ใจอ่อนนะคะ  

สงสัยไม่เข้าใจวิธีการปฏิบัติลองเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้นะคะ หากแม่ดาวพอช่วยแนะนำได้จะช่วยเต็มที่จ้า   

*** บทความนี้พิมพ์แบบเร็ว สุด ๆ พลาดตรงไหน ยังไง แนะนำกันได้นะคะ  เพื่อที่เป็นความรู้ แนวทางให้คนอื่น ๆ ได้นำไปปฎิบัติ   อย่างที่บอกแม่ดาวเองไม่ได้เก่งอะไร  ใช้ใจและความรู้ที่พอจะมีแนะนำ

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

7 eleven...เกิดเป็นแม่ต้องไร้ยางอาย

        ร้านสะดวกซื้อ ที่สะดวกมากๆๆๆ  อยากได้อะไร 7 จัดหามาให้แทบจะทั้งหมด กระทั่งของเล่นเด็ก ยังสะดวกซื้อได้ใน 7 แต่บรรดาเหล่าพ่อ ๆ แม่ ๆ คงไม่สะดวกใจเท่าไหร่ ที่ต้องมาคอยซื้อให้กันตลอด ๆ  แม่ดาวเป็นแม่ 1 คน ที่ไม่สะดวกใจเช่นกัน ฮ่าๆๆ  แต่แม่ดาวมีเวทมนต์วิเศษมาเป่าหูลูกเอาไว้ก่อน เรียกว่า คาถากันน้ำตาไหล ฮ่าๆๆ 

       ก่อนที่จะเข้า 7  แม่ดาวจะทำการตกลงกับลูกทุกครั้งว่า เราจะเข้าไปใน 7 เพื่อซื้ออะไรบ้าง เช่น ลูกอยากทานขนมอะไร 1 อย่าง ให้ลูกคิด หากคิดยังไม่ออก เขาจะขอโอกาสในการตัดสินใจว่าขอเข้าไปเลือกชมสินค้าด้านในก่อน อิอิ ซึ่งก็ไม่ว่ากัน แต่จะมีสินค้าบางรายการที่งดเว้น เช่นลูกอม  แต่ไม่ทุกครั้งนะคะที่ห้าม บางทีเราก็เข้าใจแหละว่า เด็ก ๆ เวลาเห็นเพื่อนทานลูกอม ก็อยากจะทานบ้าง อย่างเห็นเพื่อน ๆ ทาน ช็อคโกจุ๊บ เขาเรียกแบบนี้เปล่าไม่รู้นะ  ลูกอมที่เวลาอมจะมีไม้ด้วย จะวางล่อกิเลศเด็กอยู่ข้างหน้าตอนเราจ่ายเงิน แม่ดาวไม่ห้ามซะทีเดียว นาน ๆ ก็ให้เขาทานบ้าง แต่ก็มีข้อตกลงกันว่า ทานแล้วต้องแปรงฟันทันที คุยกันมาเยอะเรื่องสุขภาพช่องปาก น้องดีโด้ทราบเป็นอย่างดี แต่บางทีก็อดไม่ได้  เด็กก็คือเด็ก แม่ดาวเองก็เคยเป็นเด็ก เราก็เอาใจเขามาใส่ใจเรา ยืดหยุ่นบ้างอะไร แต่หากตกลงกันไว้ก่อนว่าวันนี้ไม่ได้ ก็จะไม่ได้นะคะ  คุยกันไว้ก่อนเลยว่าจะเราจะซื้ออะไรบ้าง

        ตอนแรก ๆ แถวบ้านแม่ดาวไม่มี 7  ค่ะ ไม่ได้อยู่ห่างไกลความเจริญเลยนะ แต่แปลกมากที่ไม่มี เพิ่งจะมีเมื่อไม่นานมานี้เอง( 1 ปีถึงหรือเปล่าไม่แน่ใจ)   มีช่องหนึ่งของ 7 คือ ช่องกิเลศ คือช่องที่วางขายของเล่นนั่นเอง  แม่ดาวสอนลูกว่า เวลาที่เดินผ่านช่องนี้ให้หลับตาอย่าหันไปมองมัน  เคยเกิดเหตุการณ์มาแล้วค่ะ เขื่อนน้ำตาแตกใน 7 เพราะช่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ก็ตกลงกันก่อนเข้า แต่ปรากฎว่าระหว่างแม่ดาวกำลังจ่ายเงิน  วันนั้นบังเอิญต้องจ่ายกับแคชเชียร์ช่องนี้ ซึ่งตรงกับช่องกิเลศพอดี ระหว่างที่ยุ่ง ๆ กับการจ่ายเงิน น้องดีโด้ก็แอบเดินไปดูของเล่น และก็เจอของเล่นโดนใจ กิเลสเข้าครอบงำจิตใจ สติที่สร้างมาเอาไม่อยู่แล้วที่นี้  ดึงมือแม่ไป 

ดีโด้        แม่ครับแม่  แม่มาดูตรงนี้ก่อน นะแค่ดูนะแม่นะ ดูเฉย ๆ ไปดูด้วยกันก่อน

แม่           แค่ดูนะครับ ไม่ซื้อ (พลาดอย่างแรง อันที่จริงไม่ควรแม้แต่จะเปิดโอกาสเป็นการสร้างความหวังอันน้อยนิดให้คิดว่าอาจจะได้)

ดีโด้        เนี้ยแม่ ทหารแบบนี้มันเท่ห์มากเลยนะแม่ดูซิ แบบนี้ดีโด้ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย ฯลฯ (บรรยายไปต่าง ๆ นา ๆ ชักแม่น้ำทั้ง 5 มารวมกันให้เห็นว่า มันน่าเล่นมากมายขนาดไหน ฉลาดพูดมากมาย)

แม่           (นั่งลงจับมือดีโด้มองตาไว้) แม่เข้าใจนะครับว่าลูกชอบหุ่นทหารแบบนี้มาก เป็นแบบที่ลูกยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยเนอะ  ลูกก็ชอบของเล่นพวกทหารนี้มากด้วย  วันเกิดลูกเมื่อไหร่ หรือมีโอกาสพิเศษอะไร เรามาซื้อกันเนอะ 

         ดีโด้จากที่เหมือนจะมีความหวังตอนนี้ ดีโด้รู้ดีว่าหากแม่พูดแบบนี้ คือวันนี้ยังไงก็ไม่มีทางได้แน่ ด้วยเป็นคนที่มุ่งมั่นและมีความพยายามมาก อยากได้อะไรต้องลองทำให้มันถึงที่สุด ฮ่าๆๆ สักยก ประลองฝีมือกันสักตั้งกับแม่

ดีโด้        ระเบิดเสียงร้องไห้หนัก เรียกได้ว่าจะเอาให้อายกันไปทั่วว่างั้น แต่บังเอิญคุณแม่หน้าด้าน ฮ่าๆๆ ไม่อายค่ะ ไร้ยางอายไปนานแล้วอิอิ แต่ไม่ใช่ไม่สนใจเขานะ  

แม่           ดีโด้ครับ....แม่ไม่ได้บอกว่าไม่ซื้อให้นะ แม่บอกว่าจะซื้อให้ แค่ไม่ใช่ตอนนี้ รอนะครับลูกได้แน่ ๆ  แม่สัญญา 

ดีโด้        ไม่ๆๆๆ ดีโด้จะเอาทหารวันนี้ ตอนนี้เลย ซื้อเดี๋ยวนี้ ดีโด้จะเอาไปจ่ายเงินเลย (ทำท่าจะถือไปที่แคชเชียร์) 

คงไม่ต้องบอกนะคะว่าบรรยากาศในร้าน 7 ตอนนี้เป็นยังไง ทุกสายตาจับจ้องมาที่แม่และลูกคู่นี้ เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา  แต่แม่ดาวไม่อยากเสีย 3 ต่อ  คือ เสียเงิน เสียคำพูด และเสียลูกที่ดีเพราะจะสร้างนิสัยไม่ดีให้ลูก เห็น ๆ เลยว่าขาดทุนกันเห็น ๆ  เรื่องอะไรจะต้องเสียใช่ไหมคะ

แม่           ดีโด้ครับ.....แม่จะออกไปรอลูกข้างนอกร้านนะครับ  ถ้าลูกพร้อมเมื่อไหร่ไปหาแม่นะ แม่จะรออยู่ตรงนั้น  (คำว่าพร้อม คือ ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย อารมณ์เกือบปกติที่คุยกันรู้เรื่อง ดีโด้เข้าใจคำนี้ดี เพราะเราคุยกันบ่อยๆ)   
    
แม่ดาวเดินจากไปพร้อมกับสายตาหลายคู่ที่เหมือนบอกกับแม่ดาวว่า แม่ใจร้าย ของเล่นแค่ไม่กี่บาทซื้อให้ก็ไม่ได้ ยังทิ้งลูกไว้ได้ลงคอ  ตำหนิผ่านสายตากันเห็น ๆ แต่แม่ดาวก็ยิ้ม ๆ ก้มหัวนิดนึงแล้วออกไปรอหน้าร้าน
ดีโด้ร้องโวยวายหนักขึ้น คือเวลาน้องดีโด้ร้องไห้เขาจะไม่ใช่ร้องอย่างเดียวจะต้องร้องไห้ไปด้วยตะโกนพูดไปด้วยโวยวาย ๆ  แปลก ๆ ดี ส่วนใหญ่เห็นเด็ก ๆ ส่วนมากเขาร้องไห้ เขาก็จะร้องไห้แงๆๆๆๆ อย่างเดียว ดีโด้ไม่เคยจะแงๆๆอย่างเดียว ตั้งแต่พูดไม่ได้ ก็ร้องไห้ไป บ่นๆ ๆๆไป ไม่เป็นภาษา ใครที่รู้จักจะรู้ดีฮ่าๆๆ  

แต่ไม่นานค่ะ ไม่ถึง 2 นาทีด้วยซ้ำ เขาก็ลุกขึ้น วางของเล่นเก็บเข้าชั้นเอง และเดินออกมาหน้าประตูที่แม่ดาวยืนรออยู่ จับมือแม่ดาวแล้วก็ยอมกลับบ้านทั้งน้ำตาเปียกๆ แบบนั้น พอเขาเริ่มจะบ่นโวยวายอีก  เราก็จะหยุดเดินและหันมาบอกลูกว่า ดีโด้ครับ หากลูกยังไม่พร้อมจะคุยกับแม่ ยังไม่ต้องคุยนะครับ ไว้พร้อมก่อนเราค่อยคุยกัน  เขาก็จะหยุด มีแอบบ่นเล็ก ๆ ตามประสา ก็จับมือกันอยู่ดี  ความสัมพันธ์ยังอยู่นะคะไม่ขาดสะบั้น แม่ดาวไม่ได้ใช้อารมณ์เสียเลย อารมณ์โหมดปกติตลอด ๆ พูดแบบที่เข้าใจเขาจริง ๆ  ตั้งแต่วันนั้น เราเรียกช่องนั้นกันว่า ช่องกิเลศ  

 หากถามแม่ดาวว่า แล้วจากเหตุการณ์วันนั้นแล้วมีร้องไห้โวยวายอีกไหม  ผ่านไป 1 ปี ถ้าจำไม่ผิดเพิ่งจะมีอีกครั้งไม่นาน เนื่องจากน้องดีโด้ไม่สบาย ตกลงกันแล้ว แต่เขาป่วย พอร่างกายป่วย อารมณ์ก็จะไม่ปกติไปด้วย การควบคุมอารมณ์จะทำได้ไม่ดีเหมือนเก่า  ก็ร้องไห้หนัก แต่ไม่ลงไปดิ้นนะคะ ยืนร้องไห้ ผลก็เหมือนเดิม แต่วิธีการต่างจากเดิมคือแม่ดาวใช้เวทมนต์กระจกวิเศษ ใครเคยอ่านแล้วคงร้องอ๋อ  เอาไว้จะคัดลอกมาไว้ในนี้ให้ได้อ่านกันเนอะสำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน   

และเมื่อวันเกิดลูกที่ผ่านมาเขาก็ได้ของขวัญเป็นของเล่นใน 7 นี่แหละค่ะ  เขางง ๆ ในตอนแรก ที่อยู่ ๆ ระหว่างที่เขาดูของเล่นอยู่ แม่บอกเขาว่า ดีโด้ครับเลือกเลยนะครับ ว่าอยากได้ของเล่นชิ้นไหน เลือกที่ลูกชอบที่สุดเลยนะแม่จะซื้อให้ คือปัจจุบันเขาสามารถดูได้อย่างที่ไม่ต้องเรียกร้อง ขอแค่มองๆว่างั้น แม่ดาวไม่ห้ามนะ เป็นการทดสอบสติทีดีมาก ๆ 
เขาทำหน้างงจัด ขำ ๆ หน้าเห็นหน้าลูกตอนนั้น เขาลืมไปแล้วว่าวันนั้นเป็นวันเกิดเขา เด็กเขาไม่ได้จำหรอกว่า วันคือวันเกิด นอกจากเราจะบอกเขา ตอนเช้าของวันเกิดก็พาไปใส่บาตรแล้ว กอดแม่ บอกรักแม่ กราบแม่แล้วด้วย แต่ตอนเย็นก็คงจะลืม เรียกว่างงเป็นไก่ตาแตก พอเราบอกว่า อ้าว....ยืนงงอะไรลูก ก็ที่แม่สัญญาไว้ไง ว่าจะซื้อให้พอถึงวันเกิด ถึงตอนนี้เขาจะเปลี่ยนใจไม่เอาทหารแล้ว แต่เอามังกรมาแทน ก็ถือว่า แม่รักษาคำสัญญาแล้วนะ 

การเข้า 7 ไม่ใช่เรื่องลำบากใจเลยสำหรับแม่ดาว เข้าแบบสบาย ๆ ลูกอาจจะลำบากใจบ้าง เกิดทุกข์ง่าย เพราะกำลังสติยังน้อย ต้องฝึก แม่ดาวสอนลูกฝึกสติด้วยนะคะ  เพิ่งสอนตอน 5 ขวบนี่แหละ เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ฝึกง่าย ๆ เอาไว้จะมาพิมพ์ให้อ่านวิธีการฝึกสติลูกกันอีกทีเนอะ  

***อ่านแล้วอาจคิดว่าโอ้โห...แม่ดาวใจเย็นจังเลย หึๆๆ  บางครั้งแม่ดาวก็มีอารมณ์ขึ้นสูงนะ แต่จะบอกลูกว่า "แม่กำลัง.......(โกรธ หงุดหงิด ฯลฯ) ยังไม่พร้อมจะคุยตอนนี้นะครับ ขอสงบสติอารมณ์ก่อน" แล้วก็เดินไปตรงไหนสักมุมในบ้านที่คิดว่าดีที่สุด ส่วนมากจะเป็นระเบียงบ้านฮ่าๆๆ มุมโปรด ขีดความร้อนลดแล้วก็กลับมาคุยกันใหม่  แล้วหากถามว่ามีไหมที่เอาไม่อยู่  ก็มีค่ะ แต่ไม่ถึงขนาดตวาดฟาดงวงฟาดงา แค่เสียงแข็ง ตาแข็ง เหมือน ๆ ผีเข้า หรือไม่ก็จะบ่นๆๆๆๆ ออกแนวบ่นๆๆ ลูกก็จะเบื่อๆๆๆๆ ฮ่าๆๆ


               

           

วันนี้เรามาชมลูกกันเถอะ

              ติดกันไว้นานกับเรื่องการชื่นชมลูก  ก่อนที่เราจะชมลูกของเราให้พิจารณาดูก่อนว่าลูกของเราเป็นเด็กแบบไหน มีลักษณะนิสัยอย่างไร อายุเท่าไหร่ด้วยนะคะ อันนี้สำคัญ เพราะถึงจะเป็นคำแบบแบบเดียวกัน แต่ผลก็ออกมาต่างกันสิ้นเชิง กับเด็กที่มีบุคคลิก นิสัย และอายุที่แตกต่างกัน

                หลักการกว้าง ๆ  เนอะ

1.     ชมในสิ่งที่ที่ลูกของเราทำจริง ๆ เราเห็นว่าเขาทำจริง ชมออกมาจากใจของเราจริง ๆ  คืออันนี้บอกเลยนะคะว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว คือ แม่ดาวเจอมากับตัวว่า หากเราชมแบบชมไปงั้น ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำดีจริง ๆ เขาก็รับรู้ได้ว่าเราไม่จริงใจ  แต่กับเด็กบางคนอาจไม่เป็นก็ได้นะคะ แต่น้องดีโด้เป็น

2.     ให้เราชมระบุพฤติกรรมที่เราเห็นว่าเขาทำได้ดี เช่น  แม่ดาวเห็นน้องดีโด้เก็บถุงขนมที่ใครก็ไม่รู้ทิ้งไว้ที่โรงเรียนไปทิ้งลงถังขยะเอง  แม่ดาวก็จะชมว่า โอ้โห....ดีโด้ครับหนูเนี้ยเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมจริง ๆ เลยนะเนี้ย เห็นขยะที่พื้นก็เก็บเอง โดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย แม่ปลื้มใจจริง ๆ  อาจจะฟังดูขัด ๆ สำหรับหลายคน แต่สำหรับน้องดีโด้แบบเนี้ยเขาจะชอบและจะกระตุ้นให้เขาทำต่อไปอีกเรื่อย ๆ 

3.     ระวังคำว่าพวกคำว่า ที่สุด เยี่ยมไปเลย สุดยอด คำประเภทที่ว่า เลิศมาก  ดีมาก  คำพวกนี้บางทีก็กลายเป็นดาบสองคม กับเด็กบางคนฟังแล้วเขาจะกดดัน และกลายเป็นยาพิษสำหรับเขาไป  แต่สำหรับดีโด้ก็ไม่ค่อยเป็นอะไรมาก แต่อาจจะก่อให้เกิดอาการหลงตัวเองได้ง่าย ๆ เพราะดีโด้จะเป็นเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เป็นที่รักและได้รับการยอมรับจากหลาย ๆ คน  แต่สำหรับเด็กประเภทที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าพอ ไม่เห็นค่าในตัวเอง คำชมพวกนี้น่ากลัวมาก จะกลายเป็นไปกดดันเขา ทำให้เขารู้สึกแย่ต่อตัวเองมากกว่าเก่า  เช่น ชมว่า วันนี้ลูกของแม่เป็นเด็กดีมาก ๆ เลยนะครับ ช่วยแม่กรอกน้ำโดยที่แม่ไม่ต้องบอกเลย หากเป็นดีโด้คำพูดแบบนี้ ผ่าน  แต่สำหรับกับเด็กที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีคุณค่าจะคิดว่า ฉันไม่คู่ควรที่จะได้รับคำชมแบบนี้ เพราะฉันดีไม่พอ กลายเป็นเครียดไปแทนที่จะดี ต้องระวังนะคะ   หากเราเผลอพูดไปแล้ว ๆ รู้สึกว่าเด็กคิดมากไม่สบายใจ ให้คุณบอกกับลูกต่อไปว่า ที่แม่พูดแม่รู้สึกและคิดแบบนั้นจริง ๆ แล้วก็บรรยายไป เพื่อยืนยันให้เขาสบายใจว่าเราไม่ได้แกล้งชม เรารู้สึกอย่างนั้น เขาคู่ควรเหมาะสมกับคำชมที่เราให้จริง ๆ  เขาจะได้สบายใจขึ้น แล้วครั้งต่อไป ก็ระวัง ๆ มาก ๆ นะคะ

4.     เวลาชมให้เราพยายามชมระบุพฤติกรรมเป็นคำสั้น ๆ ไว้ด้วย เพื่อให้เขารู้ว่าแบบนี้ที่เขาทำเรียกว่าอะไร เช่น  ขยัน ,อดทน, ช่างสังเกตุ, ประหยัด, พยายาม มีความรับผิดชอบ ฯลฯ 

5.     ระวังคำชมประเภทที่ว่าฟังแล้วรู้สึกว่าแอบตำหนิผ่านคำชม เช่น โอ้โห....ลูกแม่ขยันถูบ้านให้แม่ สงสัยวันนี้ฝนฟ้าท่าจะตกหนัก   คือเราอาจจะพูดด้วยอารมณ์ขัน ชื่นชมลูกจริง ๆ แต่ลูกฟังแล้วเขาจะรู้สึกว่า ที่ผ่านมาเนี้ยฉันขี้เกียจมากขนาดนั้นเลยเหรอเนี้ยในสายแม่

6.     ไม่อยากให้ชมให้มากจากความเป็นจริงมากไป แทนที่จะดี อาจจะก่อปัญหาได้ เช่น เห็นลูกเตะบอลได้ดี เลี้ยงลูกบอลได้เก่งกว่าเด็กวัยเดียวกัน เราชมไปว่า นี่ถ้าลูกได้ไปดวลแข่งกับ Lionel Messi นักฟุตบอลที่เขาว่าเก่งที่สุดระดับโลก ลูกของแม่ต้องชนะแน่ ๆ เลย  ลูกอาจจะรู้สึกกดดัน คิดว่ามันยากเกินกว่าที่จะทำได้ และอาจคิดว่าแม่คาดหวังในตัวเขาอยากจะให้เขาเก่งขนาดเป็นนักฟุตบอลระดับโลก มันจะท้อกันง่าย ๆ และอาจเลิกชอบการเล่นฟุตบอลไปเลย

7.     ชมเปรียบเทียบอดีตและปัจจุบันของสิ่งที่ลูกทำ ไม่ชมโดยลูกเราไม่เปรียบเทียบกับใคร เช่น แม่เห็นว่าเดี๋ยวนี้ลูกเขียนหนังสือได้สวยขึ้นกว่าเมื่อตอนอ.1 มากเลยนะครับเนี้ย

การชมเหมือนดาบสองคมดังนั้นเวลาจะใช้คำชมเราควรจะไตร่ตรองให้ดี ๆ ก่อนนะคะ   หลายท่านอ่านแล้วอาจจะแอบบ่นในใจว่า โหย.....นี่แค่จะชมลูกยังต้องคิดมากขนาดนี้เลย ไม่ชมซะเลยดีกว่าไหม  แม่ดาวขอบอกนะคะ  ชมเถอะค่ะ อาจจะยากสักหน่อยช่วงปฏิบัติแรก ๆ ทำไปเรื่อยๆ มันก็จะคุ้นชินไปเอง จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติเอง  ชมแล้วดีนะ กระตุ้นพฤติกรรมดี ๆ ให้เกิดขึ้นต่อ ๆ ไป บางอย่างที่ไม่ดีหากเราพูดเป็น ชมเป็นพฤติกรรมไม่ดีนั้นก็จะหายไปได้ด้วย  ลำบากแค่ตอนแรก ๆ แหละ ทน ๆ หน่อยนะคะเพื่อลูก 

หากใครอ่านแล้วมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำชมมากกว่านี้แนะนำเพิ่มเติมได้นะคะแม่ดาวเองก็จะได้รู้และนำใช้บ้าง แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันนะคะ


วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มันยากเกินไป หรือเรายังไม่วางใจให้เขาทำ

            เป็นอีก 1 คำถามนะคะ ที่แม่ดาวแนะนำให้ทุก ๆ ท่านลองหันกลับมาถามคำถามนี้กับตัวเอง  แม่ดาวเองก็เป็นคนนึงที่เคยมีความคิดหลาย ๆ เรื่องของลูก ว่า มันยากไปสำหรับลูก ยังไม่เหมาะสมกับวัยเขา   เช่น  การใช้กรรไกรตัดกระดาษแบบที่เราใช้ปกติ ซึ่งเขาก็อยากจะใช้มาก แม่ดาวจะมีกรรไกรสำหรับเด็กไว้ให้เขาใช้ตัดเล่น ก็เป็นกรรไกรจริง ๆ แต่มีขนาดเล็กกว่าที่เราใช้ปกติ เวลาให้ลูกใช้ก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเรานะคะ ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกเล่นตัดเองลำพังคนเดียว แต่เราคงไม่ต้องเฝ้าเขาตลอดชีวิตหรอกจริงไหม  แค่ตอนเริ่มหัดใช้ เขาจะเริ่มคุ้นชิน ใช้บ่อย ๆ ก็จะเกิดทักษะมากขึ้นและใช้ได้เองในที่สุด
            มีเหตุการณ์นึงที่แม่ดาวจำได้ดี ตอนดีโด้ 4 ขวบแหละ  ดีโด้เขาจะตัดซองน้ำผลไม้ชง ที่เป็นซอง ๆ ยาว ๆ  ตอนแรกเราก็ไม่เห็น หันไปอีกทีเห็นเขาลงจากเก้าอี้หลังจากปีนหยิบกรรไกร หยิบซองน้ำผลไม้ชงเอง (แม่ดาวเก็บไว้ให้สูงพ้นมือเขา แต่ก็ไม่พ้นอยู่ดี ฮ่าๆๆ)  ขณะที่เขากำลังใช้สมาธิในการ เตรียมตัวที่จะชงน้ำผลไม้ด้วยตัวเอง  แม่ดาวก็พูดขึ้นว่า 
แม่        ดีโด้ครับ ลูกอยากชงน้ำผลไม้ทานเองเหรอลูก (ที่ถูกต้องดื่มเนอะ)
ดีโด้      ใช่ครับแม่  ดูซิดีโด้หยิบมาเองหมดเลยนะแม่  (สีหน้าท่าทางภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำมาก เตรียมแก้วเอง น้ำเอง ซองผง และกรรไกร วางเรียงอยู่ตรงหน้า)
แม่        อืม.....แล้วกรรไกรอันนี้  สำหรับใครใช้ครับลูก
ดีโด้      ของผู้ใหญ่ใช้.....แต่แม่ ถ้าเด็กไม่ได้เรียนรู้ ฝึกใช้ดูแล้วเด็กจะรู้วิธีการใช้ได้ยังไง  มันต้องให้เด็ก ๆ ได้ลองใช้ เด็กจะได้ใช้เป็นไงแม่
แม่        (นิ่งคิดพักนึง) อืม....นั่นซิ ขอบคุณดีโด้นะครับที่ลูกเตือนสติแม่  หากแม่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ลูกก็จะใช้ไม่เป็นสักทีเนอะ  งั้นแม่ขอว่าเวลาที่ดีโด้อยากจะใช้กรรไกรนี้ บอกแม่ก่อนนะครับ แม่จะได้รู้ จะเป็นครูช่วยฝึกสอนให้ไงเนอะ  
ดีโด้      ดีโด้ใช้เก่งแล้วแม่ เดี๋ยวดูนะดีโด้จะทำให้ดู 
     ว่าแล้วก็ทำท่าทำทางจะขยับกรรไกร
แม่        นั่นซิ...เพราะดีโด้ฝึกจากการใช้กรรไกรเล็กมาแล้ว ก็เลยทำได้ดี  แต่ก็ต้องระวังมาก ๆ นะครับ กรรไกรอันนี้มันใหญ่กว่าเยอะ  เรายังไม่คุ้นเคยกับมัน งั้นแม่เป็นผู้ช่วย ที่ปรึกษาให้แล้วกันนะ เพราะเด็กมีความสามารถอยู่แล้ว แต่ยังขาดประสบการณ์เนอะ
         ดีโด้ยิ้มหน้าบาน เพราะรับรู้ว่าแม่ชม และเขาภูมิใจในตัวเขาเองที่ทำได้ และทำได้ดีมากซะด้วย   
            บอกตามตรงนะคะ แม่ดาวอึ้ง...ไปเลย ลูกเอาคำพูดที่เราเคยใช้สอนเขากับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันมาสอนเรา และเขามาเตือนสติเรา เขาให้ธรรมะแก่เรา  อุเบกขา (การวางใจเป็นกลาง) แม่ดาวนึกถึงคำ ๆ นี้ในสมองทันที   เราคิดเองว่ามันยากเกินไป  ยังไม่เหมาะสมกับวัยของเขา เราเอาความคิดเราไปตัดสินจำกัดสิทธิ์ ความสามารถในการเรียนรู้ของเขา  
อ่านหนังสือมาก็เยอะ  รู้มาก็เยอะ รับรู้เก็บไว้ในสมอง แต่ที่ขาดในบางที คือสติ ปัญญา  คนเราบางครั้งก็หลงนะ ไม่โง่นะ ใช้คำว่าหลง คือไม่ใช่ไม่รู้  รู้ทั้งรู้ แต่หลงไง ลืมไป ปัญญาที่จะแยกว่าอะไรควร อะไรไม่ควรนี่ยังไม่ค่อยมี สติมันน้อยในบางที ต้องให้ลูกมาเติมสติให้เต็ม   พอสติเต็ม  เราจะตื่น เราจะรู้สึกตัว แล้วปัญญาก็จะตามมา  
มีอีกหลาย ๆ เรื่องนะคะ ที่แม่ดาวเองก็หลงบ่อย ๆ  ต้องพยายามมีสติเสมอ ๆ หลาย ๆ ครั้งก็ลูกเรานี่แหละคือตัวสติ  เขาเตือนสติเราบ่อยมาก  ไม่ว่าจะจากคำพูด หรือการกระทำ  เขาเป็นครูฝึกสอนเราที่ดีมาก เราต้องเรียนรู้จากเขาไปตลอดชีวิต เขาไม่เพียงแต่สอนวิชาเลี้ยงลูกให้เรานะคะ หลาย ๆ ครั้งเขาสอนธรรมะแก่เราอีกด้วย
ต้องขอบคุณน้องดีโด้อาจารย์พ่อของแม่ดาวจริง ๆ

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลูก กับ เกมส์

เรื่องนี้เราได้ยินกันบ่อยมาก  หากเด็กติดเกมส์มาก ๆ เล่นแต่เกมส์ที่มีความรุนแรง ต่อสู้ โหดร้าย ฆ่ากันเลือดสาด เด็กเหล่านั้นก็จะเกิดมีพฤติกรรมเลียนแบบในเกมส์ ก้าวร้าว รุนแรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้  อ่านข้อความแบบนี้ แล้วคุณคิดจะทำไง หรือคุณทำอะไรต่อค่ะ  
1. ไม่ให้ลูกเล่นเกมส์เลย
2. เลือกเกมส์ให้ลูกเล่น
3. เล่นเกมส์ทารุณโหดร้ายได้ แต่เราต้องเล่นกับลูกไปด้วย สอนไปด้วย
หรือ ไม่มีอยู่ในทั้ง 3 ข้อ
ปัจจุบันน้องดีโด้ (5 ขวบ) ก็เล่นเกมส์นะคะ ตอนแรกแม่ดาวก็ไม่ได้คิดวิตกอะไรมาก กับที่ลูกเล่นเกมส์ เพราะคิดว่าก็ลูกเขาเกิดมาในยุคนี้ ยุคเทคโนโลยี มันก็ต้องมีกันบ้างแหละ ให้เขาเล่น ได้เรียนรู้ โดยมีเราอยู่ข้าง ๆ (แต่ก็ไม่ทุกครั้งนะคะ บางทีก็เล่นคนเดียว)   คือให้เล่นบ้าง แต่ไม่ใช่ต้องเล่นตลอด เล่นจนติด  มาตอนหลังสามีซื้อ tablet มาใช้งาน เขาก็มีโหลดเกมส์สร้างสรรค์มาให้ลูกเล่นแรก ๆ ต่อ ๆ มาหลัง ๆ สามีเริ่มเกิดอาการติดเกมส์ซะเอง จะติดก็ไม่เชิง คือไม่ถึงตลอดเวลา แต่ถ้าว่าง ๆๆ ก็จะต้องเล่นแหละ  ลูกก็เห็นป๊าเล่นก็เล่นบ้าง ส่วนป๊าโหลดมาเล่นเองแต่ละเกมส์ ต่อสู้ โหดร้าย ฆ่ากันตาย เลือดสาดกระจายก็มี
แล้วไงต่อรู้ไหมค่ะ สอนให้ลูกเล่นเกมส์พวกนี้ เราเองไม่สนับสนุนอยู่แล้วกับเกมส์รุนแรงพวกนี้ ก็เตือนทั้งสามีและลูก แต่ก็ไม่ฟังนะคะ  ลูกเนี้ยยังว่าง่ายกว่า ยังมีจิตสำนึกว่า แม่สอนไว้ว่า ลูกยังเด็ก สติยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเล่นเกมส์พวกนี้  เด็ก ๆ ที่เล่นเกมส์พวกนี้จะทำให้ปลูกฝังจิตสำนึกของความรุนแรงเข้าไปในจิตใจและกลายมาเป็นพฤติกรรมที่โหดร้ายในที่สุด ชี้ให้เขาเห็นถึงข่าวที่พี่ ๆ นักศึกษาตีกันในข่าว เล่าให้เขาฟัง ฯลฯ เรื่องรอบ ๆ ตัวที่เขาเห็น ฟังและได้สัมผัสมา  ไม่ว่าจากทีวี ฟังข่าว หรือเรื่องเล่าต่าง ๆ  หรือกับเด็กบางคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงที่เขาได้เจอ
ช่วงหลัง ๆ  มานี่เล่นบ่อย  บางทีก็เล่นกับป๊า บางทีก็เล่นคนเดียว  ไอ้เราก็ผิดนะ...ทำงานบ้าน ทำกับข้าวอยู่นั่น  ทีหลังไม่ทำมันแล้วปล่อยบ้านรก ๆ  ซื้อกับข้าวกิน ผ้าไม่ต้องรีด ไม่ต้องซักเลยดีกว่า ไหนจะสังคมออนไลน์อีก เลิกให้หมดจะได้ดูแล เฝ้าระวังลูกได้อย่างเต็มที่ ฮ่าๆๆ ก็อ้างกันไป    แม่ดาวขอย้ำเลยนะคะ คุณแม่คนไหนก็แล้วแต่ทุ่มเทให้ลูก ให้สามี ให้งานมากเกินไปจนไม่เหลือเวลาให้ตัวเองบ้างเลยมันจะไม่ไหวนะ  มันจะเครียด จิตตก เกิดภาวะซึมเศร้า (อาการทางจิต) ได้ง่ายมาก ๆ เลย  แม่ดาวเคยเป็นมาแล้ว เราต้องแบ่งเวลาให้ตัวเองด้วย ดูแลคนอื่น ๆ แล้วอย่าลืมดูแลตัวเอง
มาเข้าเรื่องเกมส์กับลูกกันต่อ  ก่อนหน้าแม่ดาวก็ติดเกมส์นะ  ชอบเล่นเกมส์ the sim3 มีเล่นสลับกับ plant vs zombies บ้าง ฮ่าๆๆ ก็เล่น ๆ ในช่วงที่รู้สึกว่า ฉันอยากจะทำอะไรที่เป็นฉันบ้าง  บางทีก็มีเล่นตอนลูกอยู่  แต่ต้องมีสามีอยู่ด้วยนะถึงจะเล่น ถ้าอยู่กับลูก 2 คนไม่ค่อยเล่น  จะทำกิจกรรมอย่างอื่นซะมากกว่า เพราะรู้ ๆ อยู่ว่าเกมส์ไม่ดีต่อเด็ก แต่......นะ  ความหลงมันพาไป โง่อยุ่สักพักแหละ แสงธรรมสว่างมาก็มีปัญญาตื่นขึ้นมาได้
ตอนหลังไม่เล่นเลย ไม่ไหวแฮะ ลูกเริ่มจะติดเกมส์มากขึ้น  พ่อก็เล่น แม่ก็เล่น(บ้าง)ให้เห็น ลูกจะไม่เล่นก็แปลก (พฤติกรรมเลียนแบบ) แล้วเด็กกับความสนุกเนี้ยเป็นอะไรที่แยกกันไม่ออก  แม่ดาวพลาดเต็ม ๆ คิดว่าเอาอยู่ไง เอาไม่อยู่ซะงั้น เลิก ๆๆๆ แม่ดาวไม่อยากเล่นให้ลูกเห็นแล้ว ลูกหลับ หรือไม่อยู่ค่อยว่ากัน อิอิ   บอกสามีว่าไม่ให้เล่นเกมส์ให้ลูกเห็น และถ้าอยากจะเล่นกับลูกจริง ๆ ก็ให้เลือกเกมส์ที่มันสร้างสรรค์สมวัยด้วย  ว่าแล้วก็ประกาศให้รู้ทั่วกัน  แต่สามีก็แอบเล่นกับลูกบ่อย ๆ เกมส์รุนแรง พอเราจับได้ ก็บอกว่า เราไม่เข้าใจความรู้สึกหรอกว่ามันสนุกขนาดไหน เฮ้อ....เหนื่อยใจ
ไม่เป็นผลเลยพูดไปปากจะฉีก ด้วยตัวสามีแม่ดาวเนี้ย เขาจะเอาเกมส์มาดึงดูดความสนใจจากลูกไงค่ะ เพราะเรื่องอื่น ๆ เขาเรียกร้องดึงดูดความสนใจจากลูกไม่ค่อยได้  ก็นะเขาใช้วิธีการเลี้ยงลูกต่างจากแม่ดาวมากชอบสั่งการและขู่  ใช้เสียงดุๆ  สีหน้าโหด ๆ  ลูกเลยแสดงอาการต่อต้านบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะเชื่อฟัง  อยากให้ลูกรักแหละ ก็ต้องเอาเกมส์มาล่อ (คิดเองนะ)  เราก็คอยติดตามเฝ้าระวังเท่าที่ทำได้  เห็นเมื่อไหร่ ก็บอก บอกไม่ฟัง ก็บ่น อย่างที่บอกพูดกับลูกเนี้ยง่ายกว่า พูดกับสามี  ดื้อมาก อย่างกับเลี้ยงลูก 2 คน คนโตเนี้ยที่สุด ตัวแสบเลย  ปวดหัวใจจริง ๆ
พฤติกรรมน้องดีโด้เปลี่ยนเห็นชัดเลยนะคะ ขนาดเล่นได้ไม่นาน เอ....ก็นานนะ น่าจะ 6 เดือนได้แหละ เลี้ยงด้วยการสร้างวินัยเชิงบวกจริง แต่แม่ดาวใช้คนเดียว  สามีไม่ยอมจะใช้ด้วย หรือใช้ก็ใช้ไม่เป็น ใช้ผิด ๆ  เอาไว้เรื่องสามีเนี้ยจะขยายกันอีกที มันเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่ดีมาก ๆ กับเรื่องสามีที่ไม่ยอมใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบเรา
สิ่งที่เปลี่ยนคือ เขาจะก้าวร้าวขึ้น แต่ไม่ถึงกับรุนแรงมากนะคะ แต่เมื่อก่อนไม่ขนาดนี้  แค่ในความรู้สึกของเราเทียบจากเดิมที่เขาเคยเป็น  พูดจาก็แข็ง ๆ ขึ้น  คือน้องดีโด้เมื่อก่อนที่จะใช้การสร้างวินัยเชิงบวกก็จะเป็นคนเจ้าอารมณ์ ใจร้อน ขี้หงุดหงิด โมโหง่ายอยู่แล้ว ต้องคอยระวังสิ่งกระตุ้น เพราะเขาจะเป็นอะไรที่หากเจอสิ่งเร้านิดเดียว ก็เกิดอาการเก่ากำเริบได้ง่าย ๆ  ประกอบกับช่วงนี้สนิทกับเพื่อนคนนึง เขาก็โดนเพื่อนคนนี้ทำร้ายร่างกายมาหลายครั้ง ปากแตกก็มี แต่ไม่โกรธนะ ฟังจากที่ลูกเล่า เพื่อนคนนี้ก็คงเหมือนเด็กผู้ชายทั่ว ๆ ไปแหละที่มักจะเล่นแรง ๆ ถึงเราจะสอนลูกมาตลอดว่า อยากเล่นต่อสู้ก็ไม่ว่า แปลงร่างก็ไม่ว่า (ก็เข้าใจเนอะเด็กผู้ชาย) แต่ขอว่าให้เล่นกันแบบไม่โดนตัวได้ไหม อารมณ์ว่าปล่อยลำแสงใส่กัน เตะต่อยกันแบบไม่โดนตัว  ลูกก็บอกว่าเพื่อน ๆ ก็เล่นแบบนี้กันหมด เขาไม่เล่นแบบดีโด้  แล้วเล่นแบบนี้มันสนุกกว่า 
นี่แหละคือการอยู่ร่วมกันกับสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  ลูกเราเขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ยังต้องการการยอมรับจากสังคม  เราทำได้แต่ชี้แนะ และหากมีปัญหาเกิดขึ้นเราก็ต้องช่วยดูแลและแก้ไข แต่ไม่ไปซ้ำเติม  เราไม่สามารถไปปกป้องเขาได้ตลอดเวลา ถึงเวลาเข้าจริง เขาจะต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกเองว่าจะทำ หรือไม่  ถึงยังไงเราก็ยังต้องคอยเป็นโค้ช ให้เขาไปก่อนในช่วงต้น ๆ ของทางเดินชีวิต  สิ่งที่แม่ดาวคิดว่าดีที่สุด คือใช้ธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเขาไว้  แม่ดาวจึงพยายามปลูกฝังเท่าที่จะทำได้ ณ ตอนนี้

มาดูบทสนทนาในการสอนเกี่ยวกับการเล่มเกมส์ของแม่ดาวกัน
แม่           ลูกเห็นพี่ ๆ ในข่าวแล้วลูกคิดยังไงกับพี่ ๆ พวกนี้
ดีโด้        ไม่ชอบครับ พี่ ๆ เป็นคนไม่ดี
แม่           แล้วรู้ไหมอะไรที่ทำให้พี่ ๆ เขาเป็นคนไม่ดี
ดีโด้        ไม่รู้ แม่บอกหน่อย  (หากตอบแบบนี้เราอย่าเพิ่งรีบตอบลูกนะคะ ให้เขาได้ลองคิดด้วยตัวเอง)
แม่           ดีโด้พอจะช่วยแม่คิดได้ไหมว่าเพราะอะไร อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ ๆ เป็นคนไม่ดี
ดีโด้        .............................(ไม่รู้ไม่อยากจะคิด หรือคิดไม่ออก ปกติจะตอบเจื้อยแจ้ว)
แม่           เอาไว้ถ้าดีโด้คิดออกมาบอกแม่นะ  สำหรับแม่คิดว่าเกิดจากที่พี่ ๆ เขาไม่มีใครคอยดูแล ให้ความรักอย่างเต็มที่ ไม่มีใครคอยบอก คอยสอนพี่เขาว่าทำแบบนี้มันไม่ดี   แล้วเกมส์ที่พี่ ๆ เล่นก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้พี่ ๆ เปลี่ยนจากคนมีจิตใจดี เป็นคนจิตใจโหดร้าย  แม่เคยอ่านข่าวแหละ บางคนตอนแรกเป็นเด็กดีมากเลยนะ พอไปเล่นเกมส์ติดเกมส์ เล่นแต่เกมส์ต่อสู้โหดร้าย เลยเป็นแบบนี้  น่ากลัวมากเลยเนอะ


อีกสักตัวอย่าง  ล่าสุดที่เพิ่งคุยไม่นาน
แม่           แม่รู้สึกว่าตั้งแต่เล่นเกมส์บ่อย ๆ ลูกเริ่มมีอารมณ์รุนแรง และพูดจาไม่ค่อยเพราะเหมือนเดิม  แม่อยากได้ลูกชายน้องดีโด้คนดีของแม่กลับมา  ทำไงดีครับ (อันที่จริงไม่ใช่สาเหตุเดียว แต่อยากพุ่งมาที่เกมส์)
ดีโด้        ดีโด้ขอโทษครับ  ดีโด้จะไม่เล่นเกมส์โหดร้ายแล้ว  แต่ดีโด้จะเล่นเกมส์สร้างสรรค์นะแม่นะ
แม่           ขอบคุณนะครับลูก ตอนนี้แม่เริ่มเห็นน้องดีโด้คนดีกลับมาหาแม่แล้ว
               
                พูดเสร็จก็กอดกัน หอมกัน รักแล้วเราต้องแสดงออกนะคะ

น่ากลัวนะ  ไอ้เกมส์ที่คิดกันว่าไม่เป็นไร แต่ว่าดาวไม่ชอบเลย เช่น เกมส์บี้มดให้ตายเนี้ย  มีพี่ ๆ สอนให้เล่น หรือเกมส์แกล้งสัตว์  เช่นปาเค้กใส่หน้ามัน  แกล้งให้ตกใจจนเป็นลม แล้วก็ขำกระจาย พอมีtablet ตอนนี้ดีโด้โหลดเกมส์เองเป็นด้วย  แม่มันเนี้ยยังทำไม่เป็น ตอนนี้แม่ดาวต้องใช้ธรรมะรักษาเยียวยาอย่างหนัก คอยดูแลใกล้ชิดขึ้น ผลยังไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย ถ้าสามีร่วมมือก็คงไม่ยากเลย  เมื่อคืนก่อนก็เอาอีก ขนาดทั้งอธิบายชี้แจ้งถึงสาเหตุของปัญหาก็แล้ว แนวทางแก้ไขก็มีเห็น ๆ กันอยู่ แต่ไม่ยอมปฎิบัติ  เหนื่อย   เอ้า ....กลับมาสู่ปัจจุบัน วันนี้ ตอนนี้  ณ เวลานี้ดีกว่า ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เริ่มนับ 1 แล้วนับต่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการ ถึงท้อ แต่ไม่ถอย จะสู้ๆๆๆ สู้โว้ย    
รู้ว่าผิดแล้วเราต้องยอมรับและรีบแก้ไข  นี่เป็นอีก 1 ประสบการณ์ที่ไม่ดีของแม่ดาว ที่จะกลายเป็นประสบการณ์ดี ๆ ของทุก ๆ ท่านที่ได้อ่าน เพื่อให้ได้ตระหนักเห็นโทษของการเล่นเกมส์ และพิจารณากันเองว่าคุณควรจะทำอย่างไรกับลูกของคุณ   ทุกอย่างมีทั้ง 2 ด้านเสมอ เกมส์ก็มีทั้งดี และไม่ดี เลือกกันเองแล้วกันนะคะ
แล้วได้ผลยังไงจะมารายงานต่อเป็นระยะ ๆ ทุกปัญหาเราต้องมีทางแก้ค่ะ หากวันนี้ยังแก้ไม่ได้ สติปัญญาเรายังมีไม่มากพอก็วางพักไว้ก่อน  ไม่ต้องไปเครียดกับมันมากนัก  เครียดไปก็แก้ไม่ได้อยู่ดี  เดี๋ยวพอเราเริ่มมีสติปัญญามากพอก็กลับมาแก้ใหม่ หรือไม่เราก็หันไปพึ่งคนที่มีสติปัญญามากกว่าเรา  แม่ดาวก็ทำแบบนี้ประจำ อิอิ

หมายเหตุ อันที่จริงสำหรับน้องดีโด้หากมีคนเล่นกับเขา เขาก็จะไม่สนใจเกมส์เท่าไหร่  เกมส์แค่เป็นเพื่อนแก้เหงาเวลาที่เขาไม่มีใคร แม่ดาวถึงคิดว่าไม่น่าจะยากหากจะดึงเขาออกห่างจากเกมส์ ถ้าสามีร่วมมือ ยากที่สามีนี่แหละ และสิ่งที่น่าห่วงคือพฤติกรรมที่โดนกระตุ้นแล้วจะต้องใช้เวลาเยียวยารักษาอาการนานแค่ไหนนี่ซิ น่าคิด
 




วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนะนำ 10 วิธี สร้างวินัยเชิงบวก


10 วิธีการนี้ เป็นการประมวลผลจากสมองของแม่ดาวเองโดยนำมาจากความรู้ต่าง ๆ ที่ได้ศึกษามา  และสรุปจาการความชอบเป็นการส่วนตัวของแม่ดาวเอง  เป็นวิธีการที่ใช้ประจำ ใช้บ่อย ใช้ตลอด ๆ เรียกว่าขาดไม่ได้  วิธีส่วนใหญ่ก็นำมากจาก 101 สร้างวินัยเชิงบวกของ ดร.แคทธารีน เคอร์ซี่ย์ ที่ครูใหม่และครูหม่อมเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้นี้มาให้แม่ดาวอีกต่อนึง  ต้องขอบคุณ ครูใหม่และครูหม่อมมาก ๆ นะคะ ที่นำความรู้ดี ๆ แบบนี้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยของเรา

1.  เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก  หากใครอ่านหนังสือจิตวิทยาเลี้ยงลูกทั่ว ๆ ไป ก็จะพบข้อนี้เสมอ ๆ  ข้อนี้จะว่าทำง่าย ก็ง่ายนะสำหรับบางคนที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว  สำหรับแม่ดาวเองแล้วข้อนี้ยากที่สุด หินที่สุด  ด้วยตัวเองไม่ค่อยจะมีอะไรที่ดี ที่จะเป็นต้นแบบให้ลูกทำตามได้ ต้องเรียกได้ว่าสร้างกันใหม่แทบจะทั้งหมด  เหนื่อยและท้อหลายครั้งกับการที่จะต้องเปลี่ยนตัวเอง เรียกว่าเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือตัวตนของเราในสมัยก่อน ทำได้จริงจังตอนเริ่มปฏิบัติธรรมะเมื่อไม่นานประมาณปีกว่าได้ ผลเพิ่งเริ่มเห็นชัด ๆ ว่าดีขึ้นก็เมื่อไม่กี่เดือนมานี่แหละ
แต่วิธีการเป็นแบบที่ดีให้ลูก อันนี้แม่ดาวว่าสำคัญกว่าข้ออื่น ๆ นะ ถ้าพ่อแม่ดีอยู่แล้ว ก็คงไม่ยากที่ลูกจะดีได้ง่าย  ลูกก็จะซึมซับแต่สิ่งดี ๆ จากเราไป แต่หากเราเป็นต้นแบบที่ไม่ดี ก็ไม่น่าแปลกใจว่าลูกของเราก็จะเป็นเหมือนเราเป็น ในร่างกายมนุษย์จะมีเซลล์กระจกเงา ทำหน้าที่ในการเรียนรู้จากการเลียนแบบ ซึ่งเด็ก ๆ จะเรียนรู้จากการเรียนแบบมากที่สุด

อยากรู้ว่าลูกเราเป็นอย่างไรให้เอากระจกมาส่องดูที่ตัวเราลูกคือกระจกเงาที่สะท้อนตัวของเรา

ประโยคนี้คงเคยได้ยิน ได้อ่านกันบ่อย ๆ  แล้วคุณล่ะ อยากให้ลูกเป็นคนแบบไหน  หากได้คำตอบแล้วลองกลับมาดูที่ตัวเราซิคะ ว่าตอนนี้คุณมี คุณสมบัติดี ๆ ที่คุณต้องการอยากให้ลูกคุณมีหรือยัง  แล้วถ้ายังคุณจะรออะไร รีบลุกขึ้นและแก้ไขเปลี่ยนตัวเองกันไหม อะไรที่ไม่ดีก็ทิ้งไป ส่วนดี ๆ เหลือเอาไว้ให้ลูกได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

             2.   พูดแล้วไม่คืนคำ   หากเราพูดอะไรแล้ว เราต้องรักษาคำพูด  ยึดมั่นในคำพูด และไม่ใจอ่อนยอมเปลี่ยนใจเมื่อเราเกิดความเห็นใจหรือสงสารลูก  ข้อนี้อยู่ใน 101 เช่นกัน เรีกว่า หลักการใจดีแต่เด็ดขาด ซึ่งเมื่อก่อนแม่ดาวจะเรียกว่า ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน ข้อนี้เป็นหัวใจของการสร้างวินัยเชิงบวกเลยทีเดียว หากเราทำข้อนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการการไหน ๆ  ก็อาจล้มเหลวไม่ประสบผลสำเร็จ

อยากให้ทุก ๆ ท่าน จำและปฎิบัติข้อนี้ให้ได้  และเช่นกันหากลูกพูดอะไรออกมาแล้ว เราก็ต้องยืนยันที่จะให้ลูกของเรารักษาคำพูดของเขาด้วยเช่นกันนะคะ  บอกให้ลูกได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญ ของคำพูด แม่ดาวบอกลูกเสมอว่า ก่อนจะพูดอะไรคิดให้ดี ๆ เพราะ คำพูดของเราจะเป็นนายของเรา และบอกผลของการที่ไม่รักษาคำพูดเป็นยังไง  หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจากการที่เขาไม่สามารถรักษาคำพูดได้ ให้ยกตัวอย่างความผลร้ายที่เกิดขึ้นให้เขาเห็น เป็นประสบการณ์ตรงที่เขาจะได้รับและรู้สึกได้ด้วยตัวเขาเอง

ข้อนี้สำหรับตัวแม่ดาวแล้วในช่วงแรก ๆ เป็นอะไรที่ปฏิบัติได้ยากมากๆๆๆ แต่สำหรับสามีข้อนี้หมู ๆ ทำได้แบบไม่ลำบากใจเลย  หึๆ   เขาไม่ได้เป็นคนใจร้ายนะคะ แต่เขาเป็นพวกเคร่งครัดกับระเบียบวินัยจัด ๆ ว่าสูงเชียวแหละ


3.  ให้ทางเลือกเชิงบวก  คือ ให้ทางเลือกในการปฏิบัติกับลูก ที่เราสามารถรับได้ทั้ง 2 ทางและให้ลูกเลือกที่จะปฏิบัติว่าจะเลือกข้อไหน  ข้อนี้ก็นำมาจาก 101   เช่น

ดีโด้จะให้ป๊า หรือให้แม่ช่วยสอนอ่านหนังสือให้ครับ    ทางเลือกคือ ป๊า  หรือ แม่   ไม่ว่าน้องดีโด้จะเลือกทางไหน ก็ต้องอ่านหนังสืออยู่ดี
ดีโด้ครับอีก 5 หรือ 10 นาที ลูกจะไปอาบน้ำครับ   ทางเลือกคือ 5 หรือ 10 นาที  ไม่ว่าจะเลือก 5 หรือ 10 นาที ผลก็คือน้องดีโด้ก็ต้องไปอาบน้ำ
ข้อนี้ต้องใช้ร่วมกับข้อ 2 ด้วย คือหากถ้าลูกเลือกแล้วไม่ยอมทำตาม งอแง โวยวายขนาดไหนยังไงก็ต้องทำ อาจดูเหมือนทำร้ายจิตใจกัน ในช่วงแรก ๆ ที่ปฏิบัติ แต่สัก 2- 3 ครั้งก็จะไม่มีปัญหาแล้วนะสำหรับน้องดีโด้   แม่ดาวเองทำแรก ๆ น้ำตาแทบร่วงสงสารลูกจับใจ แต่ก็จำใจต้องทำ แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราต้องไม่โวยวายอาละวาดตามลูก ต้องรักษาความปกติของใจไว้ให้ได้ ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี พูดอย่างเข้าใจและเห็นใจลูกด้วย 

เช่น แม่รู้ว่าดีโด้เสียใจมาก และแม่เองก็ไม่อยากทำแบบนี้นะลูก แต่นี้คือสิ่งที่ดีโด้เลือกเอง ดีโด้พูดแล้วต้องรักษาคำพูดนะครับ แม่รักและหวังดีอยากช่วยให้ดีโด้เป็นคนที่รักษาคำพูดนะครับ  แต่ขอบอกนะคะว่าเวลาที่เขากำลังอาละวาด อย่าไปพูดอะไรกับเขามาก เขาไม่รับฟังเราหรอกค่ะ เอาแค่ว่า  ครับ ๆ แม่เข้าใจนะลูก ว่าลูกเสียใจ แม่ทำเพราะแม่รักลูกนะ ประมาณนี้ แล้วเอาไว้ให้เขาสงบลงก่อนค่อยพูดอะไรเยอะ ๆ  หรือไม่ก็เบี่ยงเบนความสนใจไปเลย

แล้วถ้าลูกไม่ยอมเลือกล่ะเคยมีไหม แล้วทำยังไง  มีค่ะ   น้องดีโด้พอใช้วิธีบ่อย ๆ หลัง ๆ เริ่มพัฒนา ไม่ยอมที่จะเลือก แต่เราก็มีวิธีค่ะ ครูสอนมาคือ ให้ถามคำถามดังนี้กับลูก ดีโด้จะเป็นคนเลือกเอง หรือจะให้แม่เลือกให้ครับ  โดยปกติตามหลักจิตวิทยาแล้วนั้นพอได้ยินประโยคนี้เด็กจะรีบเลือกทันที เพราะเด็ก ๆ เขาไม่ชอบที่จะให้ใครมาบังคับ หรือฟังคำสั่งจากใครอยู่แล้ว อยากจะเป็นผู้เลือกชีวิตของตัวเอง  หากไม่เลือกอีกถามต่อค่ะ หากให้แม่เลือก แม่จะเลือก 5 นาทีนะครับเร็วดี ไม่เลือก 10 นาทีหรอกมันนานเกินไปสำหรับแม่ ออกแนวแหย่ ๆ ลูกนะคะ  

ขอย้ำว่าเราต้องพูดอย่างใจดี ใจเย็น มุขนิด ๆ อย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าเขากำลังถูกบังคับให้เลือก อันนี้ต้องใช้จิตวิทยาร่วมด้วย น้องดีโด้มักจะต้องมาถามมาถึงคำถามสุดท้ายอยู่บ่อย ๆ   แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยแล้วนะคะ เขาจะเป็นระบบอัตโนมัติไปแล้ว พอเลือกแล้วเขาก็จะทำเลยแทบจะไม่ต้องเตือนเลย

3.  การตั้งเวลา  ข้อนี้แม่ดาวมักใช้คู่กับการให้ทางเลือกเชิงบวก และขาดไม่ได้คือยึดมั่นคำพูด คือพอลูกเลือกแล้วว่ากี่นาที แม่ดาวก็จะใช้ตัวจับเวลาตั้งเวลาเตือนเป็นเสียงให้ลูกได้ยิน   อาจใช้เป็นมือถือตั้งเวลา หรือ ใช้ชี้เข็มนาฬิกาให้ลูกดู   หากเลือกการใช้เสียงเตือนก็จะได้ผลชัดกว่า คือเขาได้ยินเสียงเลย แม่ดาวมักจะให้ลูกเลือกเสียงเตือนไว้เอง เช่นเสียงเพลงโดราเอมอน พอเสียงเพลงที่เขาชอบดัง เขาก็จะอารมณ์ดีด้วย เพราะเพลงที่ตัวเองเลือกด้วย จะทำตามง่ายขึ้น

แม่ดาวเคยลงทุนซื้อนาฬิกาปลุกแบบที่เขาชอบ ให้ลูกเลือกเองเลยให้ 800 บาทได้นะ แพงมากสำหรับแม่ดาวแต่ก็ยอมลงทุน และก็ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ แม่ดาวว่ามันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  ปรากฎว่าแรก ๆ ก็ชอบนะ นาน ๆ ไป เริ่มไม่พอใจบ่นอยากจะเอาไปทิ้ง ประมาณว่า เกลียดนักเจ้านี่ ชอบมาสั่งบังคับเรา อิอิ   วิธีนี้แรกก็เห็นผลได้ดีมาก ใช้ต่อ ๆ ไปเริ่มมีปัญหา เริ่มเบี้ยว    เราก็แสดงความเข้าใจเข้าไป การใช้ตัวตั้งเวลานี่ดีนะคะ   ทำให้เราไม่ใช่ผู้บงการบังคับสั่งการเขา ไม่ใช่เรา แต่เป็นพี่นาฬิกา หากเวลาลูกเกิดปฏิกิริยาต่อต้านโวยวายใส่เรา เช่น

ดีโด้    ดีโด้ไม่ทำแล้ว แม่ชอบบังคับดีโด้ให้ทำ ไม่ทำแล้ว งอน กระฟัดกระเฟียด ไม่อยากเลิกเล่นตามเวลา
แม่      ดีโด้ครับ แม่เข้าใจนะว่าลูกกำลังเล่นสนุกมาก แต่แม่ไม่ได้บอก หรือบังคับลูกเลยนะ พี่นาฬิกาต่างหากที่บอกหนู
หึ ๆ โบ้ยความผิดกันเห็น ๆ ได้ผล
ดีโด้   ดีโด้จะเอานาฬิกาทั้งบ้านไปทิ้งให้หมด
พูดแบบนี้ก็จริง แต่เขาก็ทำนะ อาจจะทำแบบงอน ๆ แต่ก็ทำ อย่างที่บอกค่ะ เรายึดมั่นและทำต่อไป

สำหรับวิธีปฏิบัติในข้อนี้ แม่ดาวมักจะใช้สลับ ๆ กัน เช่นใช้ตั้งเวลาจากมือถือบ้าง  จากตัวตั้งเวลาที่ซื้อมาจากไดโซะบ้าง (ทั้งร้าน 60 บาท)  จากนาฬิกาปลุกพี่บัซไลน์เยียร์บ้าง  หรือจากพี่ใหญ่นาฬิกาประจำบ้านที่เป็นแบบระบบเข็มนาฬิกา ทั้งนี้เพื่อเป็นกระจายความเกลียดพี่นาฬิกาไปให้ทั่ว ๆ ฮ่าๆๆ และยังเป็นการสอนให้ลูกดูนาฬิกาไปในตัวด้วย ให้เขารู้จักการทำงานของเข็มนาฬิกาแต่ละเข็ม ฝึกการดูเวลาแบบเข็มนาฬิกา ได้ประโยชน์หลายอย่างเลยนะเนี้ย
ปัจจุบันดีโด้แทบไม่มีอาการดังกล่าว เพราะเขาเริ่มที่จะมีความรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น

4.  อะไรก่อนอะไรหลัง นี่ก็เป็นอีกวิธีที่แม่ดาวเอามาจาก 101  เป็นการถามลูกเพื่อให้ลูกจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำ ว่าอะไรทำก่อน และอะไรที่จะทำต่อไปโดยที่เราช่วยสร้างข้อเสนอให้ลูก  เช่น   ลูกจะอาบน้ำก่อนหรือแปรงฟันก่อนครับ  ให้ลูกตัดสินใจเลือกทำด้วยตัวเอง
แตกต่างกับการสร้างเงื่อนไขนะคะ ลูกจะรู้สึกต่างกันมาก เช่น หากลูกไม่อาบน้ำตอนนี้ลูกจะไม่ได้ฟังนิทานก่อนนอนคืนนี้  การสร้างเงื่อนไขแบบนี้ เป็นการขู่ให้เด็กกลัวและปฏิบัติตาม ไม่ควรใช้ค่ะ  เมื่อก่อนแม่ดาวเองก็พลาดใช้เหมือนกัน แต่มีแอบประยุกต์ใช้อยู่นะอิอิ

5.  การแสดงความเข้าใจลูก เป็นการพูดเพื่อทำให้ลูกรู้สึกว่าเรายอมรับความรู้สึกของเขา  เช่น  หากลูกหกล้ม ส่วนใหญ่จะได้ยินคนทั่ว ๆ ไป พูดว่ายังไงค่ะ   โอ๋ๆๆ ไม่เจ็บนะครับ ไม่เจ็บ ไม่เป็นไรนะ   อันนี้แม่ดาวเองเมื่อก่อนก็พูดนะ แล้วสังเกตุไหมยิ่งเราพูดประโยคพวกนี้เด็กจะร้องไห้หนักขึ้น เพราะเราไปปฏิเสธความรู้สึกของลูก  ก็ลูกเจ็บ เราดันไปบอกว่าไม่เจ็บ รู้นะคะว่านี่คือคำพูดที่เราตั้งใจจะใช้พูดปลอบใจ แต่ผลที่ได้มันไม่ใช่ได้ความรู้ที่ดีเลย  พูดแล้วยิ่งแย่ ลูกนะรู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความรู้สึกเรา แต่หากเด็กเล็ก ๆ มาก
อาจจะงงและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า อ้าวแล้วไอ้ที่หัวเข่าถลอกเลือดไหล แสบ ๆ แบบนี้ มันจะเรียกว่าอะไร  เพราะแม่บอกว่ามันไม่เจ็บ ไม่เจ็บ    พอแม่ดาวรู้แล้วไม่พูดแล้ว เปลี่ยนคำพูดใหม่เป็น เจ็บมากเลยใช่ไหมลูก  ดูซิหัวเขาถลอกเลือดออกเลย เดี๋ยวเราไปทำแผลกันเนอะ   แม่ดาวใช้วิธีการแสดงความเข้าใจร่วมกับวิธีอื่น ๆ เสมอ ๆ เพราะมันเสริมพลังบวกให้ทวีคูณ อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้นหากใช้วิธีนี้ร่วมไปด้วย  อย่าลืมนะคะ ใช้กันบ่อย ๆ ล่ะ

6.  การร้องเพลง  ข้อนี้สำหรับแม่ดาวง่ายมาก อิอิ แม่ดาวชอบร้องเพลงมาก ๆ อยู่แล้ว เป็นอะไรที่ไม่ฝืนธรรรมชาติของแม่ดาวเลย ข้อนี้ไม่ต้องศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอะไรมาก ทำมาตั้งแต่แรกเลยฮ่าๆๆ   เด็ก ๆ มักจะชอบเสียงเพลง เพราะเด็ก ๆ ชอบความบันเทิงสนุกสนาน  แม่ดาวร้องเพลงกล่อมลูกมาตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแล้ว พอคลอดออกมาก็ร้องให้ลูกฟังมาเรื่อย ๆ แต่ร้องยังไงที่จะเป็นการสร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก สงสัยกันหรือเปล่าค่ะ
หากเวลาที่ลูกคุณมีอาการงอน หรือไม่พอใจ งอแง ฯลฯ  ต้องประเมินสถานการณ์ก่อนนะคะว่าลูกคุณจะชอบเสียงร้องกระชากพฤติกรรมของคุณหรือไม่   แม่ดาวเคยใช้การร้องเพลงกับเด็กคนอื่น ๆ ที่แม่ดาวไม่รู้จักหลายครั้ง ทดสอบลองวิชาตอนได้เรียนรู้หลักการมาใหม่ ๆ ผลคือแม่ดาวไม่เคยพลาด สักครั้ง แต่มันแค่เปลี่ยนพฤติกรรมชั่วคราวไม่นานนะคะ แค่พอเปลี่ยนอารมณ์ของเขาให้หันมารับฟังในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารออกไป  

หรือเด็กบางคนอาจจะสงบได้เลยหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะเท่าที่ลองกับเด็กคนอื่น เขาก็จะหยุดร้องไห้ เราก็ชวนคุย ใช้วิธีการพูดเพื่อแสดงความเข้าใจเขาไป ฯลฯ เขาก็จะหยุดนะคะ แต่พอเราห่างเขาออกไป เขาก็มองตามและร้องไห้ต่ออยู่ดี
สำหรับน้องดีโด้ การร้องเพลงก็ได้ผลแทบจะทุกครั้ง  มีบางครั้งเหมือนกันที่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แต่ก็น้อยนะคะ  หากถามว่าเพลงไหน ยังไง แนวไหน ถ้าเสียงไม่ดีล่ะ ร้องได้ไหม  ทำได้หมดค่ะ  หัวใจสำคัญของการร้องเพลงในแบบแม่ดาว ๆ  คือ ร้องแบบเอาขำไม่เอาเพราะ  เนื้อร้องก็แต่งเองบ้างอาศัยทำนองเพลงเดิม บางทีก็ใช้เนื้อร้องเดิม ทำนองก็รีมิกซ์เอง เช่น เพลงของแอม เสียงร้องเป็นอัสนีวัสสัน เอาขำเข้าไว้ ตลกไว้ก่อน  ลูกชอบนะ ชอบมาก ร้อง ๆ อยู่ หัวเราะซะงั้น  ร้อง ๆ ไป จนกว่าเราจะมั่นใจว่าเขารู้สึกดีขึ้นมาก ต่อจากนั้นก็ค่อยสื่อสารในสิ่งที่เราต้องการอีกที  บางทีก็สื่อสารผ่านเสียงเพลงไปเลย  บอกแล้ววิธีเนี้ยหมูมาก สำหรับแม่ดาว อิอิ

7.  การชมเชยลูกในพฤติกรรมที่เหมาะสม  หากเราเห็นลูกทำอะไรที่ดี ที่เหมาะสมให้เราชมลูกทุกครั้ง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ให้ชมระบุให้ชัดเจนถึงพฤติกรรมที่ดีนั้น  ไม่ใช่ชมเลื่อนลอย  ทั้งนี้จะเป็นการกระตุ้นให้พฤติกรรมที่ดีนั้นเกิดขึ้นต่อไป และการชมยังช่วยแก้ไขอะไร ๆ ได้หลายอย่าง แต่บางที่การชมของเราก็ทำร้ายลูกได้เช่นกัน เอาไว้แม่ดาวจะขยายความต่อไปในหัวข้อนี้โดยเฉพาะ

8.  การวางเฉย แต่ไม่ใช่เมินเฉย   คุณเคยสังเกตุตัวเองไหมค่ะ ว่าบางครั้งเรื่องที่เราทะเลากับลูกเนี้ย มันเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ไม่ใช่พฤติกรรมที่ลูกเราทำผิดแต่อย่างใด เพียงแต่พฤติกรรมนั้นมันดันมาขัดใจเราก็เท่านั้นเอง  หึ ๆ  เคยรู้ตัวกันไหมนะ  มาดูกัน  เช่น   อากาศหนาวลูกไม่ยอมใส่เสื้อแขนยาว ใส่เสื้อกันหนาวตามที่เราต้องการ ก็พาลทะเลาะกับลูกจะเป็นจะตาย  เราโวยวาย บังคับให้ลูกต้องใส่ เพราะเราเป็นห่วงอากาศมันหนาวกลัวลูกจะเป็นหวัด  อันนี้แม่ดาวเคยเป็นเลย ทะเลาะกันตั้งนานเราก็โมโห ลูกก็ร้องไห้โวยวายไม่ยอมใส่  ลองมองอีกมุม  อากาศหนาว ใครตัดสินว่ามันหนาว ตัวเราใช่ไหมค่ะ  แล้วลูกล่ะ ทำไมเขาไม่ยอมใส่ ก็เขาไม่รู้สึกว่าหนาวเหมือนที่เรารู้สึกไง เขาถึงไม่ยอม หรือบางทีก็อาจจะต่อต้านก็ได้นะบางกรณี  แล้วที่นี่ควรทำไง  

หากเกิดเหตุการณ์ประมาณนี้  สำหรับแม่ดาวตามใจลูกเลยค่ะ แต่จะบอกลูกว่า ค่ะ  แม่เข้าใจแล้วว่าลูกไม่หนาวเนอะ แค่แม่เป็นห่วงกลัวลูกจะเป็นหวัด  แต่หากลูกรู้สึกว่าหนาวเมื่อไหร่ ก็มาหยิบเสื้อไปใส่เองเลยนะครับ เสื้อจะแขวนอยู่ตรงนี้   จบไหม  จบนะ
หลาย ๆ เรื่องที่เราทะเลาะกับลูก อยากให้คุณลองทบทวนเรื่องราวอีกครั้ง อย่างเป็นกลางไม่เข้าข้างตัวเอง คุณจะเห็นเลยว่าหลาย ๆ เรื่องก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรเลย   มีครั้งหนึ่งแม่ดาวไปที่หอจดหมายเหตุท่านพุทธทาสที่สวนรถไฟ ได้เจอกับคุณพี่คนนึง เขาก็พูดคุยเรื่องการเลี้ยงลูกกับเรา  เราบอกว่าเรามีปัญหาในการเลี้ยงลูกมาก  เขายิ้ม ๆ และบอกเราว่า แปลกนะ พี่ไม่เคยรู้สึกว่าลูกพี่มีปัญหา หรือเลี้ยงยากเลย นั้นคงเพราะพี่ไม่ได้มองว่าเขาเป็นเด็กมีปัญหามั้ง  โอ้..........ตาสว่างเลย  แค่คำพูดไม่กี่คำทำชีวิตเปลี่ยนเลย กลับมามองตัวเองใหม่ มองลูกใหม่ จริงแฮะ หลาย ๆ เรื่องมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรจริง ๆ ก็แค่มันขัดใจแม่ก็แค่นั้น

9.  การมอบหมายหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบ    ก่อนหน้าที่ในข้อนี้ แม่ดาวก็ยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรจริงจัง แต่พอได้มาอ่านจากบทความหนึ่งของท่าน ว. วชิรเมธี เรื่องเกี่ยวกับ พ่อแม่สอนให้ลูกขี้เกียจแล้ว ร้อนตัวขึ้นมาในบัดดล  อดรนทนไม่ได้ ต้องเปลี่ยนตัวเองและลูกเสียใหม่  มีหลาย ๆ เรื่องที่เรายังต้องรีบแก้ไข เช่น เราเลี้ยงเขาสบายเกินไป  มานึกถึงข้อนี้
เมื่อก่อนเขามีหน้าที่หลัก ๆ แค่การรับผิดชอบดูแลเรื่องตัวเองเช่น แต่งตัวเอง ทานข้าวเอง   เรื่องการเรียน ฯ  เสาร์-อาทิตย์ก็อนุญาติให้ตื่นสายได้ เพราะสงสารเห็นว่าเหนื่อยมาตั้งแต่จันทร์-ศุกร์  จากที่อ่านบทความนี้และบวกกับเขาอายุครบ 5 ขวบเต็ม ก็เลยคิดว่าเราน่าจะต้องมีอะไรที่ต้องให้รับผิดชอบมากกว่าเดิม  และเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเขาสามารถทำได้ด้วย
สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา  คือ ปัจจุบัน น้องดีโด้มีหน้าที่รับผิดชอบงานบ้าน 1 อย่างคือ กรอกน้ำ  แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นถูบ้านแล้วค่ะ เขาบอกกับเราว่า  แม่บังคับให้หนูทำ ดีโด้ไม่อยากทำ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ดีโด้เลือกเอง นั่นไง ดีโด้เจ้าปัญญาออกฤทธิ์หลังจากทำสำเร็จไปแล้ว 1 ครั้งอย่างตั้งใจมากด้วยนะ  มาเบี้ยวเอาครั้งที่ 2 ด้วยประโยคแบบฉลาดพูดมาก  แม่ดาวก็เลยได้เลยเล่นกับแม่มุขนี้
แม่   อืม....จริงเนอะ แม่บังคับให้ลูกทำจริง ๆ เป็นสิ่งที่ลูกไม่ได้เลือกเลย  แม่ขอโทษนะครับ  งั้นแม่ให้ดีโด้เลือกระหว่าง กรอกน้ำ กับถูบ้าน
ดีโด้ ดีโด้ชอบถูบ้าน
แม่   ได้ครับ ถูบ้านเนี้ย ถู วันเว้นวันนะ และทำทั้งหมดไม่มีเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง  แต่หากกรอกน้ำไม่ต้องกรอกบ่อยมาก น้ำหมดเมื่อไหร่ก็กรอกน้ำ แม่ว่ากรอกน้ำเหนื่อยน้อยกว่ามากนะ แม่ถึงตัดสินใจเลือกให้
ดีโด้  ดีโด้จะถูบ้าน ดีโด้ชอบมากกว่า
เราทำข้อตกลงกันว่าต้องทำหน้าที่นี้จนกว่าจะครบ 1 เดือน หากป่วยเป็นไข้ไม่สบายให้หยุดได้ ดีโด้ก็รับปากดิบดี  และดีโด้เลือกเวลาที่จะถูบ้านคือหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในตอนเย็น  ทำไปได้ 2 ครั้ง แม่อีก
ดีโด้  แม่ครับ ดีโด้ว่างานถูบ้านมันไม่เหมาะกับดีโด้ มันเหนื่อยเกินไปสำหรับเด็ก ดีโด้อยากกรอกน้ำเหมือนเดิม
แม่รู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
แม่  ครับลูก แม่ก็คิดว่าอย่างนั้น ถึงไม่เลือกให้ลูกทำตอนแรกไง  แต่ลูกก็เป็นคนขอร้องแม่เองนะว่าลูกอยากจะทำเอง และเราก็ตกลงกันแล้วว่า ลูกจะต้องปฏิบัติหน้าที่นี้จนถึงสิ้นเดือนนี้ ดังนั้นดีโด้ก็ต้องรับผิดชอบต่อไปนะครับ  หึๆ ๆ
และแล้วทุกวันนี้ ดีโด้ก็เผ้ารอขีดปฏิทิน นับวันว่าเหลืออีกกี่วันที่ฉันต้องถูบ้านเนี้ย ฮ่าๆๆ

10.  การเบี่ยงเบนกิจกรรม   คือ การที่เราเสนอกิจกรรมอย่างหนึ่งให้ลูกทำแทนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของลูก  เพื่อที่เด็กจะได้ไม่สามารถทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไปได้ เช่น  เห็นลูกกำลังตะเบ็งเสียงตะโกนเสียงดังในร้านอาหาร เราก็เข้าไปใกล้ ๆ ลูก และกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูว่า  ดีโด้ครับแม่มีเรื่องอะไรจะคุยด้วย แต่ต้องคุยกันแบบนี้นะ กระซิบ ๆ กันเบา ๆ  แค่นี้เราก็ไม่ต้องตะเบ็งเสียงเอ็ดลูกแข่งกับเสียงลูก เผลอ ๆ ไม่ใช่แค่เสียงพูดแค่นั้น อาจมีเสียงมือฟาดไปที่ลูกดังเผี่ย และดังตามมาด้วยเสียงร้องไห้ จากที่จะไม่รบกวนใครมากกลายเป็นสร้างความรำคาญใจอย่างถึงที่สุด อิอิ
ทั้งหมดนี้เป็นการพิมพ์ออกตามการที่แม่ดาวปฏิบัติ ส่วนชื่อหลักการที่ถูกต้องเนี้ย ต้องไปตามอ่านกันดูในหนังสือต่าง ๆ อย่างที่บอกไม่ได้เป็นนักวิชาการนะคะ  หวังว่าคงจะเป็นแนวทางให้คนอื่น ๆ ได้บ้าง
นอกจาก 10 ข้อนี้ ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่แม่ดาวใช้ประจำ ใช้บ่อย   เอาไว้จะค่อย ๆ  พิมพ์บทความให้อ่านกัน  แต่หากใครมีปัญหาเร่งด่วนเรื่องไหน อยากรู้เป็นพิเศษ ลองส่งข้อความมาสอบถามกันได้ก่อนนะคะ  ถ้าแม่ดาวสามารถตอบได้และมีเวลาจะตอบให้ทันทีเลยจ้า   ตอนนี้แม่ดาวบอกลูกว่า  สิ่งที่แม่ทำอันนี้คือการช่วยเหลือสังคม แต่แม่ก็จะไม่ลืมที่จะมีเวลาให้ลูกเต็มที่  ดีโด้ขอร้องว่า ดีโด้ให้แม่ทำได้เมื่อ ดีโด้ไม่อยู่   นอนหลับ หรือดีโด้อนุญาติแล้วเท่านั้น   หึ ๆ  เจ้าค่ะ  แม่ดาว.....ก็คงต้องทำงานประจำให้ได้ดีก่อนนะ(เลี้ยงลูกและทำงานบ้าน)  แล้วถึงจะมาช่วยเหลือสังคมได้ อิอิ