วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

มาเล่นบทคุณแม่ขี้สงสัยกันบ้างเถอะ





        อันนี้เป็นการรวบรวมที่สิ่งที่แม่ดาวถามลูก ที่เคยพิมพ์ไว้บน Facebook อาจไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็คิดว่าเอามาเก็บไว้ในนี้ น่าจะสะดวกหาอ่านง่ายกว่าหรือเปล่าค่ะ ก็ไม่แน่ใจ
        มีใครเคยตั้งคำถามแบบนี้กับลูกไหมค่ะ    "ลูกเรียนหนังสือเพื่ออะไรค่ะ"   ถามลูกแล้ว รอฟังคำตอบ คุณจะได้ฟังความคิดเห็นอีกมุมมองที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวเราที่เป็นคนปูพื้นความคิดนี้ให้เขา อย่างที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจเช่น
คำตอบ เช่น เรียนเพราะมันเป็นหน้าที่/ความรับผิดชอบ, เรียนเพราะอยากจะมีเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ ๆ ไว้ให้แม่อยู่ หรือ หนูก็ไม่รู้อ่ะ ว่าเรียนไปทำไม ก็แม่บอกให้หนูเรียน
        คุณรู้สึกยังไงกับคำตอบนพวกนี้ ดีใจ หากลูกบอกว่านี่คือ ความรับผิชอบ  ดีใจเพราะลูกรักเราจะซื้อบ้านให้เรา อยู่ เสียใจ ที่บอกว่าไม่รู้ ฯลฯ แต่ลึก ๆ ลองคิดอีกที การเรียน คำตอบควรจะเป็นเพื่อความรู้ หากเด็กเรียนเพราะอยากรู้ หากเขามองเป้าหมายการเรียนแบบนี้คิดว่าดีกว่าไหม เขาจะสนในใฝ่รู้ มากกว่าเพราะมันคือหน้าที่และความรับผิดชอบ ไม่รู้นะคะ ลองคิดดูเล่น ๆ
      หาก ตอบไม่รู้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ โยนคำถามทิ้งไว้ในใจเขาว่า "ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แล้วคิดออกเมื่อไหร่มาบอกแม่นะค่ะ แม่จะรอฟังคำตอบของลูกนะ อยากรู้จริง ๆ ว่าลูกอยากจะเป็นอะไรน้า"  พูดแบบนี้จะทำให้เขาฉุกคิด และอยากจะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง และรู้ว่าคุณแม่ที่รักก็กำลังรอฟังคำตอบของลูกอยู่
        ลองติดตามถามไปเรื่อย ๆ แต่แบบไม่กดดันนะคะ ถามตอนอารมณ์ดี ๆ ทั้งพ่อและลูกว่า "เอ....วันนี้ มีคำตอบให้แม่หรือยังนะคะ"  “แม่นะตอนเด็ก ๆ มีอาชีพในฝันตอนเด็ก ๆ คือ......." เล่าไป คุยสบาย ๆ เป็นการสร้างบทสนทนาเพื่อให้เขาอยากจะมีส่วนร่วมในการพูดคุยเรื่องอาชีพใน อนาคตของเขา เป็นการให้เขาเริ่มคิดหาเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
        แต่แค่ฝึกการคิดนะคะ แม่ดาวเองก็ไม่ได้ยึดติดเลยว่าเขาจะต้องเป็นแบบนั้น เด็ก ๆ เขาสามารถเปลี่ยนความคิดตัวเองไปเรื่อยๆ แหละค่า เหมือนหลานแม่ดาว ถามตอนเด็ก ๆ สัก 3 ขวบได้ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร หลานตอบ "อยากเป็นหมา" แล้วเห่าเสียงหมาใส่ ต่อมาโตอีกสัก 4 ขวบ โตขึ้นอยากเป็นอะไร หลานตอบ "อยากเป็นคนสวย อยากเป็นดารา" ต่อมาสัก 5 ขวบ คำถามเดิม หลานตอบ "อยากเป็นคุณหมอ" และปัจจุบันห่างกันมากแล้วค่ะ ไม่ค่อยได้เจอ เอาไว้ถ้าเจอหลานสาวคนนี้อีกทีจะไปถามเขาอีกว่า "โตขึ้นอยากเป็นอะไร เพราะอะไร" ปัจจบันหลานคนนี้ 9 ขวบแล้ว
        แล้วทีนี่ลองย้อนถามตัวเองอีกที ว่าทุกวันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร หรือใครเรียนอยู่ด้วย ก็ลองถามตัวเองดูซิค่ะว่า คุณเรียนเพื่ออะไร คุณมีความสุขที่แท้จริงได้ หากคุณวางเป้าหมายในใจได้ถูกทางและถูกธรรม คำตอบทางธรรม คือ ทำงานเพื่องาน เช่นเป็นหมอ ก็เพื่อต้องการรักษาคนไข้ เป็นครูก็เพราะต้องการให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นคนดีมีความรู้ ฯลฯ ส่วนเงินคือผลกำไรรองจากเป้าหมายหลัก นี่คือความหมายทางธรรม
        แล้วหากเราทำด้วยความคิดแบบนี้แล้วเราจะไม่ทุกข์มาก ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อเงินอย่างเดียว เราจะมีความสุขกับการทำงานนั้น ๆ  แม่ดาวเคยสงสัยตัวเอง เมื่อก่อนทำงานไปได้ยังไง เงินเดือนก็น้อยเมื่อเทียบกับชั่วโมงทำงานและความรับผิดชอบในหน้าที่ แต่ย้อนคิดอีกที เพราะครึ่งหนึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่เงิน แต่คือผลของการทำงาน  หากทำงานได้สำเร็จผลงานออกมาดี จะมีความสุขได้แม้เหนื่อยมาก  ส่วนอีกครึ่งคือ เพื่อเงิน  เคยคิดว่าตัวเองทำงานเพื่อเงินนี่แหละ
        แต่หากถามตัวเองดี ๆ หากแค่เพื่อเงิน งานหนัก เงินน้อย เหนื่อยขนาดบางทีอดนอนก็ยังเคย ทำไปได้ไง ชีวิตคงไม่มีความสุขเลย แต่ ณ ตอนนั้นก็มีทั้งความสุข สนุกด้วยนะคะ  มีปัญหาเยอะมากๆๆ แต่ก็ชอบจริง ๆ ปัญหาเยอะ ก็สนุกอีกแบบ พอเราแก้มันได้ มันจะภูมิใจและรู้สึกมันท้าทายดี  เครียด ก็เครียดแหละ  แต่โดยรวมแล้วก็ “สุขแบบเจือทุกข์”
         แต่ก็ไม่แนะนำให้ใครทำตามนะคะ  ต้องรู้จักว่าแค่ไหน ยังไงจึงเหมาะสม ต้องมีปัญญา อย่าทำแบบบ้า ๆ  ไม่ลืมหู ลืมตาเหมือนแม่ดาว  ร่างกายของเราหากเราไม่ดูแล ไม่รักษา แล้วใครจะมาช่วยดูแลร่างกายนี้แทนเรา  ทำงานข้าวปลาไม่ทาน อดอาหาร
        คำถามต่อไป  "ในอนาคต โตขึ้นแล้วดีโด้อยากจะเป็นอะไรครับ"   ดีโด้บอกว่า

"
อยากเป็นหลายอย่างทหาร วิศวะกร นักวิทยาศาสตร์ แล้วก็อยากจะทำงานบ้านเหมือนแม่ด้วย"

5555
แม่คือส่วนหนึ่งในดวงใจเสมอ หากได้รับคำตอบหลากหลายเช่นนี้ ถามเขาต่อว่า
"แล้วหากทั้ง 3 อย่างมารวมกันเนี้ยจะออกมาเป็นอาชีพอะไรน้า"

ดีโด้ "ก็ทหารเนี้ยคิดไว้ในใจเฉยๆ เท่ห์ดี แต่จริง ๆ ไม่อยากเป็นหรอก ดีโด้จะเป็นวิศวะกรกับนักวิทยาศาสต์จะสร้างจรวจพาทุก ๆ คนหนีน้ำท่วมไปอีกดาว จะสร้างใหญ่ ๆ จะได้ไปได้หลาย ๆ คน"

ได้รับคำตอบแบบนี้ก็อมยิ้มซิค่ะ ถามต่อ "แล้วน้องดีโด้จะเป็นวิศวะกรกับนักวิทยาศาสต์ต้องเรียนเก่งด้านไหนเป็นพิเศษครับ"

ดีโด้คิดสักพัก "คณิตศาสตร์ ดีโด้คิดว่านะ ว่าคิดว่าไง"
แม่ดาว "ใช่เลยครับ และก็ต้องเก่งวิทยาศาสต์ด้วยไง เพราะอยากเป็นวิศวะกรวิทยาศาสต์ไม่ใช่เหรอ"

ดีโด้ งง เพราะยังไม่รู้จักวิชาวิทยาศาสตร์มากนัก ด้วยแม่ดาวไม่ได้เน้นในด้านวิชาการ

แม่ดาว "แต่ดีโด้มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่แม่เห็นเด่นชัดมาก ๆ ที่เหมาะสมกับอาชีพที่ดีโด้อยากเป็น คือ หนูเป็นเด็กช่างสังเกตุ ชอบเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่เสมอ ๆ ช่างซักช่างถาม ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ และแม่ก็เห็นว่าลูกชอบเรียนวิชาคณิตศาสต์ด้วยจริงไหมครับ"

ดีโด้ยิ้มแป้มปริ "ใช่ ๆ ดีโด้ชอบเรียนดีโด้ว่ามันสนุก"

อันที่จริง น้องดีโด้เขาชอบทหารมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่โดนสกัดดาวรุ่ง โดยแม่ดาวนี่แหละ 555 ไม่อยากให้ลูกเป็นทหาร ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ ก็เลยบอกเขาว่า คิดดูดี ๆ นะครับ เป็นทหารจะต้องไปอยู่ในค่ายทหารเลย ไม่ได้อยู่บ้านแบบนี้ เราก็จะไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่ได้บังคับแต่จูงใจให้คล้อยตาม 5555 ตั้งแต่นั้นมา ทหารทดไว้ในใจเสมอ ๆ ยังใส่ชุดทหาร ยังเล่นเป็นทหาร แค่เป็นจริง ๆ ไม่อยากจะเป็นทหาร แอบตำหนิตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ ไม่อยากให้เป็นอยู่ดี แอบเอาแต่ใจ แบบไม่ขัดใจ แค่ให้คล้อยตาม

นี่คือตัวอย่างบทสนทนาที่แม่ดาวใช้คุยกับลูก ใครสนใจลองไปคุยกับลูกแบบนี้ได้นะคะ

มีอีก 1 คำถามที่อยากให้ลองถามลูกเล่น ๆ กัน คือ  ผลไม้อะไรดังต่อไปนี้ ที่มีเม็ดน้อยที่สุด
1.
แอปเปิ้ล 2. ฝรั่ง 3. เงาะ

ลองฟังคำตอบจากลูกนะคะ ตอบผิดอย่าหัวเราะเยาะ อย่าซ้ำเติมลูกนะคะ ตอบผิดลองให้เขาคิดดี ๆ อีกทีก็ได้ รอฟังอีก

คำถามนี้ได้มาจากการฟังรายการพ่อแม่พันธุ์ใหม่หัวใจเกินร้อย วันนั้นได้ฟังแล้วอึ้ง เป็นเรื่องเล่าที่พี่โนผู้ดำเนินรายการเล่าให้ฟังว่า ครูไปถามเด็ก ๆ ในห้อง มีเด็กคนนึงเขา
งงและถามว่า
"
ทำไมมีคำตอบที่ถูกทั้ง 3 ข้อล่ะค่ะคุณครู"
ครูก็งง...ถามกลับไปประมาณว่า ยังไงครับ
เด็กวัยอนุบาลตอบด้วยเสียงใสๆ ว่า " ก็ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดที่ครูบอก มันไม่มีเมล็ดเลยนี่ค่ะ " แป่วๆๆๆ เพราะทุกครั้งแม่เขาจะจัดการเอาทั้งเปลือกและเมล็ดออกให้ลูกมาก่อนแล้ว เด็ก ๆ ไม่ได้เรียนรู้จากผลไม้จริง ๆ ว่าหน้าตาก่อนหน้าจะเอาเข้าปากมันเป็นอย่างไร แล้วข้างในมีเมล็ดไหม ยังไง
เรื่องเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกแม่ดาวมาก กลับมาเย็นวันนั้นที่ฟังรายการ ถามเจ้าลูกชาย ด้วยคำถามเดียวกัน

ดีโด้ยิ้มกริ่ม "เงาะ ซิแม่" คงคิดว่าทำไมแม่ถามอะไรง่ายจริง 5555

แม่ดาวโล่งอก อันที่จริงก็คิด ๆ นะคะจะตอบได้ไหมน้อ ตอนที่ฟังรายการ เกิดอาการไม่แน่ใจ สงสัยตัวเอง คือตัวเองก็มีปอกมาเสร็จเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะนั่งปอกตรงหน้าลูกเลย บนโต๊ะทานข้าว คือมีลูกนั่งดูอยู่ด้วย พูดคุยกัน แต่ก็ไม่แน่ใจ ที่จริงเป็นการตรวจสอบพฤติกรรมการเลี้ยงลูกของตัวเอง ไม่ได้จะทดสอบสมองลูกเลยคะ

อีก 1 คำถาม ลองเอาไปถามลูกเพื่อตรวจสอบการเลี้ ยงลูกของเรากัน หากผิดอย่าไปจริงจังมากนะคะ บางทีเด็กบางคนเขาก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่ได้สังเกตุ เพียงแต่ก็แค่กระตุกเตือนว่า เออ....ครั้งหน้านะ หากจะทานผลไม้อะไร ก็เรียกเขามานั่งดูผลไม้ นั่งคุยเกี่ยวกับผลไม้ที่กำลังจะทานกัน ว่าเปลือกยังไง แบบไหน ให้เขาเรียนรู้สัมผัสไปพร้อม ๆ กันก่อนจะได้รับประทาน

สอนการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส และลูกได้ความใกล้ชิด ได้สัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกันด้วยนะคะ แต่อย่าทะเลาะกันก็แล้วกันนะคะ จะบอกให้

               


วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

การบ้าน/การเรียน/โรงเรียน เรื่อง....เวียนหัว


        ใครเคยทะเลาะกับลูกเวลาสอนการบ้านให้ลูกบ้างค่ะ....ยกมือขึ้น ฮ่าๆๆ  แม่ดาวก็ด้วยหนึ่งคนที่ประสบกับปัญหานี้บ่อย ๆ   เคยเครียดขนาดจดปัญหานี้ไว้ใส่กระดาษไปสอบถามกับผู้เชี่ยวชาญกันเลยทีเดียยว  ตอนที่ลูกอยู่ชั้นอนุบาล  1   

        อันที่จริง ตัวแม่ดาวเนี้ยไม่ได้เน้นวิชาการอะไรเลย  แต่ด้วย “การบ้าน” คือ “ความรับผิดชอบ” อย่างหนึ่งของลูก  แม่ดาวอยากปลูกฝังเรื่องนี้มากกว่า เลยกลายเป็นปัญหา โลกแตกทะเลาะกับลูกบ่อยๆๆ มากกับการบ้านของลูกเนี้ย  

        อยากบอกว่า ส่วนหนึ่งเราก็เข้าใจว่าโรงเรียนก็ต้องเน้นแข่งขันกันปกติค่ะ  การบ้านเยอะ  แถมบางครั้ง ยากจริง ๆ เราคิดเองว่า  นี่หรือ คือการเรียนการสอนระดับชั้นปฐมวัย     ครอบครัวเราต่างหากที่ผิดปกติ(ของสังคมส่วนใหญ่)  สวนกระแส แต่แส่ไปเรียนโรงเรียนปกติฮ่าๆๆ  แต่ทำไงได้ก็โรงเรียนทางเลือกแต่ละที่ ๆ รู้จัก ก็อยู่ไกลเกินไปถึง  และบางที่ก็ค่าเทอมแพงแสนแพง จนเราก็สู้ไม่ไหว ทำได้แค่ “ทำใจ” ยอมรับให้ได้ และเรียนรู้เพื่อจะสอนให้ลูกอยู่อย่างไรอย่างมีความสุขเท่าที่เราจะทำได้ 

        อันที่จริงแม่เนี้ยดูจะมีปัญหามากกว่าลูกซะอีก  แรก ๆ ของการเข้าเรียนยอมรับกับสังคมโรงเรียน ในโลกแห่งความจริงไม่ค่อยจะได้   เราฝันไว้เยอะ คาดหวังไว้สูงกับเรื่องโรงเรียนของลูก  โรงเรียนในฝันของแม่ดาวนั้น ก็มีอยู่จริง ๆ นะคะ แต่อย่างที่บอกว่าอยู่ห่างไกล และไม่ไหวกับค่าเทอม  

        สิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือน คือ หากเราทำให้ลูกรับรู้ว่าเรามีปัญหากับโรงเรียนเมื่อไหร่ ลูกเองก็จะมีปัญหาและไม่สบายใจไปด้วย ถึงเราไม่ต้องพูด แต่สีหน้า ท่าทาง ฯลฯ สายสัมพันธ์ที่เราเชื่อมต่อกันไว้นั้น มันเชื่อมโยงข้อมูล ถ่ายทอดความรู้สึกไปได้เสมอๆ  อันนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ด้วยนะคะ 

        แม่ดาวผ่านระยะเรียนรู้ทุกข์มาได้สักระยะ ก็เลิกทุกข์กับปัญหาพวกนี้ หรือบางทีก็ยังมีบ้าง แต่มันก็น้อยลงไปเยอะ  ปล่อยวางอะไร ๆ ไปได้เยอะมาก เข้าใจชีวิตมากขึ้น  การบ้านของลูก  การเรียนของลูก  หรือโรงเรียนของลูก  เอาเป็นว่าปัจจุบันก็ไปตามน้ำแหละค่า ไม่ได้ทวนกระแสซะทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ไหลเรื่อย ๆ ไปตามน้ำ เช่นกัน บอกไม่ถูกเนอะ คือเราแก้ปัญหาที่โรงเรียนไม่ได้ แต่เราแก้ปัญหาเองบางเรื่องที่บ้านเราได้

        มาต่อกัน เรื่องการบ้าน การเรียน คือเรื่องของใคร  หลาย ๆ คน ก็คงตอบได้เนอะ “ลูก” ไง  แต่เวลาเอาเข้าจริง ๆ ไหง มันกลายเป็นปัญหาของเราไปซะงั้น รู้สึกตัวกันบ้างไหมค่ะ  ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงสอบ หลาย ๆ คนก็บ่นเวียนหัว เหนื่อยติวเข้มเตรียมพร้อมทบทวนความรู้ให้ลูกกันเสียยกใหญ่

        บางรายลูกแค่ชั้นอนุบาล ก็บ่นเบื่อที่จะติว เหนื่อยที่จะสอนลูก หรือบางรายก็บ่นว่า ช่วงนี้ไม่ว่างเลย  เหนื่อยมาก ไหนจะเรื่องงานของตัวเอง ไหนจะเรื่องติวเข้มให้ลูก  ฟังแล้วรู้สึกและเข้าใจถึงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่   นี่ขนาดไม่นับรวมช่วงเวลาหัวปั่น กลุ้มใจในการสอนการบ้านลูกด้วยนะคะเนี้ย

        เรื่องกลุ้มใจในการสอนการบ้านลูกเนี้ย แม่ดาวก็เป็น แต่เรื่องกลุ้มใจ ต้องมานั่งติวให้ลูกเวลาจะสอบเนี้ย ยังไม่เคยเป็น และไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ ว่าอนาคตจะเป็นไหม แต่ปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้น มองว่าเขาก็แค่เด็กอนุบาล   การสอบ สำหรับวัยนี้ สำหรับตัวเองแล้ว ไม่ได้สนใจเลยจริง ๆ  

        มามองอีกมุมไหม มีหนังสือ ที่แม่ดาวอ่าน เขาอธิบายประมาณว่า “เรื่องการบ้าน และการเรียน” เป็นปัญหาของเด็ก ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่ไม่ใช่จะเพิกเฉยซะทีเดียวเช่น
        หากลูกไม่ทำการบ้าน  เราก็ไม่ต้องไปบังคับ หากไม่ทำก็ปล่อย ให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เนี้ยดีค่ะ  ให้ครูจัดการ  เขาควรจะได้รับผลของการกระทำของตัวเอง เช่นหากครูดุ หรือทำโทษ เรื่องไม่ยอมทำการบ้าน เขาก็ต้องยอมรับ แต่เราต้องไม่ไปซ้ำเติมเขานะคะ  หากลูกมาบ่น หรือเล่าเรื่องการโดนทำโทษให้ฟัง ก็รับฟัง และถามเขาประมาณว่า “แล้วลูกคิดว่า ลูกควรทำอย่างไร ถึงจะไม่ต้องให้ครูดุ หรือทำโทษอีก” ให้เขาตอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องไม่ชี้นำอะไร หรือพร่ำสอนอะไร 

        แต่การบ้านยากเกินไปช่วยแนะนำเขาได้สอนได้  หากเขารู้หน้าที่ทำการบ้านด้วยตัวเอง ทำได้ถูกต้อง ก็ให้คำชื่นชมกันบ้างเนอะ  เรื่องชมเนี้ยในความคิดของแม่ดาวก็ยังมองว่าเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กๆ ยิ่งวัยปฐมวัยเนี้ยยิ่งต้องการคำชมมาก แต่อย่าลืมกลับไปอ่านบทเก่า  ๆ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน พวกเรื่องวิธีการชมที่คิดว่าถูกต้อง อิอิ

        เรื่องนี้อ่านแล้วก็เป็นการเตือนสติตัวเองแรง ๆ   แม่ดาวก็ลองมาแล้วค่ะ  ไม่ได้ถึงขนาดลูกไม่ยอมทำการบ้าน แต่เขาทำผิด และเราให้เขาลองตรวจสอบอีกครั้งก่อนเก็บสมุด เขาก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร  ด้วยวัยอนุบาล ครูก็จะใจดีถูกไหมค่ะ แม่ดาวก็แอบเขียนโน้ต แปะไปในสมุดการบ้าน ขอร้องให้ครูจัดการให้ฮ่าๆๆๆ

        กลับมาดีโด้บ่น เล่าให้ฟังเรื่องการโดนทำโทษ ให้เขียนตัวเลขที่เขียนผิด ซ้ำแค่ประมาณ 4-5 ตัว  แต่ในความรู้สึก ดีโด้คือเรื่องใหญ่   เขาไม่อยากทำให้ครูผิดหวังในตัวเขา เพราะเขาคิดว่าในสายตาครูเขาคือ นักเรียนที่ดี และเก่งด้วย (คิดเองเออเอง)  ก็บ่น ๆ เล่า ๆ เราก็ฟัง ๆ  แล้วก็ถามเขาว่า แล้วคิดว่าเหตุการณ์เรื่องนี้สอนให้ลูกได้รู้เรื่องอะไรบ้าง  เขาก็บอกเองว่า เขาจะตั้งใจทำการบ้าน และรอบคอบมาก ๆ จะได้ไม่ทำผิดอีก ครูจะได้ไม่เสียใจ เหอๆๆ ไม่คิดถึงแม่เลยนะเนี้ย  ตกยกให้ครูแหละค่ะ  เด็กวัยนี้เขาต้องการการยอมรับจากสังคมนอกบ้านมากกว่าในบ้านเนอะ

        แต่ก็นะ เด็ก ก็คือเด็ก เขาไม่ได้จดจำสิ่งนั้นได้ตลอด ต้องคอยตอกย้ำ ๆ กันไป  ปลูกฝัง จนกลายเป็นพฤติกรรมในที่สุด  ยิ่งดีโด้เนี้ยยากอยู่ คงต้องใช้เวลานานแหละ ก็ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ปลูกฝังกันต่อไป  สำหรับลูกชายแม่ดาวยิ่งเป็นเด็กที่มีทั้งอัตตาและทิฐิมานะ สูง มานะ เนี้ยไม่ได้หมายถึงความขยันพากเพียรนะคะ ฮ่าๆๆ เป็นตัวกิเลศ  ถึงบอกว่าเขาเลี้ยงยาก ต้องใช้กลยุทธ์เยอะกว่าการเลี้ยงเด็กๆ ที่เคยผ่าน ๆ มา  หลาย ๆ คนอ่านบทความมักเข้าใจผิดว่า ลูกแม่ดาวเนี้ย เป็นเด็กดี น่ารัก  เขาก็เป็นอย่างนั้นแหละค่ะ แค่ไม่ตลอดเวลา ฮ่าๆๆ  

        มีผู้ปกครองที่แม่ดาวคุยด้วยบ่อย ๆ เขามักบ่น ว่าลูกเขาขี้เกียจ ไม่ชอบทำการบ้านเลย พอได้นั่งฟัง แล้วก็เข้าใจ  ว่า อันที่จริงแล้ว เด็กไม่ได้ขี้เกียจค่ะ เด็กป.1 แต่การบ้านเนี้ย ไม่รู้จะเยอะไปไหน เรียนก็เครียด จัดหนักมาตั้งแต่เล็กเลย มีเคยให้เรียนเสริมคณิตศาสตร์กับสถาบันดัง ๆ ที่หากพูดถึงต้องรู้จักแน่ ๆ  เขาจะให้เด็กทำโจทย์ซ้ำ ๆ ทำเยอะ ๆ ทำบ่อย ๆ  เคยมีกรณีพิพาทฟาดลูกก็เพราะ โมโหลูกที่ลูกขี้เกียจไม่ยอมทำแบบฝึกหัดเหล่านั้น ตอนนั้นยังอยู่ในระดับอนุบาลนะคะ  

        ดีว่าเป็นคนที่คุยกันได้แบบตรง ๆ  แล้วเขาก็มาบ่นกับเราด้วย เลยแนะให้เขามองในมุมของเด็ก ๆ บ้าง กับวัยขนาดนี้ กับการบ้าน การเรียนที่โรงเรียน ไหนจะเรียนพิเศษเสริมอีก ให้เขาทบทวนอีกทีว่า ลูกขี้เกียจ หรือมันเยอะเกินกว่าเขาจะรับได้  ดีนะคะที่เขาเข้าใจและมองเห็นหัวใจของลูก เลยมีการปฏิบัติอะไร ๆ หลาย ๆ อย่าง ปัจจุบันบอกว่าลูกดีขึ้นมาก มีความสุขกับการเรียน ถึงการบ้านก็ยังเยอะ แต่แม่เข้าใจและบอกลูกด้วยว่าเราเข้าใจเขาว่ายังไง โดยก็มีการให้บทพูดเป็นแนวทางเล็กน้อย ให้เขาไปคิดต่อเอาเอง ส่วนการเรียนพิเศษเสริมที่ว่าก็งดไปแล้วสงสารลูก

        ดังนั้น หากเราคิดว่า “ลูกขี้เกียจ” เราต้องค้นหาสาเหตุที่แท้จริงซะก่อน ว่าความขี้เกียจนั้นเกิดจากอะไร  เรารู้ดีที่สุดนะ แม่ดาวว่า  หากไม่รู้คิดไม่ออก ก็ค่อย ๆ คุยกับลูกไปเรื่อย ๆ สักวันก็จะเห็นแสงสว่าง เห็นสาเหตุเองแหละค่า  อ๋อ...เมื่อก่อนคุณแม่ท่านนี้จะเข้มงวดกับลูกมากในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเรียน ดุ ตี เนี้ยปกติ หลัง ๆ จากที่ได้คุยกันเขาก็เข้าใจอะไรมากขึ้น มีหาหนังสือมาอ่านเพิ่มเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อน ก็ไม่ได้คิดถึงว่าการเลี้ยงลูก จะมีรายละเอียดมาก ยุ่งยากขนาดนี้  

        ดีใจค่ะ นี่คืออีก 1 ครอบครัว ที่เขามีความสุขมากขึ้น แค่ “แม่”เปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม ก็ช่วยเพิ่มความสุขมากมายให้กับครอบครัว ไม่ใช่แค่ลูกนะคะ แต่สุขขึ้นทั้งครอบครัว นี่เขาบอกมานะ ไม่ได้โม้เอง ฮ่าๆๆๆ

        กลับมาที่การทำการบ้านต่อ อันนี้คือพิมพ์ไม่ได้ต่อเนื่องรวดเดียวเนื้อหาอาจกระโดดไป กระโดดมาเช่นนี้   ทุกวันที่ลูกกลับจากโรงเรียน แม่ดาวจะถามลูกบนรถขณะเดินทางกลับบ้านว่า เมื่อกลับไปถึง ลูกวางแผนไว้ว่าจะทำอะไรบ้าง ให้เขาไล่เรียงออกมา เช่น เล่น ทำการบ้าน  กินข้าว อาบน้ำ นอน  จากนั้นพอกลับถึงบ้าน แม่ดาวจะถามเขาอีกครั้ง แล้วก็เขียนขึ้นกระดานไวท์บอร์ด  อาจให้เขาเขียนเองซึ่งยังเขียนไม่ได้ แต่วาดภาพได้นะคะ อิอิ  ไล่ไป 

        1. เล่น  ถามลูก เล่น  20 หรือ 30 นาที ครับ หรือจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่   คือบางวันกลับมาเร็วก็อาจเล่นได้เยอะมากกว่านี้ หากกลับช้ากว่านี้ก็ลดเวลาลงได้ ตามสะดวก ให้เขาเลือกและลงเวลาเป็นตัวเลขลงไป   แต่จะมีเวลาตายตัวเช่น ทานข้าวตอน 18.00 หรือ 18.30 น.  (อันนี้ก็ไม่ได้เป๊ะมากนะคะ)  เข้านอนไม่เกิน  21.00 น.  ประมาณนี้  จากนั้นก็ตั้งเวลาให้เตือนไปเรื่อย ๆ  ส่วนเวลาทำการบ้านเนี้ยก็ไม่ได้จำกัดเวลาแน่นอน แต่ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ไม่เกิน  แม่ดาวทำประมาณนี้ในช่วงแรก ๆ หลัง ๆ ก็ไม่ต้องขนาดนี้แล้วค่ะ เขาก็เริ่มจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ต้องไปดูแลอะไรเยอะ

        ทั้งนี้อย่างที่บอก ก็ต้องเข้าใจเขาด้วยบางวัน ก็เบี้ยวค่ะ วันที่เขาเบี้ยวแม่ดาวจะชวนคุยไปเรื่อย ๆ ส่วนมากจะทราบสาเหตุ เช่น วันนี้เขาเรียนหนักมาก เครียด เขียนตัวอักษรไม่ได้ เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เก่งกว่า  เราก็จะสอนให้มองอีกมุม ฯลฯ  หรือบางวันก็ไม่ได้นอนกลางวัน มัวแต่แอบคุยกับเพื่อนในห้องนอน ฮ่าๆๆ ทุกครั้งมันจะมีสาเหตุค่ะ หรือหากคิดว่าไม่เห็นจะมีสาเหตุอะไร ก็จะแปลกอะไร หากเขาจะเบื่อ ๆ ไม่อยากจะทำอะไรตามกฎเกณฑ์ ปล่อยเขาไปสักพัก ให้เขาเล่น ให้เขาผ่อนคลายก่อน แล้วค่อยชวนเขากลับมารับผิดชอบงานของตัวเอง  ผ่อนคลายทั้งเราและเขานะคะ

        ส่วนเรื่องการเรียนแม่ดาวเองก็สบาย ๆ อยู่แล้ว เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก ก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ณ วัยนี้ มองว่าหากเขาพร้อม เขาก็อ่านออก เขียนได้เอง ฮ่าๆๆ สบาย ๆ ไปไหมนี่  แม่ดาวไม่เครียดเลย แต่สิ่งที่จะต้องสอนย้ำ ๆ คือ “หน้าที่ ความรับผิดชอบ” เรื่องการบ้าน การเรียน อธิบายให้เขาเข้าใจถึงหน้าที่ของตัวเอง และหน้าที่ของทุก ๆ คนในครอบครัวด้วย  โชคดีที่ตัวเองไม่ตามกระแสมากนัก มีเขว ๆ บ้างนะคะยอมรับ จากเสียงรอบ ๆ ข้าง แต่พอมีจุดยืนที่ชัดเจน ถึงจะเซไปบ้าง เป๋ไปบ้าง ก็ยังไม่หลงจุดยืน
นะคะ 

        การเรียนมองว่าเป็นเรื่องของลูกอย่างแท้จริง เราไปบังคับให้ลูกเป็นไปดังใจเรานั้นคงไม่ได้ แต่หากใช้การจูงใจ ใช้กุศโลบายบ้าง ก็คงไม่ผิดเนอะ อย่างลูกแม่ดาวเนี้ย ไม่ชอบจริง ๆ การเรียนเนี้ย ดูจะต่อต้าน เขาบอกว่า แม่ครับ แม่ช่วยหาโรงเรียนที่เรียนน้อย ๆ เล่นเยอะ ๆ นะ หากจะขึ้นป. 1 ฮ่าๆๆ  โรงเรียนปัจจุบันสำหรับแม่ดาวเองก็คิดว่าเยอะไปสำหรับเด็กวัยนี้  แต่ก็ต้องยอมรับ ลูกเราก็มีความสุขกับการไปโรงเรียน แค่ไม่ชอบตอนที่เรียนหนังสือฮ่าๆๆ  เราอยู่ได้นะ ถามเขา ๆ โดยรวมเขาก็มีความสุขนะ  มีบ่น ๆ เหมือนกันบางวันที่การบ้านยาก เช่น ให้เขียนเลขคู่ 1-100  อันนี้สำหรับแม่ดาวก็ว่ายากนะสำหรับเด็กปฐมวัย  หรือปกตินะ ไม่รู้เหมือนกัน 

        อย่างที่บอกคะ ต่างคน ต่างความคิด มีบางรายลาออกด้วยเหตุผลว่าโรงเรียนนี้เรียนน้อยเกินไป ไม่ค่อยเน้นวิชาการ ย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นก็มี  เขามองว่าเด็กอนุบาลโรงเรียนอื่นที่เขารู้จักนั้นอ่านหนังสือพิมพ์กันได้แล้ว ทำไมลูกตัวเองยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ฮ่าๆๆ คิดตรงกันข้ามกับเราและลูกเลย นี่โรงเรียนเดียวกันนะคะเนี้ย  

        ถึงเคยคุยกันหน้ากระดานใน Facebook ว่า โรงเรียนที่ดีสำหรับเรา อาจไม่ใช่โรงเรียนที่ดีสำหรับคนอื่น  และเช่นกัน โรงเรียนที่ใครหลาย ๆ คนลงความเห็นกันว่าดี ก็อาจไม่ใช่โรงเรียนที่ดีสำหรับเราและลูกเช่นกัน  ดังนั้นฟังคำแนะนำกันได้ แต่ต้องเก็บไปพิจารณาประกอบการไปดูโรงเรียนกันเองจริง ๆ ต้องไปสัมผัสกันเองอย่างใกล้ชิดด้วยนะคะ แล้วจะพอรู้ จะพอเห็น เลือกพิจารณาเอาลูกของเรานี่แหละเป็นหลัก เขาชอบไหม ยังไง เหมาะกับเขาไหม อย่าลืมเรื่องระยะทาง เวลาในการเดินทาง วิธีการเดินทาง ค่าเทอมฯลฯ  มีเคยพิมพ์เอาไว้เหมือนกันหลักการเลือกโรงเรียนตามความคิดของตัวเอง แล้วจะคัดลอกไว้ให้ได้อ่านเนอะ เผื่อเป็นแนวทางได้  

        หลาย ๆ คน มุ่งประเด็นไปที่การศึกษาของลูก เน้นวิชาการ เน้นการเรียนไปแบบทุ่มไปแทบจะเรื่องเดียว  มีหลาย ๆ เรื่องราว หลาย ๆ ประสบการณ์ทั้งของตัวเอง และคนอื่น ๆ ทั้งที่รู้จักเป็นการส่วนตัว หรือไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลยก็ตาม  การเรียนจบระดับสูง ๆ เกรดเฉลี่ย ดี ๆ ก็ใช่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนที่เราหวังไว้  ความสำเร็จในหน้าที่การงานกับความสุขในชีวิต ก็เหมือนจะเป็นคนละเรื่องกัน บางคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่กลับไม่มีความสุขในชีวิตเลย ได้เงินเยอะก็จริง มีทุกอย่างที่อยากจะมี ยกเว้นความสุข  คิดว่าวัตถุที่มีคือความสุข สุดท้ายกว่าจะเข้าใจว่าความสุขที่แท้จริง คืออะไรก็นานกว่าจะรู้ กว่าจะเห็น บางคนอาจไม่มีโอกาสที่จะค้นพบความสุขที่แท้จริงของตัวเองได้เลย

        ลองถามตัวเองนะคะ ว่าเราเจอสิ่งนั้นแล้วหรือยัง ส่วนแม่ดาวคิดว่าเจอแล้วนะคะ  ส่วนความสุขของลูกเนี้ย ก็คนละเรื่องกับความสุขของเราเช่นกัน อย่าตีเหมาว่าลูกจะสุข อย่างที่เราคิด วางแผนชีวิตให้ลูกทุกอย่างตามใจตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของลูก  อย่าเผลอขโมยความสุขจากลูกนะคะ  รู้ค่ะว่าไม่มีใครตั้งใจ  พ่อแม่ทุกคนย่อมรักและหวังดีต่อลูกกันทั้งนั้น อยากให้ทบทวนกันมาก ๆ กับสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

        แม่ดาวเองก็มีหลายครั้งที่ฉกความสุขจากลูกไปแบบไม่ทันคิด คิดได้ก็จะรีบแก้ไข ปรับปรุงทันที  ถึงไม่ใช่แม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็เป็นพ่อแม่ที่พร้อมจะเรียนรู้ที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ในแบบฉบับของเรา จริงไหมค่ะ  
       

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

การพัฒนาบุคคลิกภาพลูกสู่สังคมอาเซี่ยนและสังคมอย่างไร

 
        ยุ่งจนลืมไปเลยค่ะ เลยไม่ได้ถ่ายทอดออกมา ณ หลังจบกิจกรรม ข้อมูลเลยละลายหายไปกับอากาศซะเยอะ  ฮ่าๆๆ ความจำดีมากไงค่ะ กิจรรมนี้ตั้งแต่เดือนก่อนแล้วด้วย  สมองต้องได้รับการบำรุงซ่อมแซมด่วน  ต้องทำตามคุณหนูดี บอกซะแล้ว  เมื่อวานก็เริ่มเลยนะคะ เข้านอนเร็ว ปกติลูกหลับ ก็จะย่องมาสวดมนต์ นั่งสมาธิบ้าง  พิมพ์บทความบ้าง หาความรู้บ้าง  ตั้งใจไว้ว่าจะดูแลคุณสมองของตัวเองซะบ้าง เขาจะได้แข็งแรงและอยู่กับเราไปนาน ๆ  ปกติความจำแย่มากฮ่าๆๆ  

        2 กิจกรรมแรกหากไม่หลับตามลูกไปเสียก่อนจะพยายามทำต่อเรื่อย ๆ ค่ะ เพราะเป็นการบริหารจิตและสมองไปในตัว แต่คิด ๆ ไว้ว่าอาจจะเปลี่ยนเวลามาทำตอนเช้าตรู่แทน ถ้าตื่นนะคะ ฮ่าๆๆ กิเลศ ตัวขี้เกียจ เนี้ยยิ่งตัวใหญ่ซะด้วยสำหรับตัวเอง

        เอาล่ะเข้าเรื่องค่ะ เอาจากที่พอจะจดและจำได้นะคะ วิทยากรในวันนั้นเขาขึ้นชื่อไว้ 2 ท่าน คือ
ดร.แพง ชินพงศ์  การศึกษา
- ปริญญาตรี ศิลปศาสตบัณฑิต เอกดนตรี ม.เกษตรศาสตร์
- ปริญญาโท การศึกษามหาบัณฑิต เอกปฐมวัย ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต เอกดนตรี จาก Trinity College,
Sacramento, California, USA. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต เอกดนตรี
จาก Sacramento State University, California, USA.
- ปริญญาเอก สาขาดนตรีศึกษา จาก Sacramento State University,
California, USA.

ดร.สุภาพร   เทพยสุวรรณ  การศึกษาปริญญาเอกด้านปฐมวัย จากต่างประเทศ (จดไม่ทันและหาข้อมูลไม่เจอค่ะ)
และมีอีกท่านที่มาบรรยายพ่วงให้เป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ คือ ดร.จอนร์น  เป็นผู้ให้คำปรึกษาครอบครัว สามีของดร.สุภาพร เทพยสุวรรณ  สิ่งที่จะนำมาถ่ายทอดจะเป็นแค่ 2 ท่านนะคะ  ท่านสุดท้ายเนี้ย แม่ดาวไม่สามารถฮ่าๆๆ ฟังรู้เป็นคำ ๆ แต่ฟังรวมกันเนี้ยไม่รู้เรื่อง แต่เรื่องที่ท่านพูด และตัวเองฟังรู้เรื่อง บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่แม่ดาวพอมีความรู้อยู่แล้วเช่นการใช้ I message  และ P.E.T  คืออันนี้มีหนังสือที่แปลมาแล้วก็เลยสบาย ๆ ไม่รู้เรื่องแต่พอมีฐานความรู้อยู่ในสมองแล้ว เลยไม่เครียดที่ฟังไม่รู้เรื่องฮ่าๆๆ

ขอแบ่งปันสัก  2   เรื่อง นะคะ เป็นเรื่องที่ตัวเองประทับใจ และจำได้จากสมองอันน้อยนิด 
        1. แม่ดาวถามคำถามกับ ดร.แพง ว่า  ดนตรีคลาสสิค หรือดนตรีที่มีแต่ท่วงทำนอง กับดนตรีที่มีเนื้อร้องต่างกันอย่างไร  ทำไมใคร ๆ มักพูดถึงแต่ว่า ให้ลูกฟังดนตรีคลาสสิค  ซึ่งตัวเองเนี้ยแต่ก่อนไม่เคยจะชอบฟังดนตรีคลาสสิคเลยฮ่าๆๆ  จำได้ตอนท้องอ่านหนังสือเขาบอกว่าให้คุณแม่ฟังเพลงคลาสสิค จะส่งผลต่อพัฒนาการที่ดีต่ออารมณ์และสมองของลูก ก็เลยตั้งใจไว้ว่าจะต้องฟัง อะไรที่เขาว่าดีจัดไป
        แม่ดาวก็บอกสามี และสามีก็จัดให้  แต่เพลงที่เขาเลือกมาให้เนี้ย แต่ละเพลงฟังไม่ได้เลยจริง ๆ  ฟังแล้วรู้สึกเครียด กระสับกระส่าย รำคาญหูอย่างยิ่ง  พยายามจะฟัง แต่เมื่อฟังแล้วไม่สบายใจ ไม่มีความสุข สุดท้ายเลย ทำเป็น mp 3 ใส่ลงเครื่องและใส่หูฟังจิ้มไปที่ท้องแทน บอกลูกว่า ฟังนะคะลูก เพลงคลาสสิคเนี้ยดีสำหรับลูกนะคะ ในใจคิดต่อ แต่มันหนวกหูสำหรับแม่ เอิ้กๆๆ            
        ผลครั้งนั้นคือ ลูกแม่ดาวในท้อง เมื่อเอาเสียงเพลงคลาสสิคนี้อัดใส่ที่ท้อง แต่ก็ไม่ได้เปิดเสียงดังมากนะคะ เอาแบบคิดว่าลูกน่าจะได้ยินแบบสบาย ๆ  กำลังนอนสบาย ๆ มือก็จับหูฟังจิ้มท้องไป สักพักลูกดิ้นพรวดพราด เหมือนสะดุ้ง ตกใจ แม่ดาวก็ตกใจเพราะลูกดิ้น คือเขาดิ้นแบบสะดุ้งสุดตัว แม่ดาวก็เลยเอาหูฟังมาใส่ฟังว่าเพลงไหน สรุปว่าเป็นเพลงเดียวกับที่แม่ดาวก็ฟังแล้วรำคาญหู  ฟังเพลงนี้ทีไรเครียดทุกทีฮ่าๆๆ
        คือไม่ใช่ทุกเพลงที่เราหงุดหงิดกับมัน แต่บางเพลงก็ไม่ไหว ฟังแล้วไม่สบายใจแถมหงุดหงิด กระสับกระส่ายอีกต่างหาก  พยายามอยู่สักพัก สุดท้ายก็หันมาฟังในสิ่งที่ตัวเองชอบคือฟังเพลงธรรมดา ๆ ที่ชอบฟัง แต่ก็ไม่ล้มเลิกการฟังเพลงคลาสสิคนะคะ ไปหาซื้อด้วยตัวเอง และลองมาเปิดฟัง ใช้ความรู้สึกของตัวเองบอก ไม่ได้ยึดตามข้อมูลที่หามาได้ว่าชื่อเพลงไหนยังไง  สุดท้ายก็ได้ค่ะ ไปชอบฟังแนวที่เป็นเสียงเพลงและมีเสียงธรรมชาติด้วย ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสบาย ๆ เลยคาใจมาจนปัจจุบัน
        คำตอบคือ เพลงคลาสสิค ไม่ใช่จะเหมาะสมให้ลูกฟังได้ทุกเพลงค่ะ บางเพลงเขาแต่งมาจากอารมณ์เศร้า หดหู่ ท้อแท้ โกรธ เราก็ไม่มีความรู้นี่นะ จะรู้ไหม ก็มันไม่มีเนื้อร้อง บอกนี่นะว่าฉันโกรธ ฉันเกลียด ตัวเองก็ไม่มีความรู้เรื่องดนตรีด้วย สามียิ่งแย่กว่า   แค่ฟัง ๆ เขาว่าดนตรีคลาสสิค ก็คลาสสิคตาม ฟังแบบไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มีสมองฮ่าๆๆ 
        ส่วนเพลงที่มีเนื้อร้อง ควรเลือกให้เหมาะสมเช่นกัน เนื้อหาให้เหมาะสมกับวัยของลูกด้วย  การฟังเพลงที่มีเนื้อร้องและดนตรีคลาสสิคหรือดนตรีที่มีแค่ท่วงทำนองนั้น ควรให้ลูกฟังเท่า ๆ กัน เพราะ ดนตรีที่มีแต่ทำนองจะช่วยในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์  ที่ฟังมาท่านไม่ได้บอกนะคะว่ามันพัฒนาสมองได้อย่างไรแน่ชัด แต่ที่แน่ ๆ คือเรื่องส่งเสริมด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 
        ดร.แพง แนะนำให้เปิดเพลงที่มีทำนองอย่างเดียวให้เด็กฟังและให้เด็กจินตนาการวาดภาพออกมาจากความรู้สึกที่ได้ฟังผ่านเสียงเพลง  ส่งเสริมด้านจินตนาการได้ดีมาก และแม่ดาวว่าส่งเสริมด้านการฝึกสมาธิที่ดีด้วยนะ  อันนี้ลองทำมาแล้วค่ะหลังจากฟัง ....น้องดีโด้ก็ตามประสาเด็กบ้าพลัง ฟังได้ไม่นาน เพลงนุ่มนวลไพเราะ พี่ท่านวาดทหารรบกับพม่ารามัญ เย้ย.....เอานะ ต้องเข้าใจเขาแหละ เด็กผู้ชายและเขาก็ชอบเล่นพวกนี้กับพ่อเขาด้วย พวกรุนแรง ๆ เนี้ย 
        ส่วนดนตรีที่มีเนื้อร้อง ที่ควรให้ฟังด้วยเพราะเด็กจะได้เรียนรู้คำศัพท์ และเพลงสามารถปลูกจิตสำนึกที่ดีได้มากมายเช่น ล้างมือบ่อย ๆ ล้างมือบ่อย ๆ   , อย่าทิ้งขยะนะเธอ ลูกเป็ดเขาเจอเดี๋ยวเขาดุเอา , เช้านะ เช้าแล้ว ปลุกหนูขึ้นมาแปรงฟัน เจอกับฉันทุกวัน ตอนเช้านั้นและก่อนเข้านอน ฯลฯ มีมากมายหลายเพลงนะคะ  
        จะดีมากหากเราสอนลูกเต้นไปด้วยตามเพลง  เขาได้ฝึกหลายอย่างเลยนะคะเนี้ย  บางทีก็เปิดเพลงที่มีเนื้อร้องให้ลูกฟัง และให้เต้นเองตามความคิด เคยทำกันไหมค่ะ สนุกนะคะ ผลัดกันเต้น เหมือนในหนังฉันเต้นเธอหยุด เธอเต้นฉันหยุด ส่ง-รับกันไป หรือบางทีเต้นพร้อม ๆ กัน โดยใครนำก็ว่ากันไป สนุกจริง ๆ นะคะ
        สรุปคือ ควรให้ลูกฟังทั้งเพลงที่มีแค่เสียงดนตรีและเพลงที่มีทั้งดนตรีและเนื้อร้องจ้า

        2.   เรื่องเด็กผู้หญิงกับตุ๊กตาบาร์บี้ ใครมีลูกสาวบ้างค่ะ  เด็กผู้หญิงในยุคปัจจุบันคงหากยากนะคะ ที่ไม่รู้จักตุ๊กตาบาร์บี้ หลานสาวแม่ดาว 3 สาวรู้จักทุกคน  ดร.สุพาพร บอกว่าไม่แนะนำให้ซื้อตุ๊กตาบาร์บี้มาให้ลูกเล่น มีงานวิจัย หรืออะไรสักอย่างจำไม่ได้ บอกว่า หากเราให้เด็กเล่นตุ๊กตาบาร์บี้จะทำให้เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบ คืออยากจะมีหุ่นดีแบบบาร์บี้  คือสูงยาว ขาวสวย  เอวคอด สะโพกผาย ไหล่ตึง หน้าอกเด้งดึ้งใหญ่บึ้ม แต่งตัวเยอะ ๆ ต้องแต่งหน้าทาปาก  อันนี้อธิบายจากความเข้าใจของตัวเองนะคะ  
        แล้วถ้ากรรมพันธุ์ไม่ใช่แบบนี้แล้วเล่นบาร์บี้ล่ะคะ  ผลลัพท์น่ากลัวนะคะ เด็กจะรังเกียจตัวเอง ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ขาดความมั่นใจในตัวเองไปเลย  มีหลานสาวอีกคนตอนนี้อายุ 9 ขวบแล้วรู้จักบาร์บี้แน่ ๆ ค่ะ เขาไม่พอใจในสิ่งที่เขาเป็น เขาอยากขาว เพราะไม่ขาว อยากผอมหุ่นดีเพราะเขาอ้วน อยากสวย 
        อันที่จริงความต้องการที่แท้จริงของเขาคือ เขาต้องการการยอมรับจากสังคม และต้องการอยากเป็นที่รักของทุก ๆ คน  เขาคิดเองว่าการที่เขามีหน้าตา ผิวพรรณและรูปร่างแบบนี้ สังคมจะไม่ยอมรับแน่ ๆ แบบนี้สังคมส่วนใหญ่จะไม่ชอบ ไม่ถูกเป็นที่รักหากยังเป็นแบบนี้
        เรื่องนี้แม่ดาวได้แนะนำกับทางผู้ปกครองไปแล้วว่าควรทำอย่างไร  การสอนให้เด็กรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองมีเป็นเรื่องสำคัญมาก  หากเราไม่ปลูกฝังเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เล็ก ๆ โตไป ก็ต้องมีปัญหาตามมามากมายไม่รู้จบ เช่น อนาคตคงต้องหาทางไปศัลยกรรมแน่ ๆ เสียเงิน และหากเสียไปถึงสุขภาพด้วยล่ะค่ะ  
        กระแสสังคมในปัจจุบันแรงมาก เด็ก ๆ ในปัจจุบันอยากเป็นดารา นักแสดง นักร้อง อาชีพในฝันของเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ หรือก็เป็นความฝันของพ่อแม่ด้วยเช่นกัน  ดูจากรายการต่าง ๆ ก็เห็น มีแต่การประกวด แข่งขัน แย่งชิงกันเพื่อจะเป็น ดาว  แล้วสิ่งที่หลาย ๆ คนก็มองข้ามไปคือความ ดี   คิดว่าทุก ๆ คนคงเห็นค่ะว่าการสอนให้ลูกเป็นคนดี นั้นดีนะ แต่ไม่ลงมือทำสักที  ปล่อยไปเรื่อย ๆ ตามกระแส ตามกิเลศของตัวเอง หลงกันเยอะ
        แม่ดาวเองก็มีหลายครั้งที่โดนความ ขี้เกียจ ครอบงำ แต่ก็พยายามสลัด ขัดเกลาทุกวันนี้ก็คิดว่าดีขึ้นเยอะมากแล้วค่ะ 
        มาแบบเนื้อหากันบ้าง   กำเนิดบุคคลิกภาพมาจากพันธุ์กรรมหรือสิ่งแวดล้อม
        คำตอบคือ ทั้ง 2 อย่างรวมกันค่ะ  งานวิจัยบอกว่าอารมณ์มาจากพันธุ์กรรม แต่สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้จริงไหมค่ะ 
        ส่วนสิ่งแวดล้อม คือ
1.การได้รับสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือสุขภาพดี อารมณ์ก็ดีตามเนอะ
2.ต้นแบบ คือ พ่อแม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดูเด็ก
3.การเรียนรู้ของเด็ก

ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย คือ
-    ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
-    ไม่รู้ว่าความคิด ความรู้สึกของตนแตกต่างไปจากของผู้อื่น
-    ชอบเลียนแบบบุคคลที่ตนรักและสนใจ
-    มีความอยากรู้อยากเห็นสูง
-    มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์กับสิ่งที่ตนเองเล่น
-    มีอารมณ์ความรุนแรง มีความอิจฉาริษยาสูง
-    มีการเรียนรู้ การปรับตัวเข้ากับเพื่อน
-    ต้องการการยอมรับจากผู้ใหญ่
หาเราเข้าใจธรรมชาติของเด็ก  สายตา ความคิดที่เรามีต่อเขาจะเปลี่ยนไปค่ะ จากที่เคยมองว่าลูกชั้น หลานชั้นมีปัญหา หากใช้สายตาที่เข้าใจ เราจะเข้าใจและยอมรับความเป็นตัวของเขาได้ไม่ยาก จริงไหมค่ะ

เด็ก วิ่ง ๆ  เดิน หกล้ม หกลุก  แต่หนูสนุก ได้เดิน ได้วิ่ง ขอให้ทุกคนรักหนูจริง ๆ ถึงหนูจะวิ่งหกล้มหกลุก 

จดมาจากที่เข้าฟังบรรยายค่ะ  ตีความหมายกันเองนะคะ เข้าใจแล้วลองวางใจให้เป็นกลางนะคะ อุเบกขา ข้อนี้สำคัญมาก ๆ หลาย ๆ คนทำไม่ได้  มันก็ไม่ใช่จะทำได้เลยนะคะ มันต้องฝึกฝน อดทนที่จะทำ แม่ดาวเองก็ต้องฝึกฝนตลอด ๆ เช่นกันจ้า

ผ่านไปอีก 1 เรื่องราวดี ๆ นะคะ ที่เก็บมาฝากกัน  ของฝากแม่ดาวเยอะนะเนี้ย
  

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

10 คำพูดดี ๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อกับแม่

        เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาส ไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวความการให้ความรู้ในการเลี้ยงลูกอีก 1 งาน ด้วยชื่องานและคำโปรย (ข้อมูลเชิญชวนร่วมงาน) ในใบที่ได้อ่านเร้าใจอยากไปมาก  แต่ก็ตะหงิด ๆ ใจอยู่ว่า น่าจะลงเอยเช่นนี้..........ฮ่า ๆๆ ทราบข่าวจากผู้ปกครองท่านนึงที่สนิทกัน เพราะทางทีมงานคงจะไปแจกตามโรงเรียนต่าง ๆ เป็นกิจกรรมฟรีค่ะ  แต่ที่ผ่านมาสำหรับตัวแม่ดาวเอง ส่วนมากกิจกรรมแนวนี้เน้นให้ความรู้เป็นหลัก

        แต่กิจกรรมนี้ แม่ดาวว่าเขาขายสินค้าเป็นหลักนะคะ ฮ่าๆๆ  ด้วยความที่คิดไว้ในใจอยู่แล้ว และไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไร  เพราะเห็นมีกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ด้วยดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ เนอะ อย่างน้อยที่สุดลูกก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเข้าสังคมกับเด็กคนอื่นๆ นอกจากเพื่อนที่โรงเรียนและครอบครัวตัวเอง

        เอาเข้าจริง ไม่ยอมเข้ากลุ่ม จะอยู่กับแม่อย่างเดียว  แต่ทุกอย่างแม่ดาวก็อ่านเกมส์ออกตั้งแต่แรกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ ก็เลยคุยปูพื้นกันมาแล้วว่า “แม่ไม่มีปัญหาหากลูกจะอยู่กับแม่” และบอกถึงวิธีการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม บอกเขาว่างานนี้อันที่จริงเขาไม่อยากให้เด็กอยู่ด้วยเพราะอะไร   และหากเขาผิดข้อตกลงที่คุยกันจะเกิดอะไรขึ้น พูดแบบไม่ได้ขู่ลูกนะคะ พูดแบบพูดคุยกันปกติ   

        ก่อนเข้าร่วมฟัง เขาก็จะมีการขายสินค้า สินค้าเขาแม่ดาวเคยอยากได้นะ แต่แพงเกินไปสำหรับตัวเองนะคะ เกือบครึ่งแสน แนะ แต่เขาก็ให้ผ่อนได้นะคะ   เป็นหนังสือเสียง “หนังสือพูดได้” ที่เขาจะมีปากกาไปจิ้ม แล้วจะมีลำโพงอีกตัวแยกจากปากกาเลย เคยเกือบ ๆ จะซื้อเหมือนกัน แต่ก็มาคิดว่า “แพงเกินไป” และตัวเองก็มีเวลามากพอที่จะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ถ้าลูกยอมฟังนะคะ   

        ส่วนอีกใจสนใจอยากจะได้ คือตัวเองก็มีภาระกิจประจำคือการทำกับข้าว ทำงานบ้านทั้งหลาย บางอย่างเราก็หลีกเลี่ยงที่จะทำไม่ได้ เวลาเขาอยู่เราจะทำงานบ้านให้น้อยที่สุด งานไหนรอได้รอไปก่อน  ลูกแม่ดาวเป็นเด็กที่ต้องอยู่กับผู้คนตลอดเวลา ไม่ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบเล่นคนเดียว หลัง ๆ นี่ดีขึ้นตั้งแต่เข้าเรียน เล่นคนเดียวได้นานขึ้น  ในความคิดชั่ววูบ นี่อาจจะเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการเบี่ยงเบนความสนใจจากแม่ชั่วขณะ  อยากลงทุนนะคะ แต่กลัวได้ไม่คุ้มเสีย แอบงก อิอิ

        การดูทีวี ก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยแม่ดาวได้เยอะ แต่ต้องมีกำหนดเวลาเช่น 10-20 นาที แต่ก็ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ บางคนอาจคิดในใจว่า “เอ....แล้วทำไมไม่ให้ลูกทำด้วย คือบางอย่างเขาก็ช่วยไม่ได้ และบางครั้งเขาก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว เบื่อแล้วไม่อยากทำ คือทำบ่อยแล้วฮ่าๆๆ แต่ไม่บังคับนะคะ  เราจะแบ่งแยกชัดเจนว่าอันนี้คืองานของเราเป็นความรับผิดชอบของเรา ส่วนหน้าที่ของเขาสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบคืออะไรบ้าง  หากใครทำงานของตัวเองเสร็จแล้วมาช่วยอีกฝ่ายนั้นถือว่าเป็นน้ำใจของคนในครอบครัว แต่การช่วยเหลือไม่ใช่หน้าที่ แม่ดาวไม่บังคับค่ะ อยากให้เขาช่วยด้วยใจ ทำจากใจ ไม่ใช่ทำตามแม่สั่ง ซึ่งก็คุย ๆ กันไว้แล้วว่าหากโตขึ้นในแต่ละปี ก็จะมีหน้าที่ ๆ จะต้องช่วยแบ่งเบาในครอบครัวมากขึ้น  

        ด้วยวัย 5 ขวบ เท่าที่เขาทำทุกวันนี้ก็ดีมากแล้วนะคะ สำหรับแม่ดาว แค่เขาช่วยเหลือตัวเองในเรื่องส่วนตัว เช่น ทำความสะอาดร่างกาย  ทานข้าว เก็บจานของตัวเอง ทำการบ้าน เรียนหนังสือ เล่นแล้วเก็บของเล่นเข้าที่ ฯ และงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ช่วยครอบครัว คือ การเติมน้ำในขวดให้ทุก ๆ คนในบ้านได้ดื่มกัน  เขาก็สามารถทำได้ดีในระดับที่แม่ดาวพอใจค่ะ    หนังสือเสียงแบบนี้น่าสนใจมาก มันดึงดูดลูกได้มากนะคะ ในความคิดแรกๆ แต่ด้วยราคาที่สูงมากทำให้ต้องกลับมาคิดวิเคราห์ดี ๆ ว่าจะซื้อ หรือไม่ซื้อดี  สุดท้ายคือไม่ซื้อค่ะ ด้วยเหตุผลที่บอกข้างต้นประกอบกับด้วยนิสัยลูกแม่ดาวเป็นเด็กขี้เบื่อง่ายมาก หากเป็นพวกแนว ๆ นี้เล่นไม่กี่ทีก็หมดความสนใจ ซื้อมาใช้ไม่คุ้ม เคยมีซื้อพวกหนังสืออารมณ์ประมาณนี้  แรก ๆ ก็เห่อ  หลัง ๆ ก็วางทิ้งไว้   ชวนเล่นก็ไม่เอา มันหมดความสนใจ ไม่เร้าใจเหมือนตอนแรก   จะเรียกว่าสมาธิสั้นไหม ก็ไม่นะคะ เพราะหากเขาเล่น หรือทำให้สิ่งที่เขาสนใจมาก ๆ ชอบมาก ๆ ก็จะนิ่งได้นาน เช่นเล่นต่อตัว เล่นทหาร ปั้นดินน้ำมัน เคยถามคุณหมอแล้วด้วย

        ส่วนพวกกิจกรรมการพัฒนาด้านวิชาการต่าง ๆ แม่ดาวก็แอบสอนในการเล่นบ่อย ๆ แต่เขาฉลาดพอรู้ตัวว่าถูกสอนก็จะไม่เอาเลย  ต้องเนียน ๆ ยากค่ะ  พยายามปลูกฝังเรื่องการรักการอ่านก็ทำมาตลอด ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นผลว่าเขาจะรักการอ่านแต่อย่างใด มีแค่ตอนจะนอนแค่นั้นที่จะวิ่งเข้าหาหนังสือนิทาน  กิจกรรมระหว่างวันสำหรับลูกแม่ดาวจะวิ่งเล่น หรือไม่ก็นั่งเล่นพวกตัวต่อ การ์ตูนย์ทหาร ยอดมนุษย์ซะส่วนใหญ่  พวกวาดรูปเล่น ทำสิ่งประดิษฐ์ไม่ค่อยจะได้ทำ เขาไม่ค่อยจะชอบ ชวนทำทีไรก็จะเบื่อไม่สนุก ชอบที่สุดคือกิจกรรมกลางแจ้ง วิ่งเล่นใช้พลังพวกนั้น ลูกแม่ดาวหากให้จัดประเภทเอง เป็นพวกสมองดี แต่ไม่ชอบเรียน หากอะไรที่เป็นความรู้ ต้องสอนผ่านการเล่นตลอด ๆ ถึงจะเข้าสมอง ไม่งั้นก็จะไม่รับเลย มหัศจรรย์สมองเด็กจริง ๆ  

        นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของแม่ดาวที่เข้าฟังบรรยายแบบมีลูกอยู่ด้วย  อันที่จริงในความคิดตัวเองไม่ควรให้ลูกฟังด้วย เพราะเขาจะรู้กลเม็ดเคล็ดลับ วิชาที่เราใช้จัดการปราบพฤติกรรมของเขา ไม่ควรอย่างยิ่งค่ะ แต่โชคดีที่งานนี้ไม่มีอะไรมาก และเป็นกิจกรรมสนุก ๆ  บรรยายประกอบการแสดง  พูด ร้องเพลง เต้นโชว์ ฮ่าๆๆๆ ขำ ๆ กันไป 

        จบแบบค่อนข้างจะดี  คือมีงอแงบ้าง เบี้ยวบ้าง แต่แม่ดาวไม่โกรธเลยนะ เข้าใจเพราะตอนนั้นเขาง่วงนอนด้วย คืนก่อนไปนอนดึกและตื่นเช้าตามแม่  ตกบ่ายเลยเกิดอาการอยากกลับไปนอนที่บ้าน คิดว่าคงไม่ได้สร้างความวุ่นวายในกับงานนะคะ เพราะเขาก็เบี้ยวแบบเรียบร้อยมากๆๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น หากปกติง่วงจัดแบบนี้จะแบบ “ผีเข้า” กันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ

                เอ้า....เข้าเรื่องสักที   10 คำพูดดี ๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อกับแม่   คัดลอกหัวข้อมาจากใบความรู้ที่เขาแจกมาเลยนะคะ ส่วนคำอธิบายเนี้ย แม่ดาวขยายความต่อเอง โดยใช้ความคิดเห็นจากที่รู้ ๆ มา

       
1.     พ่อกับแม่ “รัก” ลูกมากนะ 
        การบอกลูกซ้ ำๆ ว่า เรา “รัก” เขาเป็นการตอกย้ำให้เขารับรู้ได้ชัดเจน แต่ควรทำประกอบกับพฤติกรรมของพ่อแม่ที่สอดคล้องกับคำพูดด้วยนะคะ  ลูกจะรู้สึกว่า “ตัวเองเป็นที่รัก”  “เป็นคนที่สำคัญ” กับพ่อแม่ ความรักของเราจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยหลาย ๆ อย่างให้ลูกได้  วัคซีนความรักนี้ แม่ดาวได้รับด้านคำพูดจากพ่อแม่เป็นศูนย์ หรือจำไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่รับรู้ได้จากการกระทำของท่านค่ะ  บางทีท่านพูดอย่าง ท่านทำสวนทางกับสิ่งที่ท่านคิด เรียกว่าปากร้าย แต่ใจดี ทำนองนั้น  แต่โชคดีที่แม่ดาวเข้าใจท่าน เลยเป็นคนไม่มีปัญหามากนัก ผิดกับสมาชิกอีก 2 คน ในครอบครัว ที่ตีความหมาย ไม่เข้าถึงความรักที่พ่อแม่มอบให้ เลยกลายเป็น “คนมีปัญหา”   จำไว้นะคะ   “รักนะ...ต้องแสดงออก  ต้องให้พูดบอกออกไป อย่ารักเงียบ อ้ำอึ้งนะคะ”

2.     พ่อกับแม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูกมากนะ
        นี่เป็นอีกคำพูดที่เราควรพูดกับลูก  เขาก็จะรับรู้ได้ว่า เขามีค่า เขาสำคัญ เหล่านี้สร้างความรู้สึกทีดีให้ลูกมาก ๆ ค่ะ  เช่น แม่ภูมิใจในตัวลูกชายแม่จริง ๆ ที่ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง   พูดแล้วต้องบอกด้วยว่า เราภูมิใจในตัวเขาเรื่องอะไร ระบุพฤติกรรมที่เราภูมิใจเข้าไปด้วย เขาก็จะได้มีแรงกระตุ้นทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ นะคะ

3.     พ่อกับแม่ “สนับสนุน” ลูกเสมอนะ
        เอ....คำนี้ไม่เคยใช้นะคะ สำหรับแม่ดาว  แต่คิดว่าเราใช้การกระทำแทนคำนี้ไปแล้ว เช่น หากเขาตัดสินใจว่าอยากจะทำเรื่องอะไรที่ดี ที่ถูก เช่น เขาขอไปเรียนว่ายน้ำเอง  โดยที่เราไม่ได้ยัดเยียด เราก็จะบอกเขาว่า “แม่เห็นด้วยครับ  การว่ายน้ำเนี้ย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายได้ทุกส่วน อีกทั้งช่วยชีวิตลูกชายแม่ได้ด้วยหากตกน้ำ”  และแม่ดาวจะตบท้ายด้วยการชื่นชมต่อว่า “ไหน ๆ ขอจุ๊บสมองใส ๆ ของลูกชายคนดีของแม่หน่อยซิ ฉลาดเลือกจริง ๆ ที่จะเรียนว่ายน้ำ”   เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะบ้ายอเป็นทุนค่ะ  จริง ๆ ผู้ใหญ่ก็เป็นนะ หากยิ่งเราสนับสนุนและชื่นชมแบบนี้  ยังทำให้เขารับรู้ว่า “เขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี เขาสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีในชีวิตให้ตัวเองได้”  ส่งเสริมเรื่องการให้ลูกคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง ตัวนี้จะทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นในความคิดดี ๆ มากขึ้น ถึงเขาเป็นเด็ก เขาก็คิดดีได้ และภูมิใจที่พ่อแม่ยอมรับด้วย

4.     พ่อกับแม่  “เชื่อมั่น” ในตัวลูกเสมอนะ
        คำนี้ “เชื่อมั่น” ก็เคยใช่ค่ะ   บางครั้งใช้เพื่อเตือนสตินะคะ เวลาเขาคิดจะตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มีแนวโน้มว่าจะตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ไม่ดี เช่น เขาเห็นเพื่อนที่สนิทกันทานน้ำอัดลม แม่ดาวก็จะพูดประมาณว่า “ดีโด้ตัดสินใจเองได้เลยครับว่าลูกจะเลือกอะไร แม่เชื่อมั่นในความคิดของลูก ลูกแม่ฉลาดคิด ฉลาดเลือกอยู่แล้วเนอะ”  และผลคือ เขาตัดสินใจเลือกน้ำส้มแบบไม่อัดลมแทนค่า อิอิ

5.     พ่อกับแม่ “ขอโทษ” 
        ข้อนี้หากเป็นก่อนที่จะได้เรียนรู้เทคนิคการเลี้ยงลูกจากครูใหม่ครูหม่อมนั้น ไม่ค่อยจะได้พูดเลยค่ะ แต่ก็มีพูดบ้าง พอได้เรียนรู้แล้วว่ามันสำคัญมาก หากเราทำผิดแล้วเราขอโทษลูก ลูกก็จะเรียนรู้และเลียนแบบจากที่เราทำ เช่น บางครั้งเราก็มีอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ไม่สบายใจบ้าง  ลูกก็เป็นปกติที่เป็นคือเล่น ร่าเริงมากๆๆๆ  แต่เราหงุดหงิดอยู่ ก็มีแอบบ่น แอบตาเขียวบ้าง  พอรู้สึกตัวโดยลูกนี้แหละค่ะ ตัวสติที่ดีมาก  เขาจะบอกว่า “แม่ครับวันนี้แม่เป็นอะไร ทำไมหน้าบึ้งจัง บ่นดีโด้ตลอดเลย”  แง่วๆ  ได้สติและบอกลูกค่ะว่า  “แม่ขอโทษนะครับ  วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย เหนื่อย ๆ ด้วยทำงานบ้านเยอะมาก เลยเผลอหงุดหงิด บ่น ๆ ทำหน้าบึ้งในหนู”  ดีโด้ยิ้ม “ไม่เป็นไรครับแม่ ดีโด้ก็ขอโทษแม่ด้วยนะครับ ดีโด้ซนเยอะไปหน่อย ไม่รู้ว่าแม่ไม่ค่อยสบาย”   บทสนทนาพวกนี้ อ่านแล้วคุณอาจไม่เชื่อว่าเด็ก 5 ขวบพูดแบบนี้
        ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ด้วยการลองนำไปทำบ่อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง และทำให้ถูกวิธีนะคะ  คำพูดขอโทษที่ออกมาจากปากลูกจะไม่ใช่แค่ผ่านกล่องเสียงออกมาจากปากเท่านั้น แต่มันออกมาจากใจเขาเลยจริง ๆ   ไม่รู้ใครเป็นไหม เวลาที่ลูกทำผิดแล้วสั่งให้ “ขอโทษแม่เดี๋ยวนี้”  หรือ “ลูกครับ  ลูกต้องขอโทษแม่ด้วยนะครับ ลูกทำผิด”   แม่ดาวเคยทำค่ะ และผลที่ได้มันไม่ได้เท่าที่ปัจจุบันแม่ดาวได้รับประสิทธิภาพของพลังคำพูดขอโทษมันจริงต่างกันมาก  อันนี้ต้องลองเองนะคะ  และต้องทำไปสักระยะนะคะ บางคนเห็นผลเร็ว บางคนเห็นผลช้า แล้วแต่นิสัยเด็กคนนั้นและการเลี้ยงดูของเราด้วย  ลูกแม่ดาวจัดประเภท เห็นผลช้า ค่ะ  แต่เห็นผลนะ จริง ๆ
        สำหรับบางคนการให้พูด “ขอโทษ” กับลูกคงยาก เพราะคิดว่าทำไมเราต้องขอโทษลูกด้วย  ลองคิดดี ๆ นะคะ คิดใหม่ ทำใหม่ได้เสมอค่า ไม่สายเกินไป และไม่ยากเกินไป หากเราจะทำเนอะ

6.     ลูกเป็น “เด็กดี” ของพ่อกับแม่
        ขอนี้ผ่านดีกว่าค่ะ ธรรมดาเนอะ

7.     แม้เลิกกัน แต่ลูกไม่ต้องเลือกรัก
        อันนี้สำหรับครอบครัวที่ประสบปัญหามรสุมชีวิต ต้องแยกจากกัน แบ่งเป็น 2 ฝ่าย เป็นการบอกให้ลูกรู้ว่า ลูกไม่ต้องลำบากใจไม่ว่าเขาจะอยู่กับใคร ลูกก็ยังรักพ่อและแม่ได้เหมือนเดิมและเท่ากันได้  ไม่ต้องเลือกฝ่ายให้ลำบากใจ และอยากเติมต่อไปอีกนิดว่า อยากให้เขารับรู้ว่า ถึงพ่อและแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พวกเราก็ยังเป็นพ่อและแม่ของลูกเสมอ ยังรักและห่วงใยลูกเหมือนเดิม  ข้อนี้โจทย์หินเนอะ  ปกติหากแยกจากกันส่วนมากก็ใจร้าวกันทั้งครอบครัว ยังไงซะมันต้องมีแผลแหละค่ะ  ส่วนการเยียวยาก็ขึ้นกับคุณว่าคุณรักใครมากกว่ากัน “ตัวเอง” หรือ “ลูก”  หากเลือกลูกแม่ดาวคิดว่าไม่น่ามีปัญหา

        มีหลายคนบอกว่ารักลูก แต่ที่เห็น สิ่งที่ทำ มันเพื่อตัวเองทั้งนั้น คำพูดกับการกระทำสวนทางกันมาก  คิดดี ๆ นะคะ  สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำเพื่อใครกันแน่   มีเรื่องหนึ่งที่ได้ฟังแล้วก็ปวดใจแทน พ่อแม่เลิกกัน ลูกไปอยู่กับพ่อ ด้วยเหตุผลว่าแม่มีเงินไม่มากพอที่จะดูแลลูกได้ แต่คนเป็นแม่นั้นมีความสามารถเกินพอที่จะเลี้ยงใจลูกได้   แยกกัน พ่อเลี้ยงแต่ร่างกายส่วนเดียว  และกีดกันคนเลี้ยงหัวใจ คือแม่  ไม่เพียงไม่เลี้ยงใจ แต่ยังทำร้ายหัวใจลูก โดยสั่งห้ามลูกว่า “ไม่ให้ติดต่อกับแม่อีก”  เด็กหญิงวัยสักประมาณ 11 ขวบได้มั้งค่ะ อีกคนเด็กชายวัย  7 ขวบ  น่าสงสารจริง ๆ  แต่สุดท้ายลูกก็แอบโทร.หาแม่ตลอด ๆ ลองคิดถึงหัวใจลูกนะคะ  โดนพ่อสั่งห้าม เขาจะอึดอัด ลำบากใจ เหนื่อยใจ แค่ไหน ที่ต้องแอบติดต่อแม่แบบลับ ๆ เฮ้อ....    

        เรื่องแบบนี้พูดลำบากนะคะ เราก็ไม่ได้เป็นเขา  เขาก็ไม่ใช่ตัวเรา ความคิดของแต่ละคนต่างกัน บางครั้งเราก็แค่ฟังเขาระบาย แต่สิ่งที่ช่วยได้ไม่ใช่เรา แต่เป็นเขาที่ต้องช่วยตัวเอง เรานำเสนอได้ ส่วนเขาจะนำใช้ไหมอีกเรื่องเนอะ  ทำได้แค่อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แหละค่ะ

8.     พ่อกับแม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น
        เรื่องนี้เอาแบบสุดโต่งเลยนะคะ  เคยมีคนถามแม่ดาวว่า หากลูกจากชายกลายเป็นสาวจะรับได้ไหม เพราะปัจจุบันเป็นกันเยอะมากๆๆ     แม่ดาวยิ้ม ๆ ตอบไปว่า “รับได้ ซิ  คนเราเลือกเกิดไม่ได้นี่ แต่เลือกที่จะเป็นได้”  แม่ดาวพูดจริงนะคะ  แม่ดาวยอมรับลูกได้จริง ๆ  ไม่ได้พูดขำ ๆ นะ  เราบังคับใจใครได้ไหม  แม่ดาวทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยบังคับจิตใจ ใช้จูงใจซะมากกว่า  แต่ก็มีนะคะบางอย่างก็มีบังคับฮ่าๆๆ แต่ไม่บ่อยหรอก

        หลาย ๆ เรื่อง หากไม่นับเรื่องนี้ เช่นลูกเกิดมาตัวดำ ขี่เหร่ นอกคอกจากพี่น้องคนอื่น แล้วเราไม่ยอมรับ เกิดอะไรขึ้นคงไม่ต้องบอกมั้ง เอาสักตัวอย่างนะคะ  มีคนรู้จักของแม่ดาวคนนึง เขามีลูกสาว 2 คน คนโตตัวคล้ำมาก หน้าตาก็ธรรมดา ส่วนคนเล็กตัวขาวหน้าตาอย่างกับตุ๊กตา น่ารักมาก ๆ  ใคร ๆ เห็นก็มักจะชมแต่คนน้องและค่อนแคะคนพี่ตลอด ๆ  ส่วนพ่อแม่เองก็จำอวยกับลูกคนเล็กมาก ๆ ตามใจไปซะทุกเรื่อง  แตกต่างไม่ใช่แค่หน้าตาผิวพรรณนะคะ  การแต่งตัวเสื้อผ้าก็ต่างกันมากทั้ง ๆ ที่ครอบครัวเดียวกัน พี่น้องกัน คนพี่จะแต่งตัวเก่า ๆ เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ส่วนคนน้องจะแต่งตัวแบบตุ๊กตายังไงยังงั้น ผลลัพท์คือคนพี่ใจแตก หนีตามผู้ชายไปตั้งแต่วัยน่าจะมัธยมต้น  ส่วนคนน้องก็มีนิสัยไม่ดีเลยก้าวราวมาก ๆ ด้วยความที่โดนตามใจจนเคยตัว   

        ทุก ๆ คนลุมประณามประมาณว่า “ลูกเลว” ใจแตก อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดีทุกอย่าง (จริงหรือ)  เด็กทำไปมันต้องมีสาเหตุแน่นอนค่ะ หากเขาย้อนกลับมามองตัวเองสักนิด เขาจะคิดได้  พ่อแม่ส่วนใหญ่มักไม่เคยจะยอมรับผิด มองไม่เห็นความผิดของตัวเอง  เห็นแต่ผลลัพท์ที่ลูกทำไม่ดี แต่ไม่คิดดี ๆ ถึงเหตุปัจจัย 
        ไม่รู้ไปกระทบโดนใจใครหรือเปล่าน้อ  หากใครอ่านแล้วโกรธ ขุ่นเคืองใจ แม่ดาวต้องขออภัยนะคะ  แต่มันเรื่องจริง ๆ แม่ดาวมีเจตนาที่ดีจริง ๆ อยากจะควักหัวใจเด็ก ๆ ออกมาให้พ่อแม่เห็นจริง ๆ  เขาทำไปเพราะเขาขาดความรัก เขาต้องการความรัก เขาโหยหาความรัก เมื่อเขารู้สึกว่าที่บ้านมีให้เขาไม่มากพอ โดยที่เราก็ละเลยจุดนี้ไป เขาก็ต้องไปเสาะแสวงหาความรักจากคนอื่น ๆ  ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้  ชวนทุก ๆ คนมาตรวจสอบตัวเองกันนะคะ ว่าเรา “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็นกันหรือยัง ยอมรับได้จริง ๆ ไหม เช่นแม่ดาวยอมรับได้กับหลาย ๆ เรื่องลูกแม่ดาวได้ ไม่ว่าจะในเรื่องไม่ดีก็ตาม แต่ยอมรับได้แล้ว ต้องเรียนรู้ต่อไปนะคะ ว่าเราจะช่วยเขาแก้ไขเรื่องไม่ดีได้ยังไง มันต้องมีสติและปัญญาประกอบกันเนอะ

9.     พ่อกับแม่ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะลูก”
        บางทีการที่เราทำอะไร พูดอะไรไป ลูกอาจตีความหมายผิดไปจากสิ่งที่เราจะสื่อสารออกไป  แล้วถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงค่ะ  ว่าลูกเข้าใจผิดหรือไม่  ก็ฟังจากคำพูดของเขาไงค่ะ  สิ่งที่เขาพูดมันก็สื่อสารมาจากสิ่งที่เขาคิดโดยส่วนใหญ่ บางทีเขาก็ไม่พูดตรง ๆ หลอกค่ะ เราต้องมีเสาสัญญาณรับคลื่นพลังงานพิเศษนี้ ซึ่งเชื่อว่าพ่อแม่ที่ใกล้ชิดลูกส่วนใหญ่จะรับเรด้านี้ได้แน่ ๆ 
        หากรู้ว่าเขาเข้าใจผิด เราก็ต้องใช้ประโยคนี้บอกเขาค่ะ  เช่น “แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับลูก  แม่หมายถึง.............................” บอกไปว่าเราคิดยังไง  
        ดังนั้นหากไม่อยากใช้ประโยคนี้บ่อย ๆ เราต้องชัดเจนค่ะ ทั้งคำพูดและการกระทำ ให้ชัดเจนกันไปเลย ไม่แน่ใจให้ถามว่า ลูกเลยว่า ที่แม่พูด ลูกเข้าใจว่ายังไงครับ แม่ขอฟังหน่อยนะ แม่อยากรู้ว่าเราเข้าใจตรงกันไหมน้อ ประมาณนี้ค่ะ เคยใช้เช่นกัน

10.    ลูกคือ “คนสำคัญ” ของพ่อกับแม่นะ
         ข้อนี้ก็ผ่านนะคะ  ก็คล้าย ๆ กับหลาย ๆ ข้อข้างบนเนอะ

        จบค่า ใครอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร  ส่งข้อความมาให้อ่านกันบ้างนะคะ  อยากทราบความคิดเห็นจากคนอื่น ๆ บ้างค่า