วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เรามาทำประกันให้ลูกกันเถอะ


     หลาย ๆ คน พอขึ้นหัวข้อนี้อาจไม่กล้าเข้ามาอ่านเนอะ ฮ่าๆๆ คิดว่าแม่ดาวจะมาขายประกันหรือเปล่า ไม่ใช่นะคะ ก็บอกแล้วไงว่าที่นี้มีแต่ความคิดและความรู้ ดี ๆ แจกฟรี ไม่มีคิดเงิน

    แม่ดาวเป็นคนนึงที่เริ่มเลี้ยงลูกด้วยแนวคิดเชิงบวกตั้งแต่แรก แต่ไม่ค่อยจะประสบความเร็จเท่าไหร่ในช่วงนั้น ต่อมาที่ได้มารู้จักเคล็ดลับการสร้างวินัยเชิงบวกจากครูใหม่ครูหม่อม ก็ใช้ได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้าง เนื่องจากใจเรามันยังเป็นใจดวงเดิม ความคิดมันก็ยังเหมือน ๆ เดิม อาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่มากพอที่จะทำให้ใช้วิธีพวกนี้ได้ผลชัดเจน

    แม่ดาวเริ่มอ่านหนังสือพวกกฎแห่งกรรม ตอนม.2 มั้งถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะชื่อ หนังสือโลกทิพย์ ด้วยความบังเอิญ คือเพื่อนเข้าห้องสมุดกัน แต่แม่ดาวเนี้ยไม่ชอบเลยห้องสมุดเนี้ย ไม่รู้จะเข้ามาทำไม ฮ่าๆๆ ชอบเล่นมากกว่า แต่ดันคบเพื่อนชอบอ่านหนังสือ ก็ต้องตามเข้ามาด้วย นอนเล่นก็แล้ว อะไรก็แล้วเพื่อนก็ยังไม่ออก แม่ดาวเห็นกองหนังสือกองหนึ่งกองสูงอยู่เต็มหน้า ก็หยิบ ๆ มาอ่าน หน้าปกเป็นรูปพระ รู้ว่าเป็นหนังสือพวกธรรมะ แต่ก็เปิดอ่าน ๆ ไปงั้น ๆ มาเจอหัวข้อ กฎแห่งกรรม ก็เลยอ่าน ด้วยความเป็นคนชอบเรื่องผี ๆ สาง ๆ อยู่แล้ว รู้สึกมันสนุกดี แต่ตัวเองเนี้ยกลัวผีนะ อ่านไปเรื่อย ๆ เพื่อนก็เข้าห้องสมุดเรื่อย ๆ เราก็อ่านแต่โลกทิพย์นี่แหละ มันช่วยปลูกจิตสำนึกให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว แม่ดาวกลัวการทำความชั่วนะ อ่านแล้วก็กลัว ไม่ค่อยกล้าทำ เกรงกลัวนะ แต่ละอายต่อการทำบาปเปล่าไม่รู้ตอนนั้นไม่แน่ใจ

  สิ่งที่กระตุ้นให้แม่ดาวศึกษาธรรมะมากขึ้น ปฏิบัติมากขึ้น เกิดจากความเบื่อหน่ายในความทุกข์ ทุกข์เยอะ ลูกก็เป็นส่วนหนึ่งในความทุกข์ของแม่ดาวด้วย เห็นไหมความทุกข์ก็มีข้อดีนะ เป็นแรงกระตุ้นให้เราเปลี่ยนเส้นทางเดินของชีวิตใหม่ เปลี่ยนจุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตใหม่ ธรรมะ ดีนะ จริง ๆ
ที่ต้องเกริ่นกันยืดยาวเพราะอยากให้ทุก ๆ คน เข้าใจ ว่าทำไมเราต้องรีบปลูกฝังธรรมะให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพราะเราต้องรีบปลูกจิตสำนึกดี ๆ ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป หากเขามีธรรมะในใจ ก็จะเหมือนกับแม่ดาว ตอนแรกอาจจะไม่เข้าใจ แต่พอนาน ๆ ไปก็เริ่มเห็นประโยชน์ เห็นความสำคัญของการปฏิบัติธรรมะ และเข้าใจได้ด้วยตัวเขาเองในที่สุด

หากลูกเรามีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว เมื่อไม่มีเราเขาก็อยู่ได้อย่างมีความสุข อย่างน้อยที่สุดให้เขารู้จักการสวดมนต์ก่อนนอน รู้จักศีล 5 แม่ดาวสอนแผ่เมตตา และขออโหสิกรรมด้วย แม่ดาวก็ไม่ได้เคร่งครัดว่าจะต้องทำ บังคับให้ทำ หากวันไหนเขาไม่ทำเราก็ไม่ว่า ไม่อยากทำให้เขาเกลียดธรรมะ ให้เขาอยากทำด้วยใจ ด้วยตัวเขาเอง
แม่ดาวชอบเล่าเรื่องกฎแห่งกรรมให้เขาฟัง เกิดจากตัวเองนี่แหละเอาตัวเองมาเป็นตัวนำความคิด จริง ๆ แม่ดาวว่านะ ถึงไม่เชื่อ ก็กลัวนะ ตอนนั้นถามว่าแม่ดาวเชื่อเต็มร้อยไหม ก็ไม่นะ แต่กลัว แล้วก็ยกตัวอย่างคนใกล้ตัวที่เขาทำกรรมและได้รับวิบากกรรม เล่าเรื่องของตัวเราเองด้วย เขาชอบฟังเรื่องพวกนี้มากนะ ได้เชื้อแม่ ฮ่าๆๆ เคยดูละครศีล 5 ไหมค่ะ ออกอากาศทุกวันเสาร์ ช่อง 5 แม่ดาวให้ลูกดูนะ ดูไปกับเขาสอนเขาไปด้วย มีภาพ แสงสีเสียงชัดเจน ไม่ต้องจินตนาการตามว่าทำกรรมแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องดูมันทุกตอนดูจนติดนะ เพราะส่วนใหญ่ก็เล่นกันจนลืมดู นิทานเกี่ยวกับศีล 5 ก็มีมากมาย เป็นหนังสือการ์ตูนย์ก็มีนะ เรื่อง เณรแก้ว น้อยไชยา เขียนเรื่องโดยมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ตามร้านหนังสือทั่วไปน่าจะมีขายนะคะ แต่แม่ดาวซื้อที่หอจดหมายเหตุเลย ใกล้บ้าน น้องดีโด้ชอบมากนะคะ (5 ขวบ) อ่านเองไม่ออกหรอก แต่แม่อ่านให้ฟัง หากป๊าอ่านลูกจะไม่ชอบบอกว่าป๊าอ่านไม่สนุก เสียงแม่เพราะกว่าด้วย ฮ่าๆๆ น่ารักที่สุด

ที่สำคัญเราจะต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น แม่ดาวเลิกตบยุง ฆ่ามด ฯลฯ ได้ไม่นานมานี้เองค่ะ สักตอนน้อง เกือบ ๆ 4 ขวบ มั้งค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านั้น ปากก็บอกลูกให้รักษาศีล แต่พอยุงกัดลูกแม่ตบตายคามือ พอลูกบอกแม่ฆ่ายุงตาย เป็นบาป เท่านั้นแหละ เรียกสติ และตั้งสติ คิดใหม่ทำใหม่ ส่วนศีลที่ยากที่สุดสำหรับแม่ดาวคือ ข้อ 4 ไม่โกหกทำได้แน่ แต่ให้พูดน้อย พูดแต่เรื่องที่สมควรพูด พูดแต่เรื่องดี ๆ ไม่พูดส่อเสียด เพ้อเจ้อ ข้อเนี้ยยากสุด พยายาทำอยู่ ต้องนำลายบูดอยู่บ้านคนเดียวถึงพอจะทำได้บ้าง ฮ่าๆๆ

งั้นแม่ดาวขอแนะนำ ประกันของพระพุทธเจ้าเลยก็แล้วกัน
1. ทำประกันชีวิตให้ลูก ด้วยศีลข้อ 1 คือการละเว้นฆ่าสัตว์ สิทธิประโยชน์ที่ลูกจะได้รับคือ ลูกของท่านจะปลอดภัยจากการถูกทำร้าย หรือถูกฆ่า
2. ทำประกันทรัพย์สินให้ลูก ด้วยศีลข้อ 2 คือการไม่ลักทรัพย์ ไม่นำเอาของผู้อื่นที่เขาไม่อนุญาติมาเป็นของตน สิทธิประโยชน์ที่ลูกท่านจะได้รับคือย่อมทำให้ทรัพย์สินของทุกคนปลอดภัย ไม่สูญหายเนื่องจากโจรกรรม เห็นไหมครอบคลุมไปถึงครอบครัวด้วย คุ้มจริง ๆ
3. ทำประกันครอบครัวให้ลูก ด้วยศีลข้อ 3 คือการไม่ผิดลูกเมียผู้อื่น อันที่จริงจากที่แม่ดาวทราบมา ไม่ต้องถึงขนาดเป็นสามีภรรยา แต่มีพฤติกรรมที่ส่อเจตนาว่า เรารักกับคนนี้อยู่เป็นที่รู้ ๆ กันทั่วไป แล้วคิดนอกใจ นอกกาย แค่นี้ก็ศีลขาดแล้ว สิทธิประโยชน์ที่ลูกท่านจะได้รับคือ ย่อมทำให้ไม่มีปัญหาโรคหัวใจ (สุขภาพใจเกี่ยวกับความรักนะ) ครอบครัวอบอุ่น อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข
        4. ทำประกันสังคม ด้วยศีลข้อ 4 คือการไม่กล่าวเท็จ ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ ส่อเสียด นินทา พูดไร้สาระ สรุป พูดชอบ (พูดแต่สิ่งดี ๆ ) สิทธิ์ที่ลูกท่านจะได้รับคือ ลูกของท่านจะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข เป็นคนน่าเชื่อถือ มีคนเคารพยกย่อง หากในด้านการทำงาน ย่อมทำให้ไม่มีการผิดสัญญา หนังสือสัญญาต่างๆย่อมไม่มีปัญญา เช๊คไม่เด้ง ประมาณนั้น
5. ทำประกันสติปัญญา ด้วยศีลข้อ 5 คือ การไม่ดื่มสุรา ยาเสพติด เสพของมึนเมา สิทธิ์ประโยชน์ที่ลูกท่านจะได้รับคือ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรค ไม่เกิดอุบัติเหตุ เพราะลูกท่านก็จะมีสติ พอมีสติ ก็จะมีปัญญาตามมา แถมประกันชีวิตพ่วงท้ายด้วยนะข้อเนี้ย คุ้มสุดคุ้ม

***คำเตือน ประกันนี้ไม่ครอบคลุมถึงวิบากกรรมในชาติก่อน ๆ ของลูกท่านนะคะ

ลองดูนะคะ เผื่อจะอยากทำกันบ้าง แม่ดาวมีวิธีการสอนเรื่องบาปและบุญขำ ๆ มาให้ด้วยแหละ วันนี้คงต้องขอเวลาไปทำงานประจำต่อ งานบ้านอิอิ

การพูดสื่อสารกับลูกโดยใช้ I-message

เป็นอีก 1 เวทมนต์ที่แม่ดาวใช้ คือ การสื่อสารแบบ I – message เป็นการพูดเพื่อสื่อสารกับลูกแบบแนวคิดบวก โดยส่วนมากเวลาทีเราพูดกับลูก เรามักจะใช้การสื่อสารแบบ You-message ลองเปลี่ยนเป็นแบบ I-message ดูดีไหม เผื่ออะไรจะดีขึ้น เช่น


You – message (เกิดความรู้สึกเชิงลบ)

"ดีโด้ลูกยังดูการ์ตูนย์อีกเหรอเนี้ย นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วนะ ลูกนี่แย่จังไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเองเอาเสียเลย"
ลองเอาใจคุณไปสัมผัสกับคำพูดแบบนี้ซิ ว่าถ้าคุณเป็นลูกคุณจะรู้สึกอย่างไร และเข้าใจสารที่ส่งถึงว่ายังไง
ความคิดเห็นแม่ดาว หากแม่ดาวเป็นลูกนะ คือ

ด้านความรู้สึก คือ แม่ไม่พอใจ โกรธ ที่เราเป็นเด็กไม่ความรับผิดชอบ รู้สึกว่าความรักระหว่างเรากับแม่ถูกสั่นคลอน แม่คงจะรักเราน้อยลงและรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง

ด้านการรับสาร คือ แม่ต้องการให้ปิดทีวี ไม่งั้นอาจโดนดีแน่

ความคิดของเด็ก เขาก็จะตีความออกมาแค่ว่า

ด้านความรู้สึก เขาโกรธแม่ แม่ไม่รักเขา หรืออาจจะคิดแค่ “โกรธแม่” อย่างเดียวแค่นั่น

ด้านการรับสารก็คงเข้าใจแบบเดียวกันกับแม่ดาวนะ

แล้วก็จะหันมาแสดงพฤติกรรมตอบโต้เรากลับมา หากเป็นน้องดีโด้ แม่ดาวพูดแบบนี้ รับรอง จะต้องกระฟัดกระเฟียด โวยวาย น้ำตาแตกกันเลยทีเดียว

อันนี้จะฝังในจิตใต้สำนึกลูก แต่ถ้าเป็นเด็กเขาตีความออกมาขนาดนี้อาจไม่ได้ เพราะเขายังเด็กไม่ค่อยเข้าใจพวกคำศัพท์พวกนี้เท่าไหร่ แต่เขารู้สึกแหละแต่พูดไม่ออกถ้าให้เขาบอกก็บอกไม่ถูก เอ....น้องดีโด้อาจบอกถูกนะ ฮ่าๆๆ ชอบจำศัพท์ยาก ๆ เยอะ ๆ

ศัพท์เกี่ยวกับความรู้สึกแม่ดาวมักจะสอนเขาประจำ เช่น ที่ดีโด้เกิดความรู้สึกแบบนี้ เขาจะเรียกว่าอะไร เช่น โกรธ น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง อิจฉา ตัวแม่ดาวเองก็ไม่อาจหาญคิดว่าสิ่งที่เราตีความถูกต้องหรอกนะ วิเคราะห์ไว้คิดเองว่าน่าจะต้องเป็นอารมณ์ประมาณนี้ จากนั้นก็ต้องถามลูกอีกทีด้วยว่า รู้สึกแบบนี้ ยังงี้ ๆ ใช่ไหม ดีโด้เขาจะบอกเองว่าใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ดีโด้เขาจะบอกนะ ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า น่ากลัวนะ เก็บกด รับรู้อารมณ์พวกนี้ไปเรื่อย ๆ ส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมในปัจจุบันที่เห็น หรืออาจไปแสดงออกอีกทีตอนโต แล้วแต่ว่าเด็กคนนั้นมีอุปสัยหรือลักษณะเดิมอย่างไร

ตอนนี้คงยังไม่สายที่จะเริ่มต้นทำ หากเราจะทำไม่มีคำว่าสายเกินไป หากเด็กโตแล้วอาจจะยากกว่าเด็กเล็ก แต่เราต้องอดทน อย่าท้อถอยนะคะ รักลูก ก็ต้องอดทน ให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ หรือหากำลังจากคนรอบข้างด้วยก็ได้

ฝากทุก ๆ ท่าน ฝึกสอนเรื่องการบอกเกี่ยวกับคำศัพท์ทางอารมณ์ให้เขารับรู้ เขาจะได้ไม่อึดอัด คับค้องใจ ไม่เครียด เวลามีอะไรระบายออกมาได้ง่าย ทำให้เขาจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ง่ายขึ้น และเราก็เข้าใจ ช่วยเหลือเขาได้ง่ายขึ้นเช่นกัน


I - message (เกิดความรู้สึกเชิงบวก)

“แม่อยากให้ดีโด้ปิดทีวีแล้วรีบเข้านอน เพราะแม่ห่วงว่าพรุ่งนี้ลูกจะตื่นไปโรงเรียนไม่ไหวนะครับ"
กับประโยคคำพูดแบบนี้หล่ะ ถ้าแม่พูดกับเราแบบนี้ ตัวเราจะรู้สึกยังไง
แม่ดาว ตีความนะ ให้เราปิดทีวี เพราะแม่รักและเป็นห่วงเรากลัวเราจะเหนื่อยเพลียแล้วไปโรงเรียนไม่ไหว
เด็ก ตีความ แม่อยากให้เราปิดทีวี เพราะแม่รักเราไม่อยากให้เราไปโรงเรียนสาย
ตีความรวม ๆ กันเลยนะ อันนี้ไม่ยาก

*** หากเวลาที่เราพูดเราพูดโดยการใช้อารมณ์โกรธ ไม่พอใจ จะใช้วิธีไหนก็ไม่เกิดผล สิ่งสำคัญ คือเราต้องพูดด้วยอารมณ์แบบบวกๆ เข้าไว้ ทุกครั้งก่อนที่จะพูดกับลูก ถามตัวเองก่อนว่าอารมณ์เราพร้อมไหม ถ้ายัง...สู้ไม่พูดดีกว่าป่ะ

หากใครที่ยังไม่อ่านวิธีการใช้เวทมนต์ให้กลับไปอ่านก่อนนะคะที่หน้าแรก ช่องตรงตามชื่อเลยจ้า

ใครมีลูกเลี้ยงยาก ขอเสียงหน่อย

       ใครมีลูกเป็นเด็ก "เจ้าปัญหา" จัดในกลุ่มเด็ก "เลี้ยงยาก" ขอเสียงหน่อย

เย้........ 1 เสียงดัง ๆ จากแม่ดาว ที่ถามเนี้ย เพราะอยากจะบอกอะไรบางอย่างแหละ มีหลายครั้งที่ตัวเองก็เหมือนจะไม่ไหว ท้อแท้ มักจะมีประโยคนี้เกิดขึ้น

"ทำไมลูกเราถึงเป็นเด็กเลี้ยงยากแบบนี้"

"ทำไมเค้าเป็นเด็กแบบนี้"

"นี่เราเลี้ยงเค้าผิดวิธีหรือเปล่า"

       มันไม่ใช่ประโยคคำถามที่ถามตัวเองหรอก แต่มันเหมือนประโยคที่ ตำหนิตัวเอง ตำหนิลูก จุดดำในความคิดที่มักจะผุดให้เราเห็นบ่อย ๆ และอย่างที่ใคร ๆ มักบอก สีดำ กับสีขาว ส่วนใหญ่เราก็จะเห็นแต่สีดำ เพ่งแต่สีดำเห็นชัดเจน ยิ่งเพ่งคล้ายจุดดำนั้นจะใหญ่ขึ้น ๆ จนลืมบอกสีขาวที่เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ไป ยิ่งเพ่งก็ยิ่งชัด ยิ่งชัดก็ยิ่งจดจำ และลูกก็ยิ่งจะทำตามสีดำที่เรามองเห็น

       เริ่มต้นจากที่เราต้องยอมรับความเป็นตัวตนของลูกเราให้ได้ก่อน เคารพในตัวตนที่เขาเป็น แต่มองเห็นในมุมที่เปลี่ยนไป และพยายามชักจูงใจให้ลูกค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมเขาใหม่ตามที่ใจเราต้องการให้เขาอยากเป็นอย่างที่ไม่ทำร้ายหัวใจกัน เช่น

  • เด็กเจ้าอารมณ์ส่วนใหญ่ความจริงแล้วเขาเป็นเด็กที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่าปกติ
  • เด็กที่ไม่เชื่อฟังหรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า เด็กดื้อ ความจริงแล้วเขาเป็นเด็กที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
  • เด็กที่ซนและดื้อ ความจริงแล้วเขาเป็นเด็กที่มีความร่าเริง สดใสเป็นที่สุด
  • เด็กที่ทำอะไรเชื่องช้า ความจริงแล้วเขาเด็กที่จัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบ
  • เด็กเรียบร้อยว่าง่าย ความจริงแล้วเขาเป็นเด็กที่มีความละเอียดอ่อนและไวต่อความรู้สึกมาก ประมาณว่าเด็กคนอื่นเฉย ๆ แต่เด็กกลุ่มนี้จะรู้สึกได้ว่างั้น

(อ่านเจอมาจากหนังสือแนะนำวิธีเลี้ยงลูก แบบ Happy เล่มนี้ชอบมาก)

ให้เราเปลี่ยนมุมมองลูกเสียใหม่ จากเด็กที่เคยเป็นปัญหา ก็จะกลับกลายเป็นเด็กดีไม่มีปัญหาได้เช่นกัน อันนี้เจอกับตัวเองเต็ม ๆ

       มี ใครเคยตั้งฉายาให้ลูกบ้าง "เด็กดื้อ" "เด็กแสบ" "เด็กขี้เกียจ" "เด็กเอาแต่ใจตัวเอง" ฯลฯ คือไม่ว่าจะพูดบ่นกับลูกโดยตรง หรือนินทาระยะเผาขนให้บรรดาเพื่อนเราขาเม้าท์ทั้งหลายฟังแต่ลูกเราได้ยิน บางครั้งเขาทำเหมือนไม่ฟังเราพูดนะ แต่เชื่อไหมว่าเขาหูผึ่งเชียวแหละ "คำพูดพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์" เคยได้ยินไหมค่ะ ทั้ง ๆ ที่บางทีตัวเราเองก็เม้าท์สนุก ๆ แบบไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้มองเห็นว่าผลเสียคืออะไร หรือบางทีพูดไปก็เพราะมองเห็นว่าเด็กเป็นแบบนั้นจริง ๆ (พ่อแม่ตาถั่ว อิอิ)

       บางทีพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกไปอาจไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นจริง เพียงแต่เขาเชื่อว่าเขาเป็นแบบนั้น ตามที่เราฉายา หรือคำพูดของเราที่ไปบอกว่าเขาเป็น บอกพูดบ่อย ๆ เข้า เขาก็จะเป็นอย่างที่เราพูดจริง ๆ แม่ดาวย้อนกลับมาดูตัวเอง เออ.....จริง เราก็มี ชอบพูดกับเขาว่า "เด็กแสบ" คือพูดเล่น ๆ แต่ไม่ได้คิดมาก ช่วงนั้นที่พูดแขาแสบได้ถึงไส้ติ่งเลย แสบสุด ๆ เฮี้ยวสาระพัด พออ่านเจอจากหนังสือเล่มนี้ เลยลองทำดู บอกลูกว่า แม่ขอโทษนะ ที่ชอบแซวลูกว่าเด็กแสบ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ลูกของแม่เป็นเด็กดี และน่ารักมาก ไม่ได้แสบเหมือนที่แม่แซวสักนิด จากนั้นก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ชมเขาบ่อย ๆ ว่าเขาเป็นเด็กดียังไง (ชมออกมาจากใจและควรระวังคำชมของตัวเราด้วย) แล้วเขาก็จะยิ้มอย่างภูมิใจทุกครั้งที่เราชม และเขาก็จะพยายามทำดีเพื่อเป็นเด็กดีให้แม่ภูมิใจเช่นกัน

       ดังนั้นก่อนจะพูดอะไรออกมาคิดให้ดี ๆ ก่อน เพราะคำพูดของเรามันจะกลายเป็นพฤติกรรมของเขา ลูกของเราไงค่ะ

เรื่องเก่า...มาเล่าใหม่ สรุปความรู้จากการเข้าร่วมประชุมวิชาการ ปี 2554

ความรู้ และข้อคิด ได้เก็บเกี่ยวได้จากการประชุมวิชาการ

วันที่ 4 ต.ค. 54 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้เข้าร่วมฟังการประชุมวิชาการ "พลังบวกเพื่อเด็ก" โดยเลือกเข้าห้องประชุมย่อยเป็น ห้องที่ 2 เรื่องคิดสร้าง คิดสรรค์ ด้วยปัญญา ในห้องนี้ก็จะบรรยายเรื่องการสร้างวินัยเชิงบวก โดย ครูใหม่และครูหม่อม และก็จะมีพูดในเรื่องของการทำงานของระบบประสาท การทำงานของสมอง โดย ดร. 2 ท่าน จำชื่อไม่ได้อ่ะ ชือ อ.จ้อน กับอ.ก้อย เปล่าน้อ ในเรื่องนี้ถ้าพ่อแม่คนไหนที่เคยฟัง หรือเคยอ่านหนังสือของครูใหม่ครูหม่อมก็คงรู้กันดีแล้วเนอะ ฟังแล้วก็ยิ่งทำให้มั่นใจกับการใช้ 101 มากยิ่งขึ้น แต่ที่ประทับใจสุด ๆ คือความน่ารัก ความห่วงใย กำลังใจ แนวทางแก้ไข และพลังใจ ที่ครูทั้ง 2 ยังมีให้อย่างมากมายเสมอ

ช่วงบ่าย เลือกเข้าฟังในห้อง 6 คิดเป็น วิเคราห์ได้ ด้วยการศึกษาแนวประยุกต์ ตอนแรกไม่คาดหวังอะไรมากมายจริง ๆ คิดเองว่าคงน่าเบื่อแน่ ๆ แต่ก็ฟังนะ พอเข้าไปฟังจริง ๆ โอ้.....ดีนะไม่กลับบ้านไปก่อน ได้ความรู้ และความสนุกด้วยนะ ทำให้ได้รู้จัก กับ ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน ได้รู้จักกับคำว่า "จิตตปัญญา" ประทับใจและชอบเป็นการส่วนตัว ใครสนใจแนะนำให้หาอ่านได้จากใน jitwiwatbolg ตัวเองเข้าไปถามว่าสนใจเรียนรู้เรื่องนี้จะหาอ่านได้ยังไง ตอนนี้เจอข่าวน้ำท่วมเข้าไปยังไม่ได้เข้าไปอ่านเลยจริง ๆ แต่ดีมาก ๆ ที่ฟังมา มีหลาย ๆ ประโยคเด็ดที่ท่านพูดในเรื่องระบบการศึกษาไทย ฟังแล้วโดนใจและขำกระจายตามไปเหมือนกัน

เช่น ปัจจุบันยิ่งเรียนสูงมาก จะยิ่งรู้ลึก แต่โง่กว้าง , สถาบันการศึกษามีผู้สอน มีผู้ถูกสอน แต่มีผู้เรียนรู้อย่างแท้จริงไหม, เราต้องรู้จักให้รางวัลแก่ตัวเราเอง โดยไม่ต้องรอหรือคาดหวังรางวัลจากคนอื่น ฯลฯ

ขอสรุปเองประมวลผลรวม ๆ เองจากเช้าและบ่าย

การสร้างวินัยเชิงบวกให้กับเด็ก

1. เรา ต้องมีแนวคิดบวกเป็นอันดับแรก พูดง่าย แต่ทำยากเนอะ ทุกวันนี้ก็พยายามทำตลอด ๆ ตั้งแต่คิด พูด ทำ ทุกอย่างต้องบวก มีวิธีฝึกด้วยนะคะ เช่น เขียนไดอารี่ 3 สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และให้บอกด้วยว่าทำไมสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น สิ่งดี ๆ นั้นมีความหมายกับเราอย่างไร และ ทำอย่างไรสิ่งดี ๆ นั้นจะเกิดขึ้นกับเราอีกในอนาคต เอามาจากที่ไปประชุมนั่นแหละค่ะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็ช่วยได้ แต่ทำยากชิมิ ฯลฯ หากเราทำเพราะทำจากใจ ไม่ได้แค่ท่องจำมาทำ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเห็นชัดมากค่ะ คือท่อง ๆ มาทำ แต่ไม่ได้รู้สึกจริง ๆ มันก็เหมือนแบบเล่นละครไม่เก่ง เล่นแข็ง คนดูเห็นแล้วก็ไม่อินตามอ่ะค่ะ

2. เราต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูก ที่จริงเราก็ควรจะมีกับทุก ๆ คนนั่นแหละเนอะ ที่จริง หากทำข้อ 1 ได้ แล้ว ข้อ 2 เนี้ยก็น่าจะง่ายขึ้นนะคะ

3. เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังอย่างลึกซึ้ง อันนี้ถ้าไม่เข้าใจไปหาอ่านเพิ่มได้นะคะจากหนังสือ พูดกับลูกอย่างไร ฟังลูกพูดอย่างไร เค้าจะมีการอธิบายและยกตัวอย่างมากมาย ขออธิบายสั้น ๆ คือ เป็นการฟังอย่างมีสติ ฟังอย่างไม่ด่วนตัดสิน ไม่ด่วนพิพากษา ฟังแล้วรู้จักที่จะสะท้อนความรู้สึกของคนเล่า แล้วก็จะทำให้คนเล่าสบายใจ รู้สึกปลอดภัย ฟังแล้วอยากที่จะเล่าต่อโดยไม่ปิดบัง เรื่องนี้สำคัญจริง ๆ ข้อนี้ ทำยากมาก ๆ เลยสำหรับตัวเอง

4. เราต้องมีวิธีที่เหมาะสมด้วย ก็อย่างใช้ 101 ของครูใหม่ ครูหม่อมเนี่ยค่ะ เลิศมาก ใช้ดีจึงบอกต่อ

5. ความ ถี่ที่เราทำ ต้องทำซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ ขอย้ำทำบ่อย ๆ ไม่ใช่พูดบ่อย ๆ บ่นบ่อย ๆ เตือนบ่อย ๆ ไม่ช่วยค่ะ เคยทำแล้วไม่ดีเลย คำพูด สู้การกระทำไม่ได้จริง ๆ อยากให้เค้ารู้จักแบ่งปัน มีน้ำใจ เราก็ต้องทำให้เค้าดูบ่อย ๆ และสร้างสถานการณ์ให้เค้าทำด้วยบ่อย ๆ เราต้องเป็น ซุปเปอร์โมเดลให้เค้าดีที่สุด ข้อนี้ก็เป็น 1 กระบวนท่าใน 101 นะคะ


สิ่งที่ขอเน้น เพราะที่ไปฟังเค้าก็เน้นย้ำคือ จิตสำนึกที่ดี การสร้างวินัยที่ดี และความรู้ ไม่ได้เกิดจากการสั่งสอน การบังคับ การทำให้กลัว(การทำโทษ) แต่เกิดจากภายในตัวของผู้เรียนรู้เอง เราต้องเป็นคนช่วยกระตุ้นให้ลูกของเค้าเกิดการเรียนรู้และยอมรับด้วยความ รู้สึกที่แท้จริงด้วยตัวเค้าเอง

    จุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่วิธีการแตกต่างกัน

    แม่ดาวกับสามี มีจุดมุ่งหมาย เป้าหมายในการเลี้ยงลูกเหมือนกัน คือ ต้องการให้ลูกเป็นคนดีมีความสุข สุขด้วยกันทั้งครอบครัวเรา และสุขด้วยกันทั้งโลก (เป็นคนดีไม่ก่อมลพิษให้สังคม)

    สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างคือ เรามีความรัก ความห่วงใย และปรารถนาดีต่อลูก โดยเราจะใช้เหตุผลในการเลี้ยงลูก ไม่ใช้อารมณ์(ถ้าเอาอยู่นะ)

    แต่สิ่งที่ต่างกันมากๆ ราวสวรรค์กับนรก คือ หนทางที่จะเดินไป(วิธีการและแนวความคิด)

    แม่ดาว เลี้ยงลูกโดยใช้หลักแนวคิดบวกตั้งแต่แรกเริ่ม (อายุลูก 0-3 ปี)แต่วิธีการแรก ๆ เนี้ยคิดเองบ้าง อ่านเจอจากตำรามาบ้าง อ่านในเว็บบ้าง ฟังเขาเล่ามาบ้าง เอาทุกอย่างมายำรวมมิตรคิดสูตรออกมาเอง(เป็นวิธีปฏิบัติที่นำมาใช้ ณ ตอนนั้น ) ต่อมาตาเริ่มสว่างเห็นทางเพราะมีเข็มทิศที่เชื่อถือได้อย่างมากมาใช้ และมีครูดี 2 ท่านเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำ ปรึกษา ให้กำลังใจ ณ ช่วงที่กำลังจะหมดแรงก้าวเดิน บุคคลทั้ง 2 ท่านนั้นคือ ครูใหม่และครูหม่อม
    (ดร.ปิยวลี และอ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร) ซึ่งเป็นครูที่แม่ดาวศรัทธา รักและเคารพมากอย่างยิ่ง

    สามี เริ่มแรกอยากเลี้ยงลูกด้วยแนวคิดแบบที่คนส่วนใหญ่ใหญ่ในประเทศของเราใช้กัน คือ ออกจะเป็นแนวลบซะมาก คิดว่า เด็กดีได้ ต้องสั่งสอน ต้องดุ ต้องตี เพราะเด็กก็คือคนที่อ่อนต่อโลกเขายังไม่มีความคิดและประสบการณ์มากพอที่จะตัดสินใจอะไร ๆ ด้วยตัวเขาเองได้ ต้องได้รับการสั่งสอน อบรม บ่มนิสัย อย่างเข้มงวด จากเราผู้เป็นพ่อแม่ (แม่ดาวตีความเองตามความรู้สึกนะ) ต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนความคิดไปพอสมควรหลังจากที่ แม่ดาวชวนไปเข้าอบรม 101 สร้างวินัยเชิงบวก และเห็นผลลัพท์จากการเลี้ยงดูของแม่ดาว แต่ปัจจุบันก็ยังคาใจ สงสัยในหลักการเลี้ยงลูกแบบแม่ดาวอยู่ดี ว่ามันจะดีต่อลูกจริงไหม

    ล่าสุดก็ออกอาการนอยน้อยใจลูก เนื่องจากตัวเองไม่สามารถสื่อสารเพื่อเปลี่ยนอารมณ์หรือพฤติกรรมของลูกได้ จนพูดออกมาอีกครั้ง(เคยพูดมาแล้ว 2 ครั้งถ้าจำไม่ผิดนะ) ประมาณว่า ถ้าแม่ดาวตายไป ใครจะพูดกับลูกรู้เรื่อง เหอๆๆๆ แม่ดาวก็พูดภาษาคนนะ ภาษาไทยนี่แหละ ถ้าจะให้แม่ดาวพูดภาษาอังกฤษนี่ซิไม่รู้เรื่องแน่ ๆ เอิ้กๆๆ แต่แม่ดาวพูดด้วยภาษากายและภาษาใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักแบบไม่ทำร้ายหัวใจลูกก็แค่นั้น สามีทำไม่ได้ก็เลยอิจฉา(ความแม่ดาวคิดเองนะ) หงุดหงิด โมโหใส่แม่ดาวบ่อย ๆ ไม่ค่อยจะยอมรับความจริงด้วยนะ (นินทากันผ่านสื่อ)

    ที่เล่ามาทั้งหมดเนี้ยก็เพราะอยากให้เห็นภาพ และนึกถึงสภาพความรู้สึกของแม่ดาวออกว่ามันยากขนาดไหนที่จะต้องพยายามเลี้ยงลูกให้ดี อย่างที่มีมารมาอยู่ข้างกายแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ ยากนะ อึดอัก ทุกข์เยอะ แต่ต้องยอมรับและก้าวต่อไป อยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ต้องหาแรงขับเคลื่อนพลังชีวิตให้มีแรงก้าวเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย มองหาจากสิ่งใกล้ ๆ รอบ ๆ ตัวนี่แหละ มีอยู่มากมายเลย หลัก ๆ คือ ลูก สวดมนต์ นั่งสมาธิ ขอจากคนรอบ ๆ กายอันน้อยนิดที่เข้าใจเรา หนังสือ เว็บ แต่ละวันหากพลังในตัวใกล้หมด ก็จะต้องหลบพักชาร์ตพลังก่อน เช่น อ่านคำคมดี ๆ เด็ด ๆ โดน ๆ ในเว็บ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นพลังบวกสรรหามาสุมใส่ตัวเราให้หมด ข้อย้ำพลังบวกนะ อย่าผิดขั้ว หากซี่ซั้วเห็นผิดชีวิตจะบรรลัย อิอิ

    หากไม่รู้จักกันอ่านแล้วอาจนึกภาพแม่ดาวเป็นนางฟ้าแสนสวยผู้สุดแสนประเสริฐ ที่จริงแล้ว แม่ดาวก็คนธรรมดา ๆ ที่เห็นได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไปนี่แหละ (อันที่จริงชอบเดินตลาดนัดนะ) ที่มีอารมณ์ กิเลศ (สิ่งที่แฝงในใจทำให้ใจเราขุ่นมัว) ตัณหา(ความติดใจอยาก ความยินดี ยินร้ายต่อสิ่งยั่วย) แค่พยายามจะควบคุม ลด ละ และพยายามจะเลิกในสิ่งที่ไม่ดีให้ได้ก็แค่นั้น ส่วนสิ่งที่ดีก็ยังยึดติดอยู่นะ เลิกยากมาก