วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุณคือจิตแพทย์ของลูก (2)

        วิธีการที่แม่ดาวปฏิบัติ และได้ผลคือ  แม่ดาวจะพูดคุยกับลูกในช่วงที่ลูกมีภาวะผ่อนคลาย สบาย    เวลานี้สำหรับน้องดีโด้นั้น คือเวลาก่อนเข้านอน  เพราะจะมีการทำกิจกรรมร่วมกันแทบทุกวันคือ สวดมนต์  ขอขมากรรม แผ่เมตตา  เล่านิทานก่อนนอน  เล่าเรื่องความสุขในแต่ละวันของทั้งแม่ดาวและลูก  (เดี๋ยวจะขยายต่อเรื่องนี้)  พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในแต่ละวัน หากจะสอนลูกแม่ดาวก็จะใช้ช่วงนี้สอนเช่นกัน   กิจกรรมก็ประมาณนี้ ลดบ้าง เพิ่มบ้าง แล้วแต่วัน  บรรยากาศการคุยเหมือนเพื่อนคุยกัน คุยสบาย ๆ  ก่อนเข้านอน

        และการทำหน้าที่จิตแพทย์ ของแม่ดาว ก็เริ่มขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ “ความลับ...ที่คับใจ  การที่เห็นลูกตัวเองผิดแปลกไปจากเดิมมากขนาดนั้น เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ลูกได้สบายใจขึ้นบ้าง หลังจากที่ตัวเองก็ร่วมสร้างรอยแผลในใจ ซึ่งน่าจะแผลใหญ่เลยทีเดียว ทำเอาซึม เหม่อลอย จ้องจับผิดแม่ตลอดว่าจะพูดกับใคร ณ ช่วงนั้นคุณยายสุดที่รักของหลานชายมาบ้านพร้อมน้าสุดเลิฟ   ปกติเขาจะดีใจจนผิดปกติ คือ จะร่าเริงสดใสมาก กระตือร้อล้นผิดปกติ คึกผิดปกติ  แต่วันนั้น เขามีอาการ เฉยเมย มาก เหมือนไม่สนใจที่ยายกับน้ามาที่บ้าน

        สรุปคือ เขากลัวว่าเขาจะถูกมองว่าเป็น “เด็กไม่ดี เพราะโกหก  กลัวทุก ๆ คนที่เคยให้ความรักกับเขาอย่างมากมายเต็มร้อยจะรักเขาน้อยลง หรืออาจจะหมดรักไปเลย  เขาระแวงมาก เลยดูไม่มีความสุขหนักกว่าเดิม  เห็นอาการลูกแบบนี้แม่ดาวเลยต้องเรียกคุย เป็นการเฉพาะกิจ  คิดแผนในเวลาไม่นาน ก็คิดออก  ครั้งก่อนหลังจากที่แม่ดาวคุยกับลูกแล้วลูกไม่พูด ไม่ยอมบอก แม่ดาวถึงกับรับความรู้สึกนั้นไม่ได้  ความรุ้สึกที่ว่าคือ  เสียใจ ผิดหวัง และโกรธ ทำไมลูกถึงไม่เชื่อใจเรา ทั้ง ๆ ที่เราก็ใกล้ชิดและผูกพันธ์กันมากขนาดนี้  ทำไมถึงเชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่าเรา โกรธตัวเองนะคะ ไม่ได้โกรธลูก 

        เสียศูนย์ถึงขนาดต้องขอเวลานอก ด้วยน้ำตาคลอเบ้า  พูดกับลูกว่า  แม่รู้สึกเสียใจมากครับที่ลูกไม่พูดความจริงกับแม่ ลูกเชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่าคำพูดของแม่   การสื่อสารผิดพลาดอย่างรุนแรงพูดไปแบบขาดสติ  อันที่จริงหากมีสติพร้อมอารมณ์พร้อมควรพูดว่า แม่เสียใจ ที่แม่ไม่สามาถสร้างความเชื่อใจได้มากพอที่ทำให้ลูกพูดความจริงกับแม่   ผิดไงค่ะ ผิดเต็ม ๆ ลูกรับสารและตีความว่า ตัวเขาเองไม่ดี ทำให้แม่ผิดหวัง เสียใจ  แทนที่จะเข้าใจตรงกับความคิด ก็สื่อสารผิดผลก็เสียแบบที่เป็นแบบนี้ และจบประโยคด้วย แม่ไม่พร้อมที่จะคุยอะไรต่อกับลูกตอนนี้ แม่ต้องไปสงบสติอารมณ์  ซึ่งปกติเมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ นั่นคือ แม่ดาวจะไปมุมระเบียงห้อง หรือที่ไหนสักที่ภายในห้อง คือแม่ดาวอาศัยอยู่ ณ ปัจจุบัน จะเป็นห้องพักของที่ทำงานสามี จะมีห้องนอน 2 ห้อง พื้นที่ใช้สอยยาว ๆ 1 ห้อง ห้องน้ำ 1 และมีระเบียงอีกนิดนึง ดังนั้นทุกครั้งลูกจะเห็นแม่ดาวสงบสติอารมณ์เงียบ ๆ ในสายตาตลอด 

        แต่หนนี้ผิดคาด แม่ดาวเดินออกนอกห้องไปเลย หนีไปซ่อนตัวอยู่บนดาดฟ้า ที่จริงตั้งใจมาแอบโทรศัพท์หาน้องคนที่เล่าไว้ในบทความก่อน  คุยนานเลยน่าจะเป็นชั่วโมง หรือไม่ก็เกือบ ๆ  เห็นมีสายซ้อนเป็นเบอร์สามีโทร.ตาม  คือ ณ ตอนที่แม่ดาวเดินออกมา เพราะสามีอยู่ แต่หลับ คิดว่าไม่น่ามีอะไรเป็นอันตราย  และไม่รับสายก็คุยต่อจนจบถึงลงมา

                สามีก็งงๆ และเห็นความผิดปกติของลูกอย่างเห็นชัด ปกติ น้องดีโด้ไม่เคยร้องไห้เงียบ ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม  มีแต่แหกปากส่งเสียงร้องและพูดไปตลอดการร้องไห้ คือพูดไปด้วยร้องไปด้วย   เขาจะติดแม่ดาวมาก หากแม่ไปไหนเขาต้องตามไปแน่ ๆ  ครั้งนี้ร้องแบบไม่ส่งเสียงดัง  น้ำตาไหลเยอะ ร้องแบบเด็กเก็บกด   สามีเล่าว่า ลูกมาบอกว่าให้ป๊าไปตามหาแม่ให้หน่อย แม่ไปไหนไม่รู้   ให้ลองไปตามหาห้องพี่ข้าง ๆ ห้องซิ  ถ้าไม่มีก็ให้ไปหาข้างล่าง แนะนำให้เสร็จ  ด้วยความที่ก็ไม่รู้อะไรชัดเจนนัก ก็ดันไปบอกลูกว่า “แม่คงโดนจับตัวไปดาวอังคาร เพราะแม่เป็นแม่ที่ดีมาก ชาวดาวอังคารต้องการแม่แบบนี้ไปเลี้ยงลูก ๆ ของเขา   หากใครเคยดูการ์ตูนย์เรื่อง Mar need Mom คงเข้าใจ  ไปกันใหญ่  

        พอลงมา ภาพที่เห็น คือลูกชายยืนร้องไห้ สะอึกสะอื้น แบบที่ไม่ร้องมานานมาก และร้องไห้ในแบบที่ไม่คุ้นตา  สายตาเมื่อเขาเห็นแม่ เขามองแบบแปลกไปจากทุกครั้ง  แม่ดาวทำอะไรลงไปอีกแล้วเนี้ย   แม่ดาวนั่งลงและดึงลูกเข้ามากอด  คำถามแรกคือ

ดีโด้           แม่หายไปไหนมา    พูดไปร้องไปอย่างน่าสงสารที่สุด กอดแม่แน่น 

แม่            แล้วแม่บอกดีโด้ว่ายังไงครับลูก  ณ ตอนนั้น เห็นลูกอาการนี้ สติกลับมาทันที

ดีโด้          แม่ไปสงบสติอารมณ์  

แม่            ใช่ครับ แล้วดีโด้ร้องไห้ทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่าแม่ไปไหน

ดีโด้          ก็แม่ไม่ได้บอกว่าแม่ไปที่ไหน  เขาพูดด้วยความรู้สึกเสียใจปนความกลัว แม่ดาวสัมผัสได้ทันที

แม่            แม่ก็ไปในที่ ๆ ที่ดีโด้คิดไม่ถึงไง เป็นความลับ แม่ไม่บอก   ตั้งใจพูด คิดว่าคงต้องได้ใช้มุขนี้ในเวลาต่อมาแน่ ๆ

แม่            ดีโด้ครับ แม่รักลูกนะ  แต่แม่เสียใจแล้วก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้  ก็ต้องไปสงบสติอารมณ์ก่อน ตอนนี้พร้อมจะคุยกับลูกแล้ว

ดีโด้ยังกอดแม่และร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกนาน  และนั่นคือสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ลูกชายสุดที่รักมีอาการผิดปกติ ตอนแรกแม่ดาวไปเพ่งโทษคนอื่น ๆ มองข้ามตัวเองไปสนิท  พอได้เจริญสติ ถึงระลึกได้ ว่าเรานี่แหละ “ต้นเหตุ เลย ตัวแม่จริง ๆ เรา

        อ่านแล้วเข้าใจกันไหมนะ  เรื่องนี้มันลึกซึ้งละเอียดอ่อนมากจริง ๆ  จากที่แม่ดาวทำอาการแบบนั้น ทำพฤติกรรมให้ลูกเห็นและลูกเข้าใจว่าแม่ดาวไม่สามารถทนรับรู้เรื่องราวได้  นั่นยิ่งทำให้เขายิ่งเชื่อว่า เขาไม่สามารถพูดความจริงนั้นออกมาได้ นี่ขนาดไม่รู้ยังขนาดนี้ ถ้าแม่รู้จะเสียใจหนักขนาดไหน  ยิ่งเป็นการไปตอกย้ำความรู้สึกที่ว่า “บอกไม่ได้ บอกแล้วแม่เสียใจ  ยังไงซะฉันต้องไม่บอก  

        อันที่จริง หากมีสติ เราควรเพียงแค่พูดคุยและรับฟังเรื่องราวเฉยๆ หากเขาไม่บอก ก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้ถาม ทำอารมณ์ให้ปกติ พูดแค่ว่า “หากวันนี้ลูกยังไม่พร้อมจะบอกแม่ก็ไม่เป็นไร แม่คิดว่าเรื่องที่ลูกจะพูด แม่ฟังแล้วก็อาจไม่สบายใจจริง ๆ แต่เป็นสิ่งที่แม่ยอมรับได้แน่ ๆ  ไม่ได้ทำให้แม่ต้องทุกข์ใจมากมายหรอกครับลูก  และจบด้วย หากวันไหนที่ลูกพร้อมจะพูด แม่พร้อมจะฟังเสมอนะครับ  แค่นี้พอ 

        แต่ทำไงได้ผิดไปแล้วย้อนเวลากลับไปก็ไม่ได้ ผิดแล้วก็ต้องหาทางแก้ไข  ณ วันที่ยายมาแล้วเขาดูอาการจะแย่ ๆ กว่าเดิม แม่ดาวก็เลย

แม่            ดีโด้ครับ...........แม่จะพาไปที่ลับของแม่ รู้กันเฉพาะเรา 2 คนนะ ตกลงไหม (กระซิบ ๆ แบบว่าลับสุดยอด)

ดีโด้          (เริ่มยิ้มออกและกระซิบตอบ) ไปครับ  ที่ไหนแม่

แม่            ไปกับแม่ แม่จะพาไป แต่ต้องค่อย ๆ  ย่องไปนะ เดี๋ยวยายกับน้ารู้  (ทำเหมือนลับมาก)

        เห็นได้ชัดว่า เขาอารมณ์เปลี่ยนทันที เพียงแค่การกระทำกับคำพูดของเรา  ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้  พาลูกปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า และนั่งคุยกันในมุมเดียวกันกับที่แม่ดาวไปซ่อนตัวฮ่าๆๆ

แม่            ความลับนะครับเนี้ย ห้ามบอกใคร

ดีโด้          ขอบอกป๊าได้ไหม

แม่            อ้าว...บอกไปแล้วจะเป็นความลับไหมเนี้ย  (ดีโด้ขำกลิ้งเลย)

ดีโด้          แต่เราเป็นคนครอบครัวเดียวกันนะ  บอกได้ไหม ดีโด้อยากบอก

แม่            (ทำเป็นคิดหนัก ทั้ง ๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย)  ก็ได้...เห็นว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ไม่มีความลับต่อกันกับคนในครอบครัว ก็ได้ ๆ ครับ

แล้วแม่ดาวเอาลูกมากอดและหอม คุยกับลูกทั้ง ๆ ที่กอดอยู่ พูดแบบอบอุ่น ๆ หน่อยนะคะ

แม่            ดีโด้ครับ  ดีโด้ไม่สบายใจที่เห็นแม่คุยกับยายใช่ไหม

ดีโด้          ใช่  ดีโด้ไม่อยากให้แม่คุยกับยาย (เปลี่ยนสีหน้า และเหมือนจะไม่ให้กอด แต่แแม่ดาวก็กอดไว้แหละ)   

แม่            ดีโด้คิดว่าแม่พูดเรื่องวันนั้นใช่ไหม เรื่องที่เรามีปัญหากัน 

ดีโด้          ใช่  (ตอบเสียงแข็งมากออกจะโกรธ ๆ ไม่พอใจ)

แม่            แม่ยอมรับว่าแม่คุยเรื่องนี้จริง แต่แม่เล่าให้ยายฟังว่า แม่โกรธคนที่สอนให้ลูกมาโกหกแม่ จนทำให้ลูกของแม่ต้องเสียใจร้องไห้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้แม่เสียใจด้วย  ดีโด้กลัวยายจะไม่รักลูกใช่ไหมครับ

ดีโด้          ใช่ (เสียงอ่อนลง เพราะรุ้สึกว่าเราเข้าใจเขาจริง ๆ)

แม่            ยาย แม่ ป๊า และทุก ๆ คน รักลูกมากนะครับ ไม่มีใครโกรธลูกเลย ยิ่งจะรักลูกเพิ่มขึ้นด้วย เพราะลูกอดทนที่จะเก็บความทุกข์เอาไว้เพื่อให้แม่สบายใจ  โดยเฉพาะแม่นะรักลูกมากๆๆๆๆๆ จริง ๆ  ขอบคุณลูกมากนะครับ ที่ปกป้องความรู้สึกของแม่ ลูกเก่งมากจริง ๆ เจ้าฮีโร่ตัวน้อย ๆของแม่ (พูดเสร็จก็จุ๊บ ๆ กอด หอม)

    ดีโด้หลังจากที่คุย ณ ตอนนั้นแล้วก็อาการดีขึ้นเยอะมาก  แต่ก็ยังไม่ปกติเหมือนเก่า   เหตุการณ์ที่คุยนี่น่าจะเป็นวันที่ 3 แล้วถ้าจำไม่ผิดนะคะ  ยังไงก็ต้องเยียวยากันต่อ และต่อเนื่องด้วย 

หากสนใจอ่านต่อ ต้องรออีกนิดนะคะ  ช่วงนี้งานเข้าตลอด ๆ ไม่ค่อยจะว่างมานั่งพิมพ์บทความเลย
       



       

คุณคือจิตแพทย์คนแรกของลูก (1)


      อารมณ์ต่อเนื่องจากบทความที่แล้ว “ความลับ...ที่คับใจ”  จากเหตุการณ์วันนั้น แม่ดาวเลยมองเห็นอย่างจริงจังว่า เรานี่แหละ ควรเป็นจิตแพทย์คนแรกของลูก   อย่างที่แม่ดาวเคยบรรยายใน facebook เรื่องที่ว่า ปัจจุบันคนไทยต้องไปพบจิตแพทย์กันมากมายจนน่าตกใจ  1 ใน 5 คนที่อยู่รอบตัวท่านอาจเป็น “โรคจิต” น่ากลัวนะคะ  ข้อมูลนี้เป็นข่าวที่ฟังจากรายการสถานีวิทยุแห่งหนึ่งเมื่อประมาณ 2 -3 เดือนก่อนได้ ถ้าจำไม่ผิด ขอย้อนเรื่องกลับไปอีกนิดเพื่อสะกิดใจสำหรับใครอาจไม่เคยอ่าน

        และครั้งหนึ่งเมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แม่ดาวมีโอกาสได้ไปแผนกผู้ป่วยจิตเวช ณ โรงพยาบาลดังแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯนี่แหละค่ะ เป็นโรงพยาบาลสังกัดรัฐบาล  แม่ดาวตกใจ และงง มาก ทำไมเด็ก ๆ ถึงต้องมาพบจิตแพทย์กันเยอะมากมายจนเต็มพื้นที่  เป็นแผนกที่มีผู้ป่วยเยอะมาก อย่างไม่น่าเชื่อ คือในความรู้สึกตัวเองคิดเองว่า ไม่น่าจะคนเยอะ  มีตั้งแต่เด็กปฐมวัยไปจนวัยชรา ทุกคนรอคิวตรวจหมด  โดยเฉพาะที่เห็นวัยเด็ก เยอะมากหรือเพราะวันนั้นเป็นคิวของจิตแพทย์รักษาเด็กไม่แน่ใจ  

        แม่ดาวไม่แน่ใจว่าเคยเล่าเรื่องที่ตัวเองก็เคยป่วยเป็น “โรคจิต” เช่นกัน แรก ๆ ไม่รู้ตัวคิดว่าทำไปด้วยอาการปกติของผู้หญิง บ้าซื้อของมาก โดยเฉพาะเครื่องสำอางค์ เดือน ๆ นึงต้องได้ซื้อตลอด ๆ  ซื้อจนสามีเริ่มเคือง และออกมาตรการห้ามซื้ออีก  แต่ก็ไม่เป็นผล ฮ่าๆๆๆๆ  มามีสติและเกิดปัญญาคิดเองได้ ว่าไอ้อาการที่เราเป็นเนี้ย “โรคจิต” ชอบพูดเล่น ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง ๆ  และปัจจุบันหลังจากปฏิบัติธรรมะแล้วก็อาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ซื้อเพิ่มแถมแจกกระจายอีกต่างหาก  เก็บไว้เท่าที่เราน่าจะได้ใช้จริง ๆ  ได้ไปลองทดสอบอารมณ์ตัวเองดูแล้วที่ห้างสรรพสินค้า ที่แผนกเครื่องสำอางค์ปรากฎว่า เราสามารถเดินผ่านไปได้แบบไม่ใจสั่นฮ่าๆๆๆ เมื่อก่อนจะต้องคอยจิกตัวเอง ใจสั่นอยากเข้าไปดู สามีเผลอเนี้ยชะแวบไปทันที  มีความสามารถในการซื้อว่องไวและซ่อนของเก่งมาก สามีจับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ 

        นอกเรื่องไปเยอะเข้าเรื่องดีกว่าค่ะ  เราคงแต่เคยได้ยิน ได้อ่านกันมาว่า  พ่อแม่ คือ ครูคนแรกของลูก  แต่แม่ดาวอยากเสนอเพิ่มเป็น คุณควรเพื่อนคนแรกของลูก คุณควรเป็นพระพรหมองค์แรกของลูก คุณควรเป็นพระอรหันต์องค์แรกที่ลูกรู้จักและได้สัมผัสจริง ๆ  และสุดท้ายคือ คุณควรจะเป็นจิตแพทย์คนแรกของลูกคุณด้วย หากคุณทำได้จะดีมากเลยนะคะ ลองคิดดูนะคะ ว่ามีประโยชน์คุ้มสุดคุ้มเลยทีเดียว คุณไม่ต้องเดินทางพาลูกไปพบจิตแพทย์ที่ไหน ไม่ต้องเสียเวลาในการนั่งอธิบายเรื่องราวของลูกของเราให้ใครฟัง  ไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษา ไม่ต้องใช้ยาในการรักษา และที่สำคัญจะมีใครรู้ใจและเข้าใจลูกของเราเท่าตัวเราเอง  หากเลี้ยงลูกเองข้อนี้ไม่น่ามีปัญหาเนอะ 

        คุณสมบัติของจิตแพทย์ (แบบพ่อแม่) ในความคิดแม่ดาวคือ
1.ต้องสามารถฟังได้อย่างลึกซึ้ง  ฟังแบบที่ลูกพูดแล้ว ลูกรับรู้ได้ว่าเรา ตั้งใจฟังเสียงของเขาจริง ๆ (เคยมีอธิบายไว้แล้วนะคะ)
2.ต้องมีความรู้ในด้านจิตวิทยาด้วยนะคะ เอาแบบที่พ่อแม่อย่างเรา ๆ ควรจะรู้ไม่ต้องลึกซึ้งขนาดต้องไปเรียน  ปัจจุบันมีหนังสือแนว ๆ นี้ ออกมามากมายล้นตลาด อ่านแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก และสามารถทำตามได้เลย แม่ดาวก็ใช้แบบนี้แหละ  (แม่ดาวเคยแนะนำหนังสือบางเล่มไว้แล้วนะคะ)
3. ต้องมีอารมณ์ปกติ มีจิตใจปกติ สภาพร่างกายปกติ  และมีกำลังสติมากพอที่พูดกับลูก 
4. ต้องมีปัญญาเนี้ยก็เกิดจากการอ่านหนังสือ การศึกษาหาข้อมูลอื่น ๆ และการที่เรารู้จักนิสัยใจคอของลูกเรา แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม