วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ส่งท้ายปีมังกร 2012




            นั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่พวกเราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้ากระดาน ข้อความ หรือตอนออนไลน์สดแลกเปลี่ยนกัน   สิ่งที่ตัวเองมีคนถาม และมักจะบอกกับหลายท่านบ่อย ๆ เกี่ยวกับการจัดการพฤติกรรมของลูกที่ไม่เหมาะสม พฤติกรรมที่เป็นปัญหา  นั่นคือ

            ให้มีสติ ใจเย็น ๆ คุยกันตอนที่ใจเราพร้อมและลูกพร้อม อันนี้บอกกันบ่อย ๆ เนอะ  แล้วก็จะมีคำถามย้อนกลับมาอีกว่า “แล้วทำยังไงให้ไม่โกรธ  ให้ใจเย็น ๆ อย่างแม่ดาวได้”  ฮ่าๆๆ ไม่อยากไม่ใครมาเหมือนเลย ปัจจุบันก็ยังต้องฝึกฝนในการควบคุมอารมณ์อยู่เนือง ๆ  ขอย้ำต้องฝึกฝน ค่ะอย่างที่บอกกันบ่อย ๆ ตัวแม่ดาวเองเดิมทีเป็นคนนิสัยไม่ค่อยจะดีนัก  อีกทั้งสะสมความโกรธเอาไว้มากมาย โกรธง่าย หายก็ยาก  สามีนี้ต้องลำบากใจมากเหนื่อยมากเวลาจะง้อ ฮ่าๆๆ  ปัจจุบันดีขึ้นมากมายค่ะ  เรียกว่าตอนแรก ๆ ที่เริ่มทำได้ครูดี คอยแนะนำ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ครูใหม่และครูหม่อมเช่นเคย

            ดังนั้นวันนี้จะสรุปอีกทีเป็นข้อสั้น  ๆ ถึงวิธีการที่แม่ดาวทำให้ระยะแรก ๆ ถึงปัจจุบัน

            วิธีแรก เมื่อรู้ตัวเรากำลังโกรธให้เดินหนีไปจากจุดเกิดเหตุค่ะ    ง่ายมากวิธีนี้  แรกๆ  ทำแบบนี้บ่อยมากๆๆ  ด้วยบางทีเราโกรธมาก เห็นพฤติกรรมอันน่าปวดหัว  พอโกรธจัด ๆ มันจะคิดคำพูดดี ๆ ไม่ออก เรียกว่าคิดดี ทำดีไม่ได้  ต้องเดินหนีไปเลย   หากถามว่าแล้วแรก ๆ  ตอนที่โกรธปรี๊ดแตก หยุดตัวเองไม่ให้พูด ไม่ให้ทำอะไรได้ยังไง  ....อืม  เรียกว่า  แม่ดาวคิดไว้ว่าจะพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้  เรียกว่าวางเป้านี้ไว้ตั้งแต่ตื่นนอนมา  ว่าวันนี้ หากลูกทำอะไรให้ต้องโกรธจะหยุดตัวเองให้ได้ อย่าปากไว คิดไว เหมือนทุกครั้ง  เรียกว่าพยายามมีสติ   แต่หากสติยังพอมีก่อนไปจะพูดกับลูกว่า “ตอนนี้แม่ยังไม่พร้อมที่จะคุยกับลูก แม่ขอเวลาสงบสติอารมณ์สักพัก” ประมาณนี้ แล้วค่อยเดินหนีไป    ปัจจุบันการกระทำนี้น้อยมาก หรือแทบไม่ได้ทำเลย

            วิธีที่ 2.    สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  หยุดนิดนึงแล้วค่อย ๆ หายใจออกช้า ๆ  ทำแบบนี้สัก 3-5 ครั้ง ก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง  คือบางทีเราอาจไม่สามารถเดินหนีไปได้  อาจหลับตาจะได้ไม่ต้องเห็นภาพอะไรที่กระตุ้นอารมณ์โกรธของเรา อาจได้ยินเสียงอยู่  เทคนิคนี้สำคัญคือเราต้องเอาใจของเราไปไว้ที่ลมหายใจของเรา  เช่น หายใจเขาลึก ๆ  ท้องป่องแล้ว เต็มที่แล้ว หยุด เอาหล่ะ ที่นี้หายใจออกเบา ๆ ค่อย ๆ ผ่อนออก ท้องแฟ่บแล้ว  คือตามสังเกตุอาการทางกายของเรา  ตามลมหายใจเราไป จากปลายจมูก ไปถึงไหน ยังไง ประมาณนี้    วิธีนี้ยังใช้อยู่เรื่อย ๆ ค่ะ สำหรับตัวเองแล้วมันช่วยได้มาก

            วิธีที่ 3.   ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า  เรากำลังโกรธลูกเรื่องอะไร  เขาทำอะไรเราถึงโกรธ  แล้วเราจะจัดการพฤติกรรมนี้อย่างไร  ประมาณนี้ค่ะ   คือ พอเราโกรธปุ๊บ รู้ว่าโกรธ แทนที่จะปล่อยอารมณ์โกรธระเบิดใส่ลูกเลย หยุดแล้วคิด การหยุดแล้วคิด ต่อให้คิดไม่ออกในขั้นจะจัดการพฤติกรรมลูกอย่างไรดี  มันเป็นการช่วยให้เรามีสติมากขึ้น ความโกรธมันจะลดลง

            วิธีที่ 4.    การฝึกสติ  แต่ละวันที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอน ให้พยายามระลึกรู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไร สังเกตุอาการทางกายและใจบ่อย ๆ   การสวดมนต์ไหว้พระ  และสุดท้ายคือการนั่งสมาธิ  ไม่ต้องหวังนะคะว่าจะไปถึงณานไหนยังไง ฮ่าๆๆ  เราเอาแค่ความสงบ  แรก ๆ อย่างที่บอกมันไม่สงบหรอกค่ะ  นั่งแรก ๆ มันจะฟุ้งมาก อย่าไปกดดันตัวเอง  “นั่งเล่น ๆ แต่ทำจริง ๆ” อันนี้จำมาจากท่านพระไพศาล  หมั่นทำ หมั่นฝึก  แล้วจะเห็นผล  หลัง ๆ ตัวเองก็เกียจคร้านไม่ค่อยจะได้นั่งสมาธิเลย  เห็นความต่างเลยค่ะ ใจมันจะฟุ้งง่าย ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้ไหม แต่ตัวเองเป็น  แต่ก็ไม่ถึงขนาดกลับไปเป็นคนเก่า  เพราะถึงไม่ได้นั่งสมาธิแต่พยายามมีสติกับชีวิตประจำวัน เห็นว่าตัวเองนั่งสมาธิแล้วดีขึ้นมากแบบผิดเป็นคนละคน เลยอยากชวนคนอื่นลองทำดูบ้าง  ลองดูไม่เสียหายนะคะ  แต่ต้องลองกันนาน ๆ สักหน่อย ทำติด ๆ กันจะเห็นผลจ้า

            สุดท้ายนี้  ชวนกันทบทวนตัวเองเนอะ ปีเก่าที่กำลังจะผ่านไปมีอะไรที่เราไม่ชอบ อยากจะแก้ไขตัวเองบ้าง เขียนออกมา และพยายามทำให้ได้อยากที่คิดเนอะ  คิดแล้วไม่ทำ กรรมก็ไม่เปลี่ยนนะคะ 

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ใครผิด....





        เกิดแรงบันดาลใจอยากจะพิมพ์เรื่องนี้ขึ้นมาได้ฟังรายการพ่อแม่พันธุ์ใหม่หัวใจเกินร้อย เรื่องเกี่ยวกับ “พ่อควรเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกอย่างไร”

        ฟังแล้วนึกถึงครอบครัวของตัวเองมาก อย่างที่บอกอะไรไม่ดีก็ต้องตีแผ่เนอะ แบ่งปันประสบการณ์ ถึงไม่ดีสำหรับเรา แต่มันเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนอื่น  ก่อนอื่นต้องขออโหสิกรรมต่อผู้ที่จะกล่าวถึงก่อน คือ สามี ฮ่าๆๆๆ เริ่มแบบนี้รู้แล้วชิมิ นินทาสามีชัวร์      น้องดีโด้ปัจจุบันอายุ 5 ขวบครึ่งแล้วค่ะ  นิสัยอย่างหนึ่งที่ไม่ดีมาก ๆ สำหรับความคิดเราที่เขาเหมือนพ่อเหลือเกิน คือ ไม่เคยผิด  หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เช่น วิ่งเล่นด้วยกัน แล้วเขาล้มเอง เขาจะโทษคนที่อยู่ใกล้เขา ส่วนมากก็คือ แม่ดาวนี่แหละ “เป็นเพราะแม่คนเดียว ดีโด้ล้มเจ็บเลยเห็นไหม”  หรือเดินถือแก้วน้ำ เทน้ำล้นเดินถือจะวางที่โต๊ะทำน้ำหก ก็จะบอกอีก 

“เพราะแม่เปิดทีวีเสียงดัง ดีโด้เลยตกใจทำน้ำหก”  เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เป็นมานานแล้วค่ะ ก็ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ บอก มีนิทานเรื่องหนึ่งดีมากสำหรับสอนเรื่องนี้  เรื่อง “ดาบของหมีใหญ่”  เคยยืมเพื่อนลูกมาอ่านให้ลูกฟัง เป็นโครงการแลกเปลี่ยนนิทาน แลกกันอ่าน ฮ่าๆๆ ไปหาซื้อก็หาไม่ได้  ดีโด้ก็ชอบเรื่องนี้มาก แม่เองก็ชอบมากเช่นกัน  

        สาเหตุก็คือ พ่อแบบในครอบครัวนี่แหละค่ะ  สามีจะเป็นคนเจ้าระเบียบ ขี้บ่น จุกจิก ช่างตำหนิ มักจะต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกเสมอ ๆ  ถึงจะคุยกันแล้วว่า แบบนี้ไม่ดีนะคะ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกเห็น และลูกจะทำตามอย่างได้   แต่หากคนเราไม่ฝึกสติ ไม่พยายามฝืนตัวเอง จะไม่เห็นตัวเอง  ไม่ว่าลูกจะสะท้อนพฤติกรรมของมาแบบเขาเลยก็ตาม เขาก็จะไม่มองที่ต้วเอง เพราะนั้นคือ สิ่งที่มันปลูกฝังหยั่งรากลึกจนยากจะแก้ไข  แต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้ แม่ดาวเองยังขุดนิสัยไม่ดีมากมาย ค่อย ๆ ขุดทิ้งไปทีละนิด ทีละนิด เหนื่อยและหนักนะ แต่ต้องทำ   และขอบอกว่าหลายอย่างก็ทำได้ดีเกินคาด

        ยกตัวอย่าง  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าลูก   เสื้อตัวหนึ่งของสามีหายไป พยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เราก็พยายามคิดทบทวนในส่วนของตัวเองก็คิดว่าไม่มีแน่ ๆ   ถามต่อให้เขาช่วยคิดว่าไปใส่แล้วลืมไว้บ้านแม่ (ของเขา) หรือไม่  เขาก็ยืนยันว่าไม่แน่ ๆ  เขาไม่เคยใส่ตัวนี้ไปบ้านแม่เลย  เราก็คล้าย ๆ ว่าจะจำได้ว่าเขาเคยใส่ไป  คือบางทีใส่ไปแล้วต้องไปถอดแขวนไว้ก่อน เพราะต้องซ่อมข้าวของเครื่องใช้ในบ้านในแม่  ทำเสร็จก็จะใส่กลับ แต่บางทีลืมถอดใส่จนเลอะ ก็จะเปลี่ยนเอาตัวใหม่ในบ้านแม่ใส่กลับมา   แต่จะไม่บ่อยมากที่จะลืมเปลี่ยนเสื้อ  เขาก็จะโทษว่าเราตากผ้าไม่ดี ลมคงพัดปลิวตกไป หายไปแล้ว  สุดท้าย คือ อยู่บ้านแม่เขาจริง ๆ      กุญแจรถหายทั้ง ๆ ที่เขาถือไว้เองตลอด  เขาก็ยังพยายามมายัดความผิดให้เรา ถามว่า “เราถือไม่ใช่เหรอ”  เรื่องพวกนี้เวลาเกิดขึ้น เมื่อก่อนก็จะเถียงกัน แต่พอลูกพูดว่า “หยุด อย่าเถียงกันได้ไหม” แค่นั้นเราก็ได้สติ  หยุด แต่เขาไม่ค่อยจะหยุด  

        ปัจจุบันหากเจอเหตุการณ์พวกนี้ ตัวเองก็จะนิ่ง ๆ ค่อย ๆ คุย ค่อย ๆ บอกให้เขามีสติ แต่เวลาคนมันขาดสติ ก็ยากนะคะ ที่จะแค่ส่งสัญญาณแล้วเขาจะรู้สึกได้  ถึงบอกว่ามันต้องฝึกการมีสติ   แต่มีเรื่องหนึ่งที่ตัวเองควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบากคือ การทะเลาะกันเวลาขับรถ  หากตัวเองขับรถนั้น แล้วสามีจุดประกายไฟนั้น จะดับได้ยาก  แต่จะดับเร็วเลยหากลูกพูดขึ้นมาว่า “หยุด อย่าทะเลาะกัน”  

        ความคิดที่ต้องการส่งต่อคือ  ไม่ว่าจะอย่างไร เราไม่ควรจะต่อว่า ตำหนิกันและกัน โดยเฉพาะต่อหน้าลูก  ตัวเองพยายามอย่างมาก เพราะได้รับผลของการเลี้ยงดูมาโดยที่มีแม่คอยตำหนิว่าพ่อบ่อย ๆ  สิ่งที่จะบอกสำหรับตัวเองคือ ตัวเองกลับไม่ได้มองว่าพ่อไม่ดี แต่กลับหันมาแอบตำหนิแม่แทน แปลกไหม  เรารักทั้งพ่อและแม่ ออกจะรักแม่มากกว่าด้วยนะคะ แต่กลับไม่พอใจหลาย ๆ ครั้งที่แม่ต่อว่าพ่อ  ลึก ๆ จะมีคำถาม “แล้วไม่รักกันจะทนอยู่ด้วยกันทำไม” เสมอ  มันเหมือนลึก ๆ มันมีความกลัวเขาจะแยกทางกันด้วยแหละ  คิดว่า หากเป็นลูกคงไม่มีลูกคนไหน อยากได้ยินคำร้าย ๆ ที่พ่อแม่พูดถึงกันแน่ ๆ 

        ดังนั้นควรพยายามฝึกสติเรื่อย ๆ จะได้มีสติ รู้ทันอารมณ์ ความคิด การกระทำคำพูดตัวเอง บางทีมันหลุดไปแล้ว ไม่ทันแต่ยังรู้ตัว หลุดแล้วก็หยุด หยุดให้ได้ ขอโทษลูกว่า  สิ่งที่แม่พูดแม่ไม่ควรพูดเลย ให้เขารู้ว่าแบบนี้คือไม่ดี ไม่ควรทำ ไม่ควรพูด  หากเวลาที่สามีตำหนิเรา  ก่อนนอน หรือเวลาที่ใจลูกสบาย ๆ จะค่อย ๆ คุยกับลูกว่า “ป๊าว่าแม่แบบนี้ แม่รู้ว่าดีโด้ไม่ชอบ แต่อยากให้ดีโด้เข้าใจว่าป๊าเราปรารถนาดีต่อแม่  แต่ป๊าเขาเลือกคำพูดไม่ค่อยเป็น”

        ยกตัวอย่างบทสนทนาดีกว่า
        เวลาที่สามีตำหนิ หน้าตา ท่าทางน้ำเสียงจะแสดงออกแบบยักษ์ ฮ่าๆๆ  ดีโด้บางทีเขาก็จะบอกสวนไปว่า  “อย่ามาว่าแม่นะ”   “หยุดอย่ามาว่าแม่ดีโด้” แต่บางทีเขาก็ฟังเฉย ๆ แต่แสดงอาการไม่พอใจ   หลังจากนั้นเวลาจะนอนหากเกิดเหตุการณ์ เรามักจะคุยกัน เขาจะบ่น ๆ ว่า
กรณีหากแม่ดาวทำผิด
ดีโด้           ดีโด้ไม่ชอบป๊า ดีโด้ไม่รักป๊าแล้ว
แม่            ดีโด้โกรธป๊าเหรอ
ดีโด้          ใช่
แม่            แล้วโกรธป๊าเรื่องอะไรครับ
ดีโด้          ป๊าชอบว่าแม่  ดีโด้ไม่ชอบ ดีโด้ไม่รักป๊าแล้ว
แม่            นี่ดีโด้คงโกรธป๊ามากเลยนะเนี้ย
ดีโด้          ใช่
แม่            ป๊าว่าแม่   แม่เองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่แม่ไม่โกรธป๊านะ แค่ไม่ชอบคำพูด แต่ไม่โกรธตัวป๊า 
ดีโด้          ดีโด้โกรธป๊าและไม่ชอบคำพูดป๊าด้วย  (หงุดหงิดเหมารวมเลย)
แม่            ก็แม่รู้ว่า ป๊าเขาเป็นคนพูดจาแบบนี้ แต่ในใจป๊าเขารักและหวังดีกับแม่นี่ครับ แค่ป๊าเขาเลือกใช้คำพูดไม่เหมาะสม  ลูกชอบไหมเวลาเราทำผิด แล้วใครมาพูดตำหนิเราแบบนี้  
ดีโด้          ไม่ชอบ ถ้าป๊าว่าดีโด้แบบนี้นะ ดีโด้จะเถียงกลับ
แม่            นั่นซิ แม่ก็ไม่ชอบ  ดีโด้ก็ไม่ชอบ  แม่คิดว่าป๊าเองก็ต้องไม่ชอบด้วย คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ดีโด้คิดว่าไง
ดีโด้          ดีโด้ว่า ป๊าชอบ  แม่กับดีโด้กับคนอื่น ๆ ไม่ชอบ
แม่            อืม....นั่นซิ เราคิดต่างกันเนอะ แต่เหมือนกันตรงที่ ดีโด้ แม่ และคนอื่น ๆ ไม่ชอบ  แล้วหากว่ามีใครทำอะไรผิด ลูกจะพูดกับเขายังไง

โยนคำถามให้เขาลองตอบ ลองพูดตามความคิดว่า เขาจะเลือกใช้คำพูดอย่างไร   หากพูดดีแล้วก็ชมและบอกว่าแบบนี้ดี   หากไม่ดี ก็ไม่ตำหนิ แต่ให้ใส่ความคิดเห็นเราเข้าไปแทน  เช่น  “เอ...หากเป็นแม่นะ แม่จะบอก....................................”  แล้วสมมุติเหตุการณ์ให้เขาเป็นคนทำอะไรผิดสักอย่าง แล้วใช้ 2 ประโยคที่เขาคิด กับเราคิดพูดให้เขาฟัง  ว่าแบบไหนรู้สึกดีกว่ากัน  เชื่อว่าเด็กเขาคงเลือกในสิ่งที่ถูกค่ะ ขนาดดีโด้มีความยึดมั่นถือมั่นกับความคิดตัวเอง พอใช้สถานการณ์แบบนี้เขายังเลือกในคำพูดที่ดีของความคิดแม่ดาวเลย

กรณีหากป๊าทำผิดกันเห็น ๆ  แต่ไม่ยอมรับผิด ตะแบงเถียงข้าง ๆ คู ๆ แถไปเรื่อย  พยายามโยนความผิดไปให้อย่างอื่นแทน  เวลาคุยจะไม่ได้คุยต่อหน้าป๊านะคะ จะเลือกคุยกันในจังหวะที่ใจสบาย ๆ ทั้งคู่ แต่จะคุยวันที่เกิดเหตุแหละ

ดีโด้          เป็นเพราะป๊าคนเดียวทำกุญแจรถหาย เราเลยกลับบ้านไม่ได้
แม่            ดีโด้ครับ  แม่ว่า ป๊าเขาก็รู้ตัวแหละว่าผิด  แค่นี้ป๊าเขาก็เครียดมากอยู่แล้วดีโด้เห็นไหม   เวลาดีโด้ทำผิดแล้วก็รู้ตัวแล้วว่าผิด  แต่ป๊ายังมาตำหนิดีโด้ต่อไม่จบ  พูดวน ๆ แบบนี้ดีโด้รู้สึกยังไง
ดีโด้          ไม่ชอบ ดีโด้จะเถียงป๊า ทำเสียงดัง ๆ ให้ป๊ากลัวเลย แบบนี้ ...........ทำเสียงให้ฟัง
แม่            อืม.....มันจะรู้สึกโกรธแทนที่จะรู้สึกผิดใช่ไหม (ขำๆ)  เมื่อก่อนแม่ก็เป็นแบบนี้บ่อย ๆ เลย  แต่พอแม่ฝึกการมีสติ จะรู้ทันว่าเราโกรธ พอเรารู้เจ้าความโกรธมันจะอายนะ ที่เรารู้ทัน มันก็จะหนีหายไป  แล้วก็จะไม่ค่อยจะโกรธเลย พอไม่โกรธก็ไม่ทุกข์  ใจสบาย ๆ  ไม่แก่เร็ว  ดีโด้อายุแค่นี้หากฝึกแต่เด็กจะได้ผลดีกว่าแม่เยอะเลย จะได้หน้าใส อ่อนวัยไปนาน ๆ ไง

ก็มีสอนเรื่อย ๆ ค่ะ ฝึกสติ แต่ไม่ได้ว่าจะต้องทำ บังคับทำ สอนเมื่อเขาดูจะฟังเรา พูดเมื่อเขาพร้อมจะฟัง ให้ลองทำถ้าเขาพร้อม เป็นแบบสนุก ๆ มากกว่า

มาต่อ  

แม่            เวลาที่ใครในครอบครัวทำผิด ดีที่สุดในความคิดแม่คือ ไม่ใช่เฝ้าตำหนิ แต่ให้ช่วยเหลือ คิดหาวิธีแก้ไขและให้กำลังใจ  ไม่มีใครอยากทำผิด แต่บางทีมันก็เผลอทำผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ใช่ผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ ไม่ปรับปรุงตัวเองเลย  ดีโด้คิดว่าไง

ดีโด้          ดีโด้ก็คิดเหมือนแม่เลย 

แล้วดีโด้ก็เล่าเรื่องตัวเองที่โรงเรียนให้ฟัง เรื่องที่เพื่อนเขาทำผิด แล้วเขาให้อภัย เขาพูดอะไรกับเพื่อนยังไง  

ที่สำคัญเวลาฟังเราต้องใส่ใจ ตั้งใจฟัง ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องที่เขาพูด นะคะ 

        เหตุการณ์พวกนี้สอนให้รู้ว่า  อย่าทำหนิกันและกันให้ลูกฟัง  แม้แต่เรื่องของชาวบ้านนั้นก็ไม่ควร  เพราะลูกจะจำเป็นเยื่องอย่างนะคะ ตัวเองก็หมั่นหุบปากให้ทันเมื่อรู้ทันความคิดไม่ดีจ้า


***อาจจะอ่านแล้วกระโดด ๆ แปลก ๆ รีบพิมพ์ ค่ะ  กำลังจะเก็บของไปต่างจังหวัด  แต่พอคิดได้ก็อยากแบ่งปันเรื่องราวก่อนเก็บกระเป๋าเดินทางยาวไป 3 วัน