เรื่องนี้คิดอยู่นานมาจะพิมพ์ดีไหม ใจนึงก็อยากพิมพ์เพื่อส่งต่อความคิดออกไป อีกใจก็ยังติดกับอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอปัญหาแบบนี้เหมือนที่ตัวเองและลูกเจอ อ่านแล้วคงคิดกันใหญ่นะคะ ว่าเรื่องอะไรหนอ เล่ารายละเอียด ณ ตอนนี้ไม่ได้เนอะ เอาเป็นว่า
แม่ดาวมีประสบการณ์หลายครั้งที่ค่อนข้างจะทำให้ตัวเองมั่นใจมาก ๆ ว่า เด็ก ๆ เนี้ยเขาคิดเยอะนะ แค่เขาไม่ได้แสดงออกมาตรง ๆ แค่นั้น ไม่รู้จะเชื่อแม่ดาวกันไหม อย่างลูกชายแม่ดาวเนี้ยแค่ 5 ขวบ วันนึงเขาทำให้แม่ดาวแทบร้องไห้ กับคำพูดที่ว่า “ขอดีโด้เก็บความทุกข์นี้ไว้ในใจคนเดียวนะแม่ ดีโด้รักแม่ บอกแม่ไม่ได้จริง ๆ หากบอกแล้วมันจะทำให้แม่ไม่สบายใจ” แม่ดาวก็พยายามจะพูดทุกอย่างที่เท่าคิดว่าพูดแบบนี้ลูกน่าจะยอมบอกเรา แต่เขาก็ไม่พูดมันออกมา บอกแค่นั้น และตบท้ายว่า “หากแม่อยากร้องไห้ ก็ร้องเลยนะ ร้องกับดีโด้นี่แหละ” มันมีเรื่องราวเกิดขึ้นค่ะ แต่ไม่สามารถบรรยายออกมาให้ชัด ๆ ได้
สิ่งที่แม่ดาวพลาดคือ ลูกมีความทุกข์ใหญ่มาก แต่แม่ดาวกลับอยากจะค้นหาคำตอบ อยากจะแก้ไข พยายามถาม พยายามพูดคุยกับลูกคิดว่าหากลูกยอมพูดลูกน่าจะรู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น กลายเป็นยิ่งพูด ยิ่งเกลี่ยกล่อม ลูกยิ่งเจ็บ ลูกยิ่งทุกข์ กลายเป็น ทุกข์เดิมที่มีคนยัดเยียดมาให้ก็มีอยู่ แล้วตัวแม่ดาวเองก็ยิ่งไปเพิ่มทุกข์ให้หนักไปกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ไม่ทันคิดเลย
ลูกไม่ได้อยากแบกไว้เลย ลูกอยากบอกเรามาก ปกติเขามั่นใจว่าทุกเรื่องเขาคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง แต่มีคนสร้างเงื่อนไขมาประมาณว่า “อย่าบอก หากบอกแล้วจะทำให้แม่ไม่สบายใจ หากรักแม่ต้องไม่บอกแม่” จากการสันนิษฐานของตัวเองนะคะ และเขาใช้จุดอ่อนตรงนี้ เขารู้ว่าลูกแม่ดาวผูกพันธ์และรักกันมากขนาดไหน ดีโด้เลยปิดปากเงียบ
เรื่องนี้ไม่ใช่เราไม่รู้ เป็นความลับที่มันก็รู้ทั้งรู้ มันเห็นชัดมาก แค่อยากฟังจากปากลูกแค่นั้น ผลเสียมันตามมามากมายค่ะ ลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเลย ซึม ไม่ค่อยร่าเริง ชอบนั่งเหม่อ และดูไม่สบายใจทุกครั้งที่อยู่กับแม่ เขารู้สึกผิดต่อแม่ เพราะแม่สอนตลอดว่าศีล 5 คืออะไร เขาคิดว่าแม่ต้องรักเขาน้อยลง เพราะเขาโกหก แต่เปล่าเลย เรากลับรู้สึกรักและสงสารเขามากขึ้นกว่าเก่าเป็นเท่าตัว
ที่ถามเพราะอยากให้เขาระบายออก เด็ก 5 ขวบเขาจะจัดการความทุกข์แบบนี้ได้อย่างไร คิดเอาเองแบบนี้น ก็พยายามชวนพูดคุยใช้จิตวิทยามากมายก็ไม่เป็นผล แม่ดาวช่วงอาทิตย์นั้นทุกข์มาก วางไม่ลง ปลงไม่ได้ คิดๆๆๆ จนคิดว่าน่าจะคุยกับลูกพี่ลูกน้องคนนึงซึ่งเรียนครู เลยลองถามดูเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดี ๆ เป็นประโยชน์กับเรา พอได้คุยแล้วโล่งใจไปนิดนึง เหมือนตัวเองได้ระบายออกแล้วมีคนเข้าใจรับฟังด้วย ข้อมูลที่ได้ก็มีประโยชน์มากมาย บางอย่างเราก็คิดไม่ถึง และเป็นโชคดีของแม่ดาวที่น้องเขามีเพื่อนที่เรียนด้านจิตวิทยาศึกษาอยู่ปี 4 แล้ว แม่ดาวก็เหมือนได้พบจิตแพทย์ผ่านโทรศัพท์ ตอนนั้นธรรมะเอาไม่อยู่จริง ๆ ฟุ้งค่อนข้างเยอะ เครียดแหละ และตัวเองก็คิดอะไรได้มากขึ้น พอใจมันโล่ง มันเบาสักนิด ก็พอจะคิดอะไรออก
เหตุการณ์นั้นผ่านไปเกือบ ๆ ดีค่ะ พอเรามีสติเราจะมีปัญญาค่ะ มองเห็นปัญหาได้ไม่ยาก สาเหตุหลัก ๆ ของความทุกข์ที่แท้จริง คือ ตัวแม่ดาวเอง ลูกกลัวและกังวลมากที่แม่ดาวเครียด เขาคงโทษตัวเองว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ที่เขาไม่ยอมบอกออกมา เพราะนี่ขนาดไม่ได้บอกนะเนี้ยแม่ยังทุกข์ได้ขนาดนี้ เขาคิดเองว่าถ้าบอกออกมาสงสัยแม่ดาวต้องช้ำใจ ทุกข์ทรมานนมากแน่ ๆ เขาไม่ชินกับแม่ดาวในสภาพแบบนั้น ปกติหลัง ๆ แม่ดาวจะทุกข์ได้ แต่ไม่ทุกข์นานไง ถึงเราไม่บอกนะคะ ว่าเราทุกข์ เขาก็รับรู้ได้ผ่านจากสายตา ท่าทางเรานี่แหละ ถึงจะพูดปากจะฉีกยังไงว่า “บอกมาเถอะลูก แม่รับได้ แม่ไม่เป็นไรจริง ๆ” ก็ไม่เกิดผล เพราะสิ่งที่เขารู้สึกตรงข้ามกัน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เรารับได้นะ แต่ลูกไม่เข้าใจไง ก็เขายังเด็ก เขาติดสินใจด้วยตัวเขาเองว่า “ต้องไม่บอก บอกไม่ได้ แม่จะไม่สบายใจ แม่จะทุกข์” ด้วยความรักแม่มากนี่แหละที่ทำร้ายเขา และทำร้ายเราด้วย
จบปัญหานั้นด้วยการมองข้ามไปค่ะ ปล่อยผ่าน เก็บไว้ในใจทั้งคู่ ตัวเรา “อยากรู้จากปาก แต่ไม่อยากถาม” ยิ่งถามลูกยิ่งทุกข์ แล้วทำถามต่อไปเพื่อ........คนที่เขาทำกรรมนี้ คิดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายลูกและเราขนาดนี้หรอกค่ะ แม่ดาวคิดเองนะ เขาทำเพื่อปกปิดความผิดตัวเอง ให้ลูกเราเป็นคนผิดแทน ก็รู้อยู่เต็มอก จบด้วยการ “อภัยทาน” จะได้ไม่ต้องมีเวรกรรมกันต่อไปภายภาคหน้า
และวันนี้ที่มีแรงบันดาลใจอย่างมากที่อยากจะพิมพ์บทความนี้ เพราะได้อ่านหนังสือเล่มนึงเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกวัยรุ่น ปัญหาแบบเดียวกับลูกเราเลย ถึงว่าตอนถามน้องนักศึกษาจิตวิทยา เขาก็งงว่าลูกเรา 5 ขวบจริงเหรอ คงคิดว่าฟังผิด ล่าสุดที่ได้ไปฟังบรรรยายที่มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวจัดขึ้น ก็ได้เอาคำถามนี้ไปถามกับจิตแพทย์โดยตรง ก็ได้คำตอบเหมือนที่เราคิดไว้ และบางข้อมูลก็ช่วยทำให้แม่ดาวโล่งใจขึ้นเยอะ
คือแม่ดาวมองว่าเขาเป็นเด็ก 5 ขวบ ยังยอมทนแบกความทุกข์ซึ่งหนักมากขนาดนี้เอาไว้ ต่อไปในอนาคตเป็นวัยรุ่นเวลามีปัญหาใหญ่กว่านี้ หากใช้เหตุผลเดิม คือกลัวแม่ไม่สบายใจจะไม่กล้าบอกอีกหรือเปล่า คุณหมอมองว่า เขาไม่เป็นห่วงข้อนี้ เพราะเท่าที่ฟังท่านมองว่า ลูกเราเขารู้ดีรู้ชั่ว มีความยับยั้งชั่งใจ ท่านมองว่าไม่น่าเป็นห่วงเลย และบอกว่าเราเลี้ยงมาถูกทางแล้ว คุณหมอเองก็ยังบอกว่า คิดเกินวัย (ไปมาก) ในวงเล็บเนี้ยแม่ดาวเติม แม่ดาวก็เลยกลับมาอุเบกขาอีกครั้ง วางใจแต่ไม่วางเฉยนะคะ ติดตามพฤติกรรมปกติ มีหลายอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ก็มองว่าเป็นธรรมดา เจอปัญหามาขนาดนี้แบกเอาไว้เอง ก็ต้องเป็นแบบนี้ แค่สอนเรื่องการจัดการความทุกข์เยอะขึ้น สอนธรรมะเยอะขึ้น แต่ไม่ตึงเครียดนะคะ ขำ ๆ ไปวัน ๆ แม่ดาวก็ขำ ๆ ฮา ๆ อยู่แล้ว
ตอนนี้ได้นิทานเรื่องใหม่โดนใจแม่และลูกมาก อ่านเจอจากในเว็บ เป็นเรื่องคล้าย ๆ กับเรื่องของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนบรรดาเหล่าพระลูกศิษย์ เกี่ยวกับเรื่อง “หมาป่าขี้เรื้อน” ใครสนใจนำไปสอนลูก ทำเป็นนิทานก่อนนอนดีมากเลยนะคะ เพิ่มกำลังสติลุกแม่ดาวได้มาก เรียกว่ากระตุกต่อมสติตื่นกันเลยทีเดียว คิดว่าเขาได้ปัญญาด้วยนะ พอเล่าจบก็ถามเขา ว่าทำไมพระรูปนั้นถึงพูดว่า “ตัวเองยังเป็นขี้เรื้อนอยู่ ยังต้องรักษาอาการให้หายขาดเสียก่อน” เขาตอบถูกด้วยนะ แสดงว่าเขาเข้าใจในระดับนึง ฟังแล้วเขาคงคิดตามด้วย แต่แม่ดาวเล่าขำนะ ขำตลอดแหละ เด็กชอบขำ ๆ ยิ่งดีโด้เนี้ยต้องเอาขำนำ ก่อนคำสอน อิอิ
***บทความนี้สอนให้รู้ว่า หากพบว่าลูกมีปัญหา เวลาจะพูดอะไร ถามอะไร ทำอะไร ให้ทำตอนที่ตัวเองมีสติพร้อม และลูกอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลายแล้ว อย่ารีบเร่งทำ เพราะคิดว่าต้องแก้ไขปัญหานั้นให้เร็วที่สุด คิดว่าต้องช่วยเหลือลูกให้เร็วที่สุดแล้วจะดี อย่าทำแบบแม่ดาวนะคะ รอก่อนคิดตอนที่มีสติและปัญญา และทำตอนที่มีสติและปัญญาเช่นเกัน ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะทุกข์ 2 ต่อ แบบที่แม่ดาวเคยเป็น “รีบแก้ แล้วแย่เลย” และขอบอกเลยนะคะว่าเรื่องผ่านไปเป็นเดือนแล้ว แต่ลูกชายเนี้ยเขายังระลึกถึงมันได้เสมอ หากเราเผลอไปโดนจุดนี้เข้า ถึงไม่ตั้งใจ แต่เขาคิดตลอด คิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นอะไรที่ทุกข์ใหญ่ที่สุดเท่าที่แม่ดาวกับลูกเจอนะ ณ ช่วงปีนี้นะ
เจ็บเนอะ เจ็บลึก เจ็บนาน เจ็บจี๊ด ๆ ในใจ .นี่แหละรสชาติของชีวิต คงต้องใช้เวลาดูแลรักษาเยียวยากันอีกนานกว่าจะหายเจ็บ ถึงหายก็ไม่รู้จะสร้างแแผลเป็นในใจลูกหรือเปล่า อันนี้ก็แล้วแต่เขาแล้วแหละ เราก็ช่วยได้เต็มที่แค่นี้ ที่เหลือคือเขาต้องช่วยตัวเองด้วย จริงไหม