วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเจ้าลูกชาย...กลายเป็นยอดมนุษย์

        ใครมีลูกชายคงไม่วายต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เนอะ   การเล่นแปลงร่าง ต่อสู้แบบบู้กระจาย  ส่วนตัวแล้วแม่ดาวไม่สนับสนุนนะ ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว แต่เข้าใจและยอมรับได้  มองว่ามันเป็น ธรรมชาติ ของเพศชาย  ขนาดน้องดีโด้ในช่วง 0-2 ปีแรก แม่ดาวเลี้ยงแบบไม่ได้ให้เขาดูพวกการ์ตูนย์แนวนี้นะคะ  แต่เขาก็สามารถแปลงร่างได้ แต่อาจจะไม่ได้แปลงเป็นยอดมนุษย์พวกเรนเจอร์ต่าง ๆ  อุลตร้าแมน  

        แม่ดาวยังประหลาดใจที่เขาอยู่กับเราแทบตลอดในช่วงนั้น เขายังสามารถ “แปลงร่างเป็น ดีโด้เด็กไม่ดี ”  บางทีก็ แปลงร่างเป็น ดีโด้เด็กเกเร”  อันนี้คือการแปลงร่างที่เขาแปลงร่างที่เขาพูดออกมาด้วยตัวเอง เราได้ยินเราก็แอบขำ นี่มันอยู่ในสายเลือดเลยใช่ไหมเนี้ย งงเหมือนกันว่าเอามาจากไหน  ต่อมาสักประมาณน่าจะเกือบ 3 ขวบเริ่มมีเพื่อน 1 คนก่อนเข้าโรงเรียน เพื่อนคนนี้ก็จะดูการ์ตูนย์พวกนี้ตลอด ๆ  เขาก็มีเล่นด้วยกันแบบพวกแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์นั้น ยอดมนุษย์นี้ เวลาที่เล่นด้วยกันในตอนแรกที่ยังไม่เคยได้ดูการ์ตูนย์แนวนี้ ก็จะ “แปลงร่างเป็น ดีโด้ผู้พิทักษ์ความดี” อะไรประมาณนี้ 

        ดีโด้ เริ่มขอแม่ซื้อการ์ตูนย์แบบนี้ดูบ้าง  จำได้ว่าจนถึงทุกวันนี้ ที่แม่ดาวซื้อให้น่าจะ 3 แผ่นแค่นั้น  โดยที่เขาเป็นคนร้องขอ และในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มดูแม่ดาวก็นั่งดูด้วยตลอด และภาคเสียงภาษาธรรมตลอด ๆ การดำเนินเรื่อง หลัง ๆ ก็มีให้เขาดูเองบ้าง แต่ก็จะมีการกำหนดเวลาด้วยว่าดูสัก 10 หรือ 15 นาที หากแม่ดาวไม่ได้ดูด้วยนะคะ   หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ...ทำไมถึงยอมให้ดู  แนวคิดของแม่ดาวคือ โลกมันเปลี่ยนไปทุกวัน เรายอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบันให้ได้  ใช้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิต  หากเรายิ่งห้าม ไม่ให้ดูเลย เขายิ่งอยากดู  เราให้เขาดูกับเราดีที่สุด ยังไงซะอนาคตเขาไปเจอเพื่อน ๆ อยู่ในสังคมจริงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี  แล้วเขาก็ไม่เรียกร้องที่จะต้องดูตลอดเวลา  ติดดูการ์ตูนย์อะไรเลย  แค่กิเลศพื้นฐานของเด็ก ๆ รับได้ค่ะ หากไม่เจอเลยเขาก็ไม่ได้เรียนรู้นะ ยิ่งไปเจอกับตัวเองโดยไม่มีเราคอยแนะนำน่ากลัวกว่าอีก  สำหรับแม่ดาวนะคิดว่าแบบนี้ดีกว่า  
     
        แม่ดาวสอนลูกเรื่องการเล่นต่อสู้พวกนี้ว่า เล่นได้ แต่ให้เล่นแบบแกล้ง ๆ ไม่ต้องโดนตัวจริง ๆ เวลาแม่ดาวเองเล่นกับลูกก็จะเล่นแบบนี้ เช่น ยิงลำแสงใส่  ชกลม แล้วลูกล้ม  ลูกเตะลม แล้วแม่ล้ม ประมาณนี้ ไม่โดนตัวกัน เล่นด้วยกันแบบนี้ตลอด ๆ ก็เข้านะคะ ว่าเขาคือเด็กผู้ชาย เราก็ต้องเป็นเพื่อนให้เขาได้ด้วย  เล่นด้วยกัน 2 คน ไม่เคยเกิดปัญหา อย่างที่บอกพอเริ่มมีเพื่อนคนแรก  เรียกว่าเพื่อนคนแรกในชีวิตก็ว่าได้  เพื่อนก็เล่นต่อสู้รุนแรง เตะจริง ผลักจริง แต่อาจจะเบามือในช่วงแรก ๆ เล่นไปเล่นมาเริ่มเจ็บ ก็ทะเลาะกันตามประสา จากเล่นยอดมนุษย์ปราบปีศาจ ก็กลายเป็นการเล่นชกมวยไทยกันไป   แม่ดาวจากเป็นแค่คนดู ก็ต้องกลายเป็นกรรมการ  พูดสั้น ๆ ค่ะว่า เล่นแบบนี้ แล้วเจ็บ ทะเลาะกัน ไม่สนุก กลับบ้านครับ  พากลับเลย  ก็ร้องไห้กันทั้งคู่ ไม่ได้ร้องเพราะเจ็บตัวนะ แต่เจ็บใจแม่ที่ไม่ให้เล่นต่อ ฮ่าๆๆๆ   เพราะคุยตั้งแต่แรกแล้วว่า การเล่นด้วยกัน คือเล่นกันอย่างสนุก หากไม่สนุกก็กลับบ้าน และอธิบายทั้งคู่แล้วว่า การเล่นกันแบบสนุกคือเล่นกันยังไง เล่นกันแบบมีรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา ไม่ทะเลาะกัน พูดจากันดี ๆ  หากผิดข้อตกลงกลับบ้าน แยกย้ายสลายตัวทันที ไม่มีเปลี่ยนใจ

        หากถามว่าทำไมไม่ตกลงกันตั้งแต่เริ่มว่าเล่นกันแบบไม่โดนตัว  เคยตกลงกันบ่อย ๆ แล้วพอเอาเข้าจริง ลูกเราเนี้ยเขาเข้าใจข้อตกลง แต่เพื่อนเขาเนี้ยเข้าใจแหละ แต่มันติดแล้วว่าเล่น ๆ  ไป ก็กลายมาเป็นแบบที่ต้องสมจริง ไม่งั้นมันไม่เข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริงของการเป็นยอดมนุษย์ หรือปีศาจ  พอลูกเราโดนกระทำบ่อย ๆ เจ็บ ก็เอาคืนบ้าง เนื่องจากมาฟ้องแม่แล้วแม่ก็บอกว่า อ้าว...ก็เล่นกันนี่ครับ ไม่สนุกเหรอ ถามแบบนี้แค่นั้น ก็วิ่งกลับไปเล่นต่อ กลัวพากลับบ้าน ยิ่งไม่มีเพื่อนเล่นอยู่ด้วย   นี่แหละรสชาติของชีวิต แม่ดาวไม่ห้ามด้วยนะปล่อยให้เล่น แต่ดูตลอด หากเห็นว่าจะถึงเลือดตกยางออกจะวิ่งเข้าไปห้ามทัพ ทันนะ  ก็ดูแบบใกล้ชิดแหละ แต่จะแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือบ้าง ทำเป็นไม่สนใจ แต่ใจเนี้ยจดจ่อเชียวแหละ   

        หากถามว่ามีเจ็บตัวหนัก ๆ ไหม ไม่มีค่ะ แต่มีเลือดออกบ้าง ถลอกบ้าง นิดหน่อย เสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต  น้องดีโด้เนี้ยจะติดนิสัยขี้ฟ้องนะ แต่หากมาฟ้องแม่ดาวก็จะถามเขากลับ โยนคำถาม เพื่อสร้างสติ ให้เขาคิดด้วยตัวเอง ว่าจะเอายังไง เล่นต่อ หรือกลับบ้าน เขาเลือกได้อยู่แล้ว และส่วนมากก็จะเลือกเล่นต่อทุกครั้ง นอกจากมีบ้างบางวันที่เขารู้สึกว่าวันนี้เพื่อนเล่นเจ็บมาก ก็จะขอกลับบ้านเอง เขาก็จะบอกเพื่อนว่า ไม่เล่นกับวี(นามสมมุติ) แล้ว วีเล่นรุนแรง ดีโด้เจ็บมากนะ ไม่เล่นด้วยแล้ว กลับบ้านดีกว่า   และหันมาบอกแม่ดาวว่า แม่ครับกลับบ้านกันเถอะ เห็นไหมค่ะ ไม่จำเป็นที่เราต้องตะโกนบอกลูกเรื่อย ๆว่า เล่นดี ๆ นะครับ ระวังนะลูก อย่าชกจริงแบบนั้น อันตรายนะครับ  ไม่ต้องเหนื่อยพูดแบบนี้  แค่นั่งดูอย่างมีสติและรอติดตามผลแค่นั้น  

        ส่วนแม่ของน้องวีก็ตะโกนแบบนี้ตลอด ๆ บอกลูกเขาตลอด ๆ และต่อว่าลูกตลอด ๆ อย่าเล่นแรง ๆ แบบนั้นเดี๋ยวดีโด้เจ็บ พอดีโด้เจ็บ ก็จะดุลูกทันทีเข้าข้างดีโด้ตลอด ๆ คือหากน้องวีฟังแล้วจะตีความว่า แม่ห่วงลูกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง  เด็กยิ่งมีอาการต่อต้าน และจะยิ่งไปสร้างความเกลียดชังที่เด็กมีต่อเพื่อนด้วย เคยบอกเขาแล้วว่า ไม่เป็นไรเราอาสาดูแลเด็กให้ เขาก็ไม่วางใจอยู่ดี ก็อย่างว่าลูกใคร ๆ ก็ห่วง มีวิธีการเลี้ยงที่ต่างกัน เราก็เข้าใจและยอมรับ  

        แต่ขอบอกนะคะว่าปัจจุบันคุณแม่ท่านนี้ เขาเห็นผลลัพท์จากการเลี้ยงลูกแบบแม่ดาวแล้ว เขาสนใจมาก และพยายามใช้ตาม โดยขอให้แม่ดาวแนะนำ ฝากซื้อหนังสือ แต่สุดท้ายก็ทำได้บ้างแต่ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด หนังสือก็ซื้อมาตั้งนานยังอ่านไม่จบเล่มสักที เล่มเดียวด้วยนะ  เขาบอกว่าไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ เขายอมรับและรู้สึกผิดนะ  อยากให้ลูกดี แต่แม่เนี้ยอดไม่ได้ที่จะเหวี่ยงใส่ลูก เลิกไม่ได้กับนิสัยหลาย ๆ อย่างที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี แต่เขาก็บอกว่า มันอดไม่ได้  ก็คงต้องรับวิบากกรรมกันแหละค่ะ  

        นั่นคือก่อนเข้าโรงเรียน เราสามารถติดตามดูแลเขาได้อย่างใกล้ชิด พอเข้าโรงเรียน ตอน 3 ขวบ แม่ดาวก็คิดไว้แล้วว่า เรื่องพวกนี้มันต้องเกิดขึ้น  ถึงจะกำชับกับลูกเราไว้ดีแค่ไหน ก็ควบคุมตัวแปรภายนอกไม่ได้ เราควบคุมลูกคนอื่นไม่ได้  มาดูตัวอย่างบทสนทนาเมื่อเกิดเหตุการณ์ ยอดมนุษย์ก็เจ็บเป็นนะ

        ดีโด้กลับมาพร้อมบาดแผลทางร่างกาย ปากแตก  โหนกแก้มก็มีรอยช้ำบวม ๆ ให้เห็น

แม่           อ้าว....ดีโด้ครับโดนผึ้งต่อยมาเหรอลูก หน้าบวมเชียว  นี่คงวิ่งหนีผึ้งจนล้มปากแตกใช่ไหมครับ (แซวไปงั้น)

ดีโด้         (ขำ ๆ แม่)  ไม่ใช่แม่  ดีโด้โดน เอฟ(นามสมมุติ) ต่อยมา เจ็บมากเลยเนี้ย แต่มันเป็นอุบัติเหตุนะ (ปกป้องเพื่อน รักเพื่อนคนนี้มาก)

แม่           อืม....แม่เห็นแล้วก็คิดว่านะจะเจ็บแหละเนอะ แล้วอุบัติเหตุที่ว่าเกิดจากอะไรล่ะครับ (ทำท่าสนใจใคร่รู้ แบบไม่ได้อยากจะตำหนิ ซ้ำเติม เหมือนเรื่องเล่าที่เราอยากฟังเฉยๆ )

ดีโด้         ก็เล่นต่อสู้กันแหละ แต่เล่นแบบต่อสู้จริง ๆ นะ  แบบที่แม่สอนมันไม่มันส์ ไม่สนุกเท่าแบบนี้  แต่เผลอเล่นแรงกันไปหน่อย

แม่           เหรอครับ...ไหน ๆ ขอแม่ดูฟันหน่อยอยู่ครบหรือเปล่าครับ (ดูที่แผลตรงปากที่แตก แล้วให้เขายิงฟันหน้าให้เราดู)   โอ้...โชคดีนะเนี้ยที่ฟันไม่หัก แค่ปากแตกนิดหน่อยเนอะ  ดีแล้วแม่เป็นห่วงกลัวฟันจะหัก พูดก็จะไม่ชัด หมดหล่ออีกต่างหาก  โชคดี ๆ (ดีโด้ยิ้มปากกว้าง ออกจะขำ ๆ แม่มั้ง)

แม่           แล้วนี่เอฟเขาเจ็บแบบนี้หรือเปล่าครับ

ดีโด้        ไม่หรอกแม่ ดีโด้ยั้ง ๆ มือ แต่ก็มีพลาดนะ เตะไปโดน เอฟเซล้มนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรมาก (เขาฝึกวิทยายุทธในการเล่นแบบนี้มานานกับแม่ เขาจะมีสติพอที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้างหากไม่เจ็บตัวมากนะคะ อิอิ)

ม่           โอ้...โชคดีทั้งคู่เนอะ  ดีแล้ว...แม่เป็นห่วงมากเลยครับ ดีโด้จำที่วีเล่นกับพี่พีได้ไหม ตอนแรก ๆ ก็เล่นต่อสู้ กันดี ๆ สนุก ๆ กันอยู่เล่นไปเล่นมามันส์จัด เล่นแรงขึ้น ๆ  จนสุดท้ายความสนุกหายไปหมด มีแต่ความทุกข์ ความโกรธ บาดแผล เจ็บตัวหนักทั้งคู่ ต่างคนต่างร้องไห้  ไหนจะโดนแม่ดุซ้ำอีก น่าสงสารมากเลย นะ จำได้ไหม

ดีโด้         จำได้  ดีโด้รู้แม่ ดีโด้ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ดีโด้เล่นอย่างระมัดระวัง

แม่           ดีแล้วครับลูก ดีโด้เล่นระวังดีแล้ว   แล้วถ้าเพื่อนเขาเล่นแรง ๆ จนดีโด้เจ็บมากดีโด้จะทำไงล่ะ  

ดีโด้         ดีโด้ก็จะฟ้องครูไง 

แม่           อ้าว....ก็ตอนเล่นก็เล่นกันเอง ครูเขาก็ไม่ได้ให้เล่นแบบนี้อยุ่แล้ว ฟ้องครูสงสัยจะโดนทั้งคู่แหละแม่ว่า (อารมณ์พูดแบบฮาๆ นะคะ ไม่ได้จริงจัง ออกแนวแซวๆ อันที่จริงทางโรงเรียนเขามีกฎว่าห้ามเล่นแบบนี้เลย)

ดีโด้         จริงด้วย....งั้นดีโด้จะบอกเพื่อนว่า ถ้าเล่นแรง ๆ แบบนี้ดีโด้ก็จะไม่เล่นด้วย 

แม่           แล้วถ้าเพื่อนไม่ฟังล่ะลูก ก็มันสนุกสะใจนี่นา จะเล่นแรง ๆ เจ็บ ๆ แบบนี้ต่อ

ดีโด้        ถ้างั้นดีโด้ก็จะเลิกเล่น ไม่เล่นด้วย เดินหนี งอนเพื่อนไปเลย

แม่           อืม....เป็นความคิดที่ดีเนอะ  แม่เห็นด้วย กับการเลิกเล่น แล้วเดินหนี หากเตือนแล้วเพื่อนยังทำ  แต่ไอ้ตรงงอนเพื่อนเนี้ย ไม่เห็นด้วยนะครับ  งอน ๆ เนี้ยแม่เห็นส่วนมากผู้หญิงเขาชอบทำกัน ดีโด้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะ (เราต้องทวนให้เขาฟังอีกครั้งเพื่อให้เขารู้ว่าเราฟังเขาทุกคำ และพูดเตือนให้คิด)

ดีโด้         ดีโด้เป็นผู้ชาย(เสียงสูง) 

แม่           อ้าว....จริงด้วยเนอะ  แล้วผู้ชายเนี้ยเขาต้องทำไง

ดีโด้         ไม่รู้ แม่บอกหน่อย

แม่           คิดไม่ออกหรอ  ลองคิดดูก่อนไหม (ให้เวลาอีกนิดให้เขาลองคิดด้วยตัวเอง)

ดีโด้         ไม่รู้ คิดไม่ออก

แม่           อืม......ถ้าเป็นแม่นะ ถ้าแม่ แม่จะไม่โกรธเพื่อนหรอก ก็เราเล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน แม่ให้อภัยเพื่อนได้ เรื่องเล็กน้อยมาก ก็แค่เดินหนีไป แต่ไม่โกรธ  แล้วดีโด้ล่ะคิดว่าไง

ดีโด้         ไม่รู้  ดีโด้ว่าดีโด้โกรธอยู่แล้วก็มันเจ็บ ก็ต้องโกรธ (ไม่รู้เนี้ย คือไม่ยอมรับ ไม่ใช่ไม่รู้)

แม่           อืม......ครับ ๆ เข้าใจ ก็แล้วแต่เนอะ เพราะมันเป็นชีวิตของลูก แต่ลูกก็ต้องยอมรับผลของการกระทำนั่นนะ เข้าใจนะครับ

ดีโด้        เข้าใจครับ (แบบงอน ๆ เล็ก ๆ )

        จบค่ะ แค่นี้ ฝากไว้ให้เขาคิด เขาจะทำหรือไม่ทำ เขาต้องเลือกเอง เขารู้แล้วว่าเขามีทางเลือกแบบไหน อะไรดี ไม่ดี แล้วก็ชี้ให้เขาเห็นแล้ว  ส่วนเขาจะเลือกทำแบบไหน เขาก็จะได้รับผลลัพท์ของการกระทำนั่นเอง  สังคมจะเป็นสิ่งที่คอยสอนเขาเองอยู่แล้ว หากเขาเลือกที่จะโกรธเพื่อน เพื่อนก็จะไม่อยากจะเล่นด้วย เขาก็ต้องปรับตัวเข้าหาสังคมเอง เขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวของเขาเอง  เพราะเราไม่ได้อยู่กับเขาได้ตลอดเวลานี่นาจริงไหม

        นานาจิตตังนะคะ  อันนี้เป็นมุมมอง ความคิดเห็นของแม่ดาว ใครอยากลองนำไปใช้บ้างยินดีค่ะ  หากใครคิดว่าไม่เหมาะกับครอบครัวคุณก็สุดแล้วแต่  แค่เสนอพอให้เห็นเป็นแนวทางเนอะ