วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุณแม่งานเข้า เมื่อลูกบอกว่า “หนูไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง”


        เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานเท่าไหร่  คือแม่ดาวหากวันไหนอารมณ์พระธรรมกำเริบ ก็จะพูดคุยประเด็นหัวข้อเกี่ยวกับธรรมะกับลูกชายตัวน้อยวัย 5 ขวบ คุยกันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้น่าเบื่อนะคะ สอนแบบสนุก ๆ เล่าเรื่องเป็นนิทานจากที่เราเองได้ฟังมาอีกต่อจากคลิปต่าง ๆ หรืออ่านหนังสือเจอ  ก็จะจำนำมาเล่าต่อ ดีโด้เขาจะเรียก “นิทานเสริม” ก่อนนอน  คือจะมีนิทานหลักเป็นนิทานจากสมุดภาพ นิทานจากหนังสือ ส่วนพวกเรื่องเล่าเร้าสติต่าง ๆ จะเป็นนิทานเสริม หรืออีกชื่อที่ลูกเรียกคือ “นิทานจากปาก”  เขาก็ฟังมาเรื่อย ๆแหละ

        วันนึงไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรดลใจ อยู่ ๆ เขาก็พูดว่า
ดีโด้          แม่....ดีโด้ไม่เชื่อหรอกว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง 

ประมาณว่า อย่ามาหลอกสอน ให้เชื่อ ให้ทำตามเสียให้ยากเลย ไม่มีตัวตนให้เห็นจริง ๆ “ฉันไม่เชื่อ” แม่ดาวฟังแล้วยิ้ม ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า

แม่            ถูกต้องครับลูก เนี้ยถูกต้องเลยนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนอย่าเชื่อ หากเพียงแค่ฟังคนอื่นพูดมา อย่าเชื่อเพราะคน ๆ นั้นเป็นคนที่เรารักหรือเคารพ  แต่ให้เชื่อจากการพิสูจน์ด้วยตัวเราเอง  เชื่อความจริง ดีโด้คิดแบบนี้ก็ถูกต้องแล้วครับ

ดีโด้จากฝ่ายค้านแม่  อยู่ ๆ ก็มีทีท่าไม่ต่อต้าน กลายมาเป็นพวกเดียวกันเหมือนเดิม


ดีโด้          แล้วแม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือยัง 

แม่            ก็เหมือนจะเห็นนะ มันลางๆๆ  ยังไม่เห็นพระพุทธองค์ชัด  ภาพยังไม่ชัดลูก แม่ก็แค่รู้สึกคล้าย ๆ ว่าจะเห็น แต่ก็ยังแค่คล้าย ๆ ไม่แน่ใจชัดเจนเหมือนกัน ว่าเห็นหรือยัง 

ดีโด้          พระพุทธเจ้าบอกว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” จริงไหมแม่

แม่            ถามว่า  แม่ก็ว่าจริง นะ  แม่เชื่อว่าอย่างนั้นครับ  ลูกล่ะ

ดีโด้          (เหมือนจะนิ่งคิด)  ดีโด้ก็เชื่อเหมือนแม่นะ 

แม่            แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม่พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วเห็นว่าจริง  เห็นชัดด้วย คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า หลักธรรมะ ต่าง ๆ ที่แม่ได้ลองทำ  พิสูจน์ด้วยตัวแม่เองแล้วเห็นชัดว่า มันจริง ที่สุด  เป็นความจริงที่ไม่มีใครเถียงได้เลย

ดีโด้          อะไรล่ะแม่

แม่            ก็เหมือนที่แม่สอนบ่อย ๆ ไง ค นเรามีเกิด ก็ต้องมีแก่ ต้องมีเจ็บป่วย แล้วสุดท้ายที่เหมือนกันคือ ความตาย  ไม่ว่าใครก็ต้องเจอเหมือนกัน  แต่บางคนอาจไม่แก่นะ เกิดมาเป็นเด็กแล้วตายก็มี  ไม่มีใครบอกได้ว่าจะตายตอนไหน เมื่อไหร่   แล้วเจ็บป่วยเนี้ย แม่คิดว่าต้องเป็นกันทุกคนนะ  ดีโด้ล่ะเคยเจ็บป่วยไหม

ดีโด้          เคย 

แม่            นั่นซิ แม่ก็เคยเหมือนกัน ป๊าก็เคย ยายก็ด้วย ใคร ๆ ก็เคยเนอะ มันเป็นสัจจธรรม คือความจริง   

แม่            แล้วดีโด้จะเชื่อไหม หากใครมาบอกดีโด้ว่า เขาเป็นมนุษย์อมตะ ไม่มีวันตาย

ดีโด้          ไม่เชื่อ....นั่นมันต้องหุ่นยนต์แล้ว (เสียงสูง ขำๆ) ไม่มีวันตาย

แม่            แม้แต่หุ่นยนต์ก็ยังพัง เสีย ได้ จริงไหมลูก

ดีโด้          จริง  หุ่นยนต์ดีโด้นะ พังขาหลุด แขนหลุด เรื่อยเลย

แม่            นั่นซิ  เล่นไปนาน ๆ เสีย แล้วซ่อม ๆ ไปบ่อย ๆ สุดท้ายเป็นไงลูก

ดีโด้          พัง (ขำๆด้วย) ซื้อใหม่

แม่            เห็นไหม มันเป็นสัจจธรรม

           ฮ่าๆ   อ้าว......สุดท้ายจบงงนะนี่  ตกลงน้องดีโด้เขาเชื่อ หรือ ไม่เชื่อเนี้ย ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง   แม่ดาวไม่คาดคั้นคำตอบหรอก ความเชื่อมันเชื่อกันที่ใจ ไม่ใช่ที่ปาก (คำพูด)  แม่ดาวเชื่อนะคะว่า น้องดีโด้เขาค่อนข้างจะเชื่อแหละ แต่ติดกับความคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง เกิดอาการต่อต้านกับบางสิ่ง เลยพูดออกมาแบบนี้ อย่างนี้ต้องเรียกว่ามาถูกทางแล้ว เพราะแม่ดาวคิดว่าเขาเริ่มมี “หิริโอตัปปะ” คือคิดว่าเขาคงอยากจะทำอะไรไม่ดีสักอย่าง คงคิด ๆ ไว้ในใจ ประมาณนึงแล้วก็กลัวจะบาป จะตกนรก กลัวผลของการกระทำนั้น  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เลยพูดออกมาว่า ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง  
         คำศัพท์ยาก ๆ พวกสัจธรรม นิพพาน วัฎจักร ฯลฯ พวกเนี้ย แม่ดาวสอนไปอย่างนั้น ไม่ได้หวังว่า ณ ตอนนี้เขาจะจำได้  เข้าใจได้เลย  แต่ค่อย ๆ ปูพื้นไปเรื่อยๆ  วันนี้อาจจำไม่ได้เลย หรือก็ยังคำศัพท์ได้ แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก  หรืออาจจะพอเข้าใจนิดหน่อย อะไรก็แล้วแต่  สอนไปเถอะค่ะ  ไม่ยากเกินสมองเด็กที่จะรับรู้หรอก  อย่าคิดว่าคำศัพท์มันยาก ยังไม่เหมาะกับวัย แม่ดาวเคยโดนดุจากผู้ใหญ่บางท่านในเรื่องนี้ แต่แม่ดาวมองต่างนี่ค่ะ ไม่เถียงท่าน แต่ไม่ทำตาม อิอิ ดื้อเงียบเนอะ  คิดว่าดีก็ทำ และเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครนี่นาจริงไหมค่ะ 

         ใครอ่านแล้วไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนแม่ดาว ส่งความคิดเห็นมาเลยนะคะ  แม่ดาวจะน้อมรับและนำมาพิจารณาเพื่อพัฒนาการสอนลูกต่อไปค่ะ
 

จุ๊ๆๆ ....แม่ครับ อย่าบอกใครนะ


            หลาย ๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของลูก ก็จะมีทั้งเรื่องราวที่น่ารัก น่าปวดหัว น่า.......  พวกเราคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ก็มักจะนำเอาเรื่องราวพฤติกรรมของลูก ๆ เหล่านี้มาถ่ายทอด มาเม้ากระจายต่อ ๆ กับบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ป้า น้า อา ฯลฯ ต่อหน้าลูก    อาจจะด้วยความสนุก ความรู้สึกประทับใจในความน่ารัก  อยากระบายความเครียด ต้องการคำแนะนำ ฯลฯ

            ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด  คุณเคยตระหนักถึงความรู้สึกของลูกบ้างไหมค่ะ  แม่ดาวเองเนี้ยสมัยก่อนเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแม่ขาเม้าท์เลยทีเดียว  เม้าท์เรื่องลูกสารพัดเรื่องราว ไม่ว่าจะแง่ดี แง่ไม่ดี  มองข้ามความคิด ความรู้สึก หัวใจดวงน้อย ๆ ของลูก  บางเรื่องเราก็มองว่าน่ารักดี ขำ ๆ  แต่ลูกไม่ขำด้วย กลับมองว่ามันน่าอาย ไม่อยากให้แม่พูด  เขาอาจไม่ได้พูดออกมา แต่หากคุณหันไปมองจริง ๆ คุณจะมองเห็น ว่าหลาย  ๆ ครั้งลูกเราเขาก็ไม่พอใจ รู้สึกโกรธ ที่เอาเรื่องของเขามาเล่าต่อ 

            ประเด็นคือ การเคารพสิทธิของลูก  เราควรให้ความเคารพกับสิทธิส่วนบุคคลของเขา  เขาเป็นลูกของเราก็จริง แต่เขาก็มีสิทธิส่วนบุคคลของเขา ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กก็ตาม แต่เขาก็มีสิทธิเท่าเทียมกับเรา  ลองย้อนถามตัวเองนะคะ  นึกย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก คุณรู้สึกยังไง ตอนที่พ่อแม่นำเรื่องราวของเราที่เราคิดว่ามันไม่ดี น่าอาย ไปเล่าต่อให้เพื่อนบ้าน พี่ ป้า น้าอาฟัง คุณรู้สึกยังไง จำได้ไหมเอ่ย  แม่ดาวเนี้ยจำได้แม่นเลย  ไม่ชอบเลย ไม่อยากให้พูด แต่ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่  อันที่จริงต้องแม่นะ พ่อเนี้ยไม่ค่อยเม้าท์  เขาก็เลยไม่เคยรู้ว่า “เราไม่ชอบ ไม่พอใจ” และคิดเองว่า บอกไปท่านก็ไม่หยุดพูดอยู่ดีก็เลยแค่เก็บความรู้สึกแบบนั้นไว้ในใจ  หากใครที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยทำแบบนี้เลย คุณก็โชคดีมาก ๆ นะคะเนี้ย  ไม่มีประสบการณ์ตรงไม่เป็นไรค่ะ  แต่แม่ดาวอยากให้ตระหนักถึงความสำคัญกับเรื่องนี้ ให้มาก ๆ

            แม่ดาวจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ ที่แม่ดาวเคยเม้าท์จนลูกโกรธให้อ่านกัน

          ตอนลูกชายแม่ดาวยังพูดไม่ได้  แม่ดาวก็จะเป็นประเภทชอบโทรศัพท์เม้าท์เล่าเรื่องของลูกให้คุณยายฟังบ้าง เพื่อนๆ บ้าง เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของลูกที่แม่ดาวคิดเองว่าน่ารัก หรือบางทีก็เป็นพฤติกรรมที่ป่วนจนปวดหัว  หลาย ๆ ครั้งเวลาที่เล่าอยู่  ลูกก็จะคลานมาปีนขึ้นตัวมานั่งตัก แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็เม้าท์  ๆ ต่อไป ลูกเขานั่งฟังเราพูดนะคะ  ตั้งใจด้วยจริง ๆ เราแค่ไม่รู้สึกตัว มัวแต่สนใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด  เขาเอามือขึ้นมาอุดปาก ปิดปากแม่ดาว แม่ดาวก็ไม่สนใจอีก  เม้าต่อ ทีนี้เริ่มโกรธตีปากเราเลย มีบางครั้งก็เอากำปั้นน้อย ๆ พยายามยัดใส่ปากเรา ฮ่าๆๆๆ  แม่ก็นะ เหลือเกิน ไม่หยุด  หันไปพูดกับลูกว่า “แม่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ครับ รอก่อน” คือเข้าใจว่าเขาจะชวนไปเล่น  

            พอหลาย ๆ ครั้งลองสังเกตุดูจริง    หากเวลาที่เขาจะมาชวนเราไปเล่น เขาจะมีปฏิกริยาอีกอย่าง เช่นคลานเอาของเล่นมาให้  ยิ้ม ส่งเสียงเรียก แต่หากว่าเป็นการเม้าท์เรื่องของเขาเนี้ย เขาจะทำแบบนี้แทบทุกครั้ง  ประมาณว่าเรื่องนี้ฟังแล้วคิดว่า เป็นการพูดให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ก็จะไม่พอใจ ฮ่าๆๆ   

            จนในที่สุดวันนึงก็เป็นเรื่อง นั่งทานข้าวด้วยกัน นั่งตรงข้ามกันนี่แหละ อายุตอนนั้นน่าจะประมาณช่วงขวบปีแรกนี่แหละ  แม่ดาวก็คุยโทรศัพท์เพิ่งเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะทานข้าว ข้าง ๆ แก้วน้ำ  น้องดีโด้เห็นดังนั้น  รอตอนแม่เผลอ ๆ หยิบเอาโทรศัพท์หย่อนลงแก้วน้ำซะเลย ฮ่าๆๆ   สุดยอดนะคะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ  พูดเองก็ยังไม่ค่อยจะได้ สื่อสารเท่าไหร่แม่ก็ไม่เข้าใจ  ไม่สนใจมากกว่านะ  ตอนทำเนี้ยยิ้ม ๆ แบบนัยตามีเลศนัยมากมาย ทำแล้วก็ยังยิ้มแบบ “ฉันชนะ”  หึๆๆ หากมีกล้องวงจรปิดคงดี อยากให้ทุกคนได้เห็นสายตาแบบนั้นจริง ๆ    

         เรื่องนี้เป็นการคิด วิเคราะห์ตีความเอาเองนะคะ  คิดว่าน่าจะใช่ อีกประเด็นที่เป็นไปได้คือลูกคงคิดว่า "โทรศัพท์แย่งเวลาที่มีค่าระหว่างหนูกับแม่ไป แม่เลยไม่ค่อยสนใจหนู" แม่ดาวว่ามันก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้เขาหยิบโทรศัพท์หย่อนลงแก้วน้ำต่อหน้าต่อตาแม่ดาว  แม่ดาวไม่คิดว่าเขาทำไปโดยไม่ตั้งใจนะ ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเพราะเขาอยู่ในวัยอยากเรียนรู้  เพราะสายตาท่าทางเนี้ย "ฉันรู้ แต่ฉันจะทำ" ประมาณนั้น อย่างที่เคยบอก แม่ดาวสื่อสารอ่านความรู้สึกลูกเก่งมาก ตีความแม่นตลอด ฮ่าๆๆ สายใย สายสัมพันธ์ แบบมีสื่อความคิดไร้สายเชื่อมโยงกันตลอด ๆ สัญญาณแรงซะด้วย เลยค่อนข้างมั่นใจ

           คือ ณ ช่วงนั้นแม่ดาวจะไม่มีสังคมเลย  จิตแตก ฟุ้งมาก อาศัยโทรศัพท์ที่แหละระบายความเครียด สร้างความสุขให้ตัวเอง ปรึกษาปัญหาบ้างอะไรบ้าง    แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยจะมีสังคมอยู่ดี แต่อาศัยธรรมะ รู้จักวางใจให้เป็น ก็เลยไม่เกิดทุกข์ อย่างที่พิมพ์บ่อย ๆ “ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบัน”  

           พอลูกเริ่มพูดจาสื่อสารกับเราได้คล่องแล้ว  เราถึงได้รู้จริง ๆ ว่า เขาไม่ชอบให้เราเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้ใคร ๆ ฟัง  แต่หากเป็นเรื่องดี ๆ ของเขา  ก็สามารถเล่าได้  ดังนั้นทุกครั้งเวลาแม่ดาวจะเล่าเรื่องของลูก หรือจะเอาภาพเขาลงในFacebook จะขอความยินยอมจากลูกเสียก่อน  บางภาพเราเห็นว่าน่ารัก แต่เขาไม่พอใจก็มี  บางเรื่องก็เหมือนกันเราคิดว่าเรื่องนี้ดี น่าประทับใจ แต่มุมมองของลูกเขาก็ไม่อยากให้เราเล่าต่อคิดว่ามันน่าอาย  

            จำไว้นะคะ ต้องเคารพสิทธิของลูกด้วย อย่าถือสิทธิ์ว่าเราเป็นพ่อแม่แล้วจะล้ำเส้นได้  ใจเขาใจเรานะ   
            ทุกเรื่องราวที่แม่ดาวนำมาถ่ายทอดในบทความ แม่ดาวจะบอกลูกไว้ว่า สิ่งที่แม่ทำเพื่อช่วยเหลือสังคม เรื่องของพวกเรามีประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ทำแล้วได้บุญร่วมกันนะคะ   ลูกอนุมัติ แต่ไม่ได้บอกทั้งหมดว่าเรื่องอะไรบ้างบอกกว้างๆ ครอบจักรวาล    

            ดังนั้น จุ๊ๆๆๆ..........อย่าบอกลูกแม่ดาวนะคะ ว่าแม่ดาวแอบเอาเรื่องน่าอายของลูกมากระจายต่อ อิอิ  แต่ไม่ได้ทำเพราะความสนุกส่วนตัว หรือเป็นการระบายความเครียดออกนี่เนอะ   มันเป็นประโยชน์ต่อหลาย ๆ ท่าน  จริงไหม   


***เวลาที่เราจะปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูก เราต้องระวังมาก ๆ นะคะ อย่าพูดตอนที่เด็กอยู่ด้วย เขาจะรู้สึกไม่ดี มองว่า “เขาเป็นเด็กมีปัญหา”  เขาจะรู้สึกว่าแม่ไม่ยอมรับ ฯลฯ การมองเห็นคุณค่าในตัวเองจะลดน้อยลง    ถึงบางครั้งมันจะจริงก็เถอะ ปลอดภัยไว้ก่อน  ดูแลถนอมหัวใจลูกเรามาก ๆ  รักษาสายสัมพันธ์ของเรากับลูกไว้ให้เหนียวแน่นนะคะ       

    ต้องขอบคุณบทความดี ๆ ของครูใหม่ครูหม่อมเรื่อง "อย่าบอกใครหนูอายเขา" ที่ช่วยกระตุ้นต่อมจิตสำนึกเรื่องการเคารพสิทธิของลูกให้แม่ดาว ใครยังไม่เคยอ่าน ลองเข้าไปอ่านกันนะคะ ใน www.101thaikids.com ในนั้นมีข้อมูลดี ๆ มากมาย มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์คุณแม่ท่านอื่น ๆ ผ่านบนกระดานถามตอบปัญหาต่าง ๆ แม่ดาวก็ได้ความรู้มากมายจากในนั้น อีกทั้งยังมีบทความดี ๆ ที่ครูใหม่และครูหม่อมเป็นคนเขียนให้อ่านกันด้วยนะคะ