วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขอพื้นที่ส่วนตัว...ไว้ให้ตัวเองบ้าง


       มีผู้อ่านท่านใดในที่นี้ ที่ไม่มีเวลาส่วนตัวไว้ให้ตัวเองบ้างหรือเปล่าค่ะ  แม่ดาวเองก็เคยเป็นคนนึงที่ไม่ยอมที่จะแบ่งเวลาไว้ให้สำหรับตัวเองเลยในสมัยแรก ๆ ของการมีลูก ยิ่งในช่วงก่อนลูกเข้าเรียน (0-3 ขวบ) เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการเลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ดูแลสามี ชีวิตทั้งหมด 24 ชม. ที่มี ก็มีแต่พวกเขาแทบจะทั้งนั้น  มีบ้างบางครั้งที่กลับไปบ้านตัวเองที่ต่างจังหวัด การกลับไปบ้านตัวเองเหมือนเป็นการได้ผ่อนคลายความเครียดได้เยอะเหมือนกัน   กลับไปเป็นลูกอีกครั้ง มีคนมาคอยดูแลเราบ้าง  สลับกับการดูแลพ่อแม่บ้าง ลูกบ้าง หากอยู่ที่บ้านตัวเองเหมือนการกลับไปชาร์ตพลังไฟในใจให้พร้อมสู้ต่อ

     ช่วงนั้นจำได้ว่า เป็นคุณแม่เจ้าน้ำตาอยู่บ่อย ๆ เหนื่อยง่าย ท้อง่าย  เลี้ยงลูกเอง แบบไม่มีประสบการณ์มากมาย ต้องดูแลงานบ้านเองทุกอย่าง ไหนจะความเครียดมากมายที่ประเดประดังเข้ามาสารพัด  ชีวิตช่วงนั้นอ่อนแอ ไร้พลังสุด ๆ  มองข้ามความรู้สึกตัวเอง มองความสภาพร่างกายตัวเอง  ทุกอย่างเพื่อคนอื่นหมด ถึงจะเป็นคนที่เรารักมากที่สุดก็เถอะ   

     อยากให้ใครที่เป็นเหมือนแม่ดาวตอนนั้น หันกลับมามองตัวเอง การที่เราทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่อย่าทอดทิ้งตัวเอง  ให้เวลา ใส่ใจ ทำอะไร เพื่อตัวเองบ้าง อย่างน้อย ๆ ใน 1 สัปดาห์ ก็น่าจะมีเวลาให้ตัวเองบ้างสักวัน  หรือไม่ก็ช่วงใด ช่วงหนึ่งใน 1 วัน ลองจัดสรรเวลาแห่งความสุขให้ตัวเองดูนะคะ  อย่างน้อย ๆวันละ 1-2 ชม. / วัน ก็น่าจะพอ  

    ปัจจุบันแม่ดาวเองก็จัดสรรเวลาเหล่านั้นให้ตัวเองบ้างเช่นกัน อาจไม่ได้ทุกวัน แต่ก็มีบ้างแหละ ที่ทำได้  การที่เรารู้จักดูแลใส่ใจตัวเอง ไม่ใช่เพียงผลดีจะเกิดแก่ตัวเราเองเท่านั้น  พอเรามีเวลาให้ตัวเอง เรามีความสุข ไม่เครียดแล้ว บรรยากาศในบ้าน ในครอบครัวก็พลอยอิ่มสุขไปกับเราด้วย

      และนั่นหมายถึง การที่เราเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกเห็นด้วย  ลูกควรรับรู้ว่า “แม่เองก็ต้องการเวลาพักผ่อนบ้างเหมือนกัน”  หากวันไหนที่แม่ดาวไม่สบายกาย หรือไม่สบายใจก็แล้วแต่ หากไม่ไหว ก็จะบอกลูกตรง ๆ ว่า  วันนี้แม่รู้สึกไม่สบายใจ หรือ ป่วย  บอกสาเหตุด้วยนะคะ แต่อาจไม่ต้องบอกทั้งหมดที่คิดก็ได้  และบอกลูกว่าว่า วันนี้ หรือตอนนี้ แม่ต้องการเวลาพักผ่อนนานแค่ไหนก็ว่าไป   หากเขาอยู่กับเรา ณ ตอนที่เราเกิดอาการแบบนี้  

   ลูกเองก็จะได้เรียนรู้ว่า  เขาต้องมีเวลาส่วนตัวของตัวเองบ้าง เขาจะเรียนรู้ว่า หากเขาเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ไม่อยากจะคุย หรือทำอะไร เขามีสิทธิที่จะพักอย่างเงียบ ๆ คนเดียวได้  ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ  

       อย่างที่บอกค่ะ ไม่ว่าใคร ๆ ก็ต้องการเวลาให้ตัวเอง  บางทีเราทำเพื่อคนอื่นจนมองข้ามสิ่งนี้ไป แล้วพอฝืนทำไปเรื่อย หรือเหนื่อยทำต่อไปแบบไม่รู้สึกตัว  คิดว่าแบบนี้ดีแล้ว ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว  อยากให้จำคำนี้ไว้นะคะ  “หากเราอยากช่วยคนอื่น  เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้เสียก่อน”  หากตัวเองยังล่อแร่ ท้อแท้ เหนื่อย แล้วเราจะเอาพลังกาย พลังใจที่ไหนไปช่วยคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ  ดังนั้นให้ช่วยตัวเราก่อน ดูแลตัวเองให้แข็งแรงทั้งกายและใจก่อน แล้วค่อยไปดูแลคนอื่น ๆ ที่เรารัก  

        ส่องกระจกทุกครั้งอย่าลืมบอกกับคนๆนั้นในกระจกด้วยนะคะ ว่า “ฉันรักเธอ และจะดูแลเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”   

      นี่เป็นอีก 1 เรื่องเล็ก ๆ สำหรับเรา ที่เรามองข้ามกันเยอะ แต่สุดท้ายก็บานปลายจนก่อตัวเป็นก้อนความทุกข์แบบไม่รู้ตัว       

          แนะนำกันจากประสบการณ์ตรงเลยนะคะเนี้ย
      
             

แม่กลุ้มใจ...ทำยังไงหากลูกไม่รักษาสัญญา

        เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วนะคะ  เป็นช่วงหนึ่งที่ตัวเองรู้สึกเหนื่อย ๆ กับลูก จิตใจ ณ ช่วงนั้น ก็ไม่ค่อยจะปกติ  ประมาณช่วงต้นเดือนกันยายน พิมพ์บันทึกนี้ขึ้นมา   เป็นการพิมพ์บันทึกเพื่อถามความคิดเห็นจากหลาย ๆ ท่าน ทั้งผู้เชี่ยวชาญ และอีกหลาย ๆ ท่านที่มากประสบการณ์ในการการเลี้ยงลูก ผ่านface book  เห็นว่าเป็นประสบการณ์ อีก 1 เรื่อง ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ ครอบครัว  เลยคัดลอกมาให้ได้อ่านกัน

        ขอความคิดเห็นจากทุกท่านค่ะ (เลี้ยงแบบแนวคิดบวกนะคะ)
วันนี้เกิดเหตุการณ์อีกแล้ว เรื่อง การรักษาสัญญาของดีโด้
ดีโด้หลัง ๆ ผิดคำพูดบ่อยมาก ไม่ค่อยรักษาคำพูดเลย บางทีก็โกหกแบบแถๆๆๆๆไป วันนี้ก็อีกแล้ว ดีโด้เล่นอยู่แล้วเราก็ถามว่า

แม่      "ดีโด้ครับ เล่นอีก 5 หรือ 10 นาที ไปอาบน้ำครับ"

ดีโด้      ขอดูการ์ตูนย์ 10 นาทีครับ (เปลี่ยนจากเล่นไปเป็นดูการ์ตูนย์ซะงั้น)

แม่คิดแล้วว่าก็ไม่เป็นปัญหา ตกลง และเหมือนเดิม

แม่      จะให้แม่บอก หรือให้พี่นาฬิกาบอกครับ  (เพราะหลัง ๆ เริ่มเกลียดนาฬิกา อารมณ์ว่าสั่งเราจริง ๆ ทะเลาะกับนาฬิกาบ่อย ๆ 555)

ดีโด้     นาฬิกา (พูดเพราะบ้างไม่เพราะบ้างตามอารมณ์)

แม่ก็จัดการตั้งเวลาและเดินไปอาบน้ำก่อน และบอกไว้ว่า
แม่      ดีโด้ครับ ครบ 10 นาที เดินตามแม่มาอาบน้ำเลยนะลูก แม่จะไปอาบก่อน

ดีโด้    คราบบบบบบบบบบบ   (ลากเสียง)

แม่ ก็ไปอาบน้ำ ระหว่างที่อาบ ก็ได้ยินเสียงนาฬิกา และแป๊บเดียวก็เงียบไป  เจ้าตัวแสบ (คิดในใจ แต่อย่าพูดออกมานะคะ)คิดว่าแม่คงไม่ได้ยิน ไม่รู้ เพราะอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งปกติเวลาอาบน้ำก็จะแง้มประตูไว้เสมอ ๆ เพราะลูกไม่ยอม
แม่ดาวก็ เดินออกมาจากห้องน้ำ คิดๆๆๆๆๆ จะถามยังไงเนี้ย เอาไงดี แต่ก็ถามไปแบบไม่รู้จะพูดอะไรด้วยแล้ว รู้ด้วยนะว่าถามแล้วดีโด้ต้องโกหกแน่  

แม่   เอ......... ดีโด้ครับ ครบ 10 นาที หรือยังครับ
เปิดช่องให้ลอดเห็น ๆ ที่จริงควรบอกว่า ดีโด้ครับ แม่ได้ยินเสียงนาฬิกา ครบ 10 นาทีแล้ว ถึงเวลาอาบน้ำตามเวลาที่ลูกเลือกแล้วนะครับ ผลคือ ปัญหายืดเยื้อยาวนาน

ดีโด้   ยังครับ

แม่คิดว่าเอาใหม่ หรือเรายังสื่อสารไม่ดีพอ ขอเถอะอีกครั้งน่าจะพูดความจริง  นั่งลงมองตาลูกและพูดว่า
แม่    ยังไม่ครบจริง ๆ เหรอครับ แม่ว่ามันนานมากแล้วนะเนี้ย

ดีโด้ จริง ๆ ครับ (หลบตาด้วยนะ แอบยิ้ม ๆ แบบเจ้าเล่ห์ เค้ารู้แหละว่าเรารู้)

แม่    ดีโด้ครับ มองตาแม่แล้วช่วยตอบอีกครั้งให้แม่ชื่นใจได้ไหมครับ

ดีโด้  ยังไม่ครบจริงๆ (เสียงสูง)

เย้ย................ เอาไงดีเนี้ย คิดๆๆๆๆๆๆๆ

แม่    ดีโด้ครับ แม่ได้ยินเสียงพี่นาฬิกาบอกว่า ครบ 10 นาทีแล้ว สงสัยคนที่ตอบเนี้ยต้องเป็นปีศาจแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ

ดี โด้เค้าเคยบอกว่าเค้ามีปีศาจและเทวดาอยุ่ในตัวของเค้า เราเคยคุยกันว่าเราต้องพยายามให้เทวดาชนะปีศาจอย่าให้ปีศาจออกมาได้ ไม่งั้นปีศาจจะทำให้เรา 2 คนทะเลาะกัน  คุยปูพื้นเรื่องนี้กันมาแล้ว และเค้าก็ยอมรับข้อนี้

ดีโด้  ใช่ ปีศาจ นี่เป็นปีศาจไม่ใช่ดีโด้

แม่   งั้นแม่ขอคุยกับเทวดาในตัวหนูหน่อยได้ไหมครับ

ดีโด้   เทวดาไม่อยากคุยกับแม่ตอนนี้

แม่เลยหลับตาและพูดว่า  คือคิดเองว่าการที่แม่หลับตาอาจทำให้ลูกผ่อนคลายขึ้น ไม่รู้สึกเหมือนโดนคาดคั้น จับผิด

แม่   คุณเทวดาออกมาคุยกับแม่หน่อย แม่ดาวอยากจะคุยด้วย (พูดแบบเสียงดัง ๆ )
ดีโด้ก็เงียบไม่ตอบ ไม่พูดอะไร แม่ก็เลยพูดกับลูกอีกว่า

แม่   ดีโ้ด้ครับ แม่เรียกแล้วแต่เทวดาไม่ตอบแม่ ดีโด้ช่วยแม่เรียกเทวดามาคุยได้ไหมครับ

ดีโด้  คุณเทวดาออกมาคุยกับแม่ดาวหน่อยครับ (ตะโกน)

แม่   คุณเทวดามาหรือยังครับ

ดีโด้  มาแล้ว

แม่   ลืมตา คุณเทวดาครับ ครบ 10 นาทีหรือยังครับ

ดีโด้  (ยิ้มหวาน) ครบแล้วครับ

แม่    ครบแล้ว ต้องทำไงต่อนะ คุณเทวดา

ดีโด้  ไปอาบน้ำครับ แม่นับ 1-3 ให้ดีโด้หน่อย

แม่   1-2-3 

ดีโด้และแม่วิ่งแข่งกันไปห้องน้ำจบแบบลุ้นๆ เหนื่อย ๆ เนอะ แต่ก็ดีกว่าการตะคอก ตวาด ฟาดก้นลูก  

1. หากเกิดเหตุการณ์ประมาณว่า ไม่รักษาคำพูดอีก คิดว่าทำไงดีค่ะ
2. คิดว่าในตอนแรกที่เค้าโกหก เราจะถามยังไงให้เค้าพูดความจริง ไม่โกหก
เอาแบบยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ข้างบนเลยก็ได้ค่ะ
รบกวนช่วยกันระดมความคิดหน่อยนะคะ 
                                ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะTop of Form
·          
Mai Thanasetkorn (ดร.ปิยวลี ธนเศรษฐกร)
ความเห็นไม่มีค่ะ ที่มี มีแต่ความทึ่ง ชื่นชม ภาคภูมิใจ เคารพ นับถือ ดีใจกับน้องดีโด้ ที่มีคุณแม่ที่มีความมุ่งมั่น และเชี่ยวชาญการรักษาสัมพันธ์และ ยังฝึกวินัย ของน้องดีโด้ (โจทย์ยากคนหนึ่งเท่าที่ครูหม่อม ครูใหม่รู้จัก) ได้อย่างชาญฉลาด และบวกตลอด

หากคุณแม่ไหวพริบดีขนาดนี้ ครูใหม่ไม่แปลกใจเลยค่ะถ้าน้องดีโด้ จะขอทดสอบคุณแม่อยู่เรื่อยๆ ;)

หากเกินเหตุการณ์พูดเกินไปหน่อย อีก คุณแม่ไม่ต้อง ทำให้เป็นเรื่องใหญ่นะคะ เด็กวัยนี้จะแต่งเรื่อง และจินตนาการเก่ง หลายๆครั้ง ทำโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย จินตนาการไปเรื่อยๆ เล่าให้ฟังแล้วบอกเราว่าจริง (ตรงนี้แหละค่ะ ถ้าไม่เป็นคุณครูคงไม่เชื่อว่าเด็กพูดไม่จริงเป็นตั้งแต่พูดได้เลยทีเดียว)

ถ้าสังเกต ช่วงนี้น้องเล่าไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องไปบอกเค้านะคะว่า ลูกอย่าโกหก พูดไปว่า จินตนาการของลูกน่าสนใจจัง และยกตัวอย่างนักเขียน นักสร้างหนัง เค้ามาจากการฝึกจินตนาการทั้งนั้นค่ะ ชวนน้องเขียน Journal ไว้เลยค่ะ จะวาดวูปก็ได้ จะเขียนก็ได้ เรากำลังค่อยๆแยกแยะให้เค้าเห็นว่า จินตนาการเป็นสิ่งที่ดี แต่ใช้ให้ถูก และแยกแยะจากเรื่องจริง ระหว่างนี้ เล่าเรื่องราว ของการไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ เสริมไปจ้ะ
Seksan Sek (พ่อเสก คุณพ่อที่น่ารัก รักและใส่ใจลูกมากมาย ขยันสรรหากิจกรรมมากมายมาเล่นกับลูกเสมอ ๆ )
ถ้าเป็นผมนะครับ ผมจะบอกเค้าว่า ลูกได้เวลาต้องไปอาบน้ำแล้วครับ ถ้าเค้ายังติดพัน นั้นพ่อให้เวลา10นาทีต้องปิดTVและไปอาบน้ำ เข็มยาวชี้เลขนี้นะ ถ้าถึงเวลาผมก็บอกให้เค้าปิดและไปอาบน้ำครับ
ในกรณีนี้ผมจะไม่ถามให้เค้ามีช่องในการเอาตัวรอดในคำพูดครับ
เพราะถือว่าได้ทำการตกลงกันแล้ว เค้ามีหน้าที่ต้องทำในสิ่งที่เค้ารับปากครับไม่ใช่การบังคับแต่เป็นการตกลงร่วมกัน
ในกรณีที่งอแงไม่ให้ความร่วมมือ ปิดก็ต้องปิดครับ จะเสียใจก็เสียใจ แต่อย่าให้เค้าแช่ในอารมณ์แบบนั้นนานเกิน ก็ต้องเบี่ยงหรือหักเหให้เค้าคลายความโกธร คลายความเสียใจ เสร็จแล้วก็คุยกันพร้อมๆกับบอกถึงความเป็นห่วงที่เรามีต่อเค้าถ้าเค้าไม่ได้อาบน้ำครับ
สำหรับลูกผมนะครับ ครบเวลาเค้าก็จะทำเสมอเพราะเค้าได้รับปากแล้ว เพียงแต่ลูกเล่นอีกอย่างของผมคือ สร้างกิจกรรมอะไรสนุกๆในห้องน้ำ การอาบน้ำจะไม่เป็นเรื่องน่าเบื่อครับ
:) น้องดีโด้ มาถึงจุดนี้แล้วเหรอคะเนี่ย ไอ้จุดที่จะบอกว่า "เราชอบบังคับ"

อย่าตกใจไปค่ะคุณแม่ อาการนี้จะมีบ้างประปรายในเด็กบางคน (ส่วนมากก็แนวน้องดีโด้นี่ล่ะค่ะ) ตอนน้องมังกรหกขวบ ครูใหม่ครูหม่อม ก็เจอพายุลูกนี้อยู่ระยะหนึ่งค่ะ ก่อนอื่นแบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 2 อย่างนะคะ

1.
บ่นไปทำไป - ในกรณีนี้เพิกเฉยไปค่ะ และขอบคุณน้องดีโด้หลังจากน้องทำตาม และทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยการ นำไปเล่าให้คนสำคัญคนอื่นๆสม่ำเสมอ ว่าเด็กวัยนี้สามารถรักษาสัญญาได้ เก่งงเหลือเชื่อ

2.
บ่นและไม่ทำ โวยวายจริงจัง - รอค่ะ แสดงความเข้าใจว่า เค้าไม่ฟังพี่นาฬิกาเพระอะไร ยังอยากเล่นใช่มั้ยครับ แม่เข้าใจ ตอนคุณแม่ทำอะไรก็ตามสนุกมากกกกก ไม่อยากไปเลย แต่พอพี่นาฬิกาบอก ก็ต้องไป แล้วแม่ก็บอกกับตัวเองว่า เรารีบไปทำจะได้กลับมาเล่นดีกว่า

คุณแม่ยังคงรักษาสัมพันธภาพแม้ว่า น้องจะยัดเยียดความเป็นฝ่ายตรงข้ามให้ อย่าไปนั่งเถียงว่า แน้... ไม่ได้บังคับน้าาา.... เพราะน้องได้ยินตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ ว่าเค้าเลือกเอง แต่มันขัดใจ และเป็นเรานี่แหละคอยกระชับพื้นที่ ให้เค้าตลอด เค้าเลยรู้สึกตามธรรมชาติ (จุดนี้เด็กแต่ละคน มีการตตอบสนองไม่เท่ากัน แต่ทุกคนรู้สึกหมดแหละค่ะ) นึกถึงทุกกฎระเบียบในทุกที่นะคะ เราจะอึดอัดกับกฎแต่ละข้อแตกต่างกัน ไม่เท่ากัน เช่นบางคน โอเคที่จะใส่ยูนิฟอม แต่อึดอัดที่ห้ามใช้โทรศัพท์ ในขณะที่บางคน เป็นว่าโทรศัพท์อ่ะไม่ใช้ได้. แต่ชุดเนี่ยโดนบังคับตั้งแต่เป็นนักเรียน พอซะทีเหอะทำงานแล้วนะ >_<

จึงไม่แปลก ถ้าน้องจะมีงอแงบ้าง แต่อย่าลืมการ เฟิร์มแบบอ่อนๆก็มีเราเน้นไปที่ ใส่ความเห็นใจ และภาคภูมิใจ และเน้นทีระยะยาวให้ลูกของเรา ฝึกฝนหักห้ามความอยาก ที่จะตามใจตัวเอง การรักษาเวลา การเคารพและรับผิดชอบการตัดสินใจของตนเอง บางคนฝึกไม่มาก บางคนฝึกนาน บางคนต่อต้านนอกใจ บางคนต่อต้านในใจ เพราะแบบนี้แหละค่ะ เค้าถึงน่ารักน่าอยู่ด้วย
อังคณา มาศรังสรรค์ (ครูณา รู้จักจากที่ตัวเองได้ดูรายการ ครอบครัวเดียวกัน ชื่นชมและชื่นชอบมากกับแนวคิดต่าง ๆ เคยลงทะเบียนจะไปอบรมด้วยแล้ว เกิดภาวะน้ำท่วมเลยอดไป และปัจจุบันก็ยังไม่มีโอกาสได้ขอความรู้กับครูณาจริง ๆ สักที)     
ถ้าเป็นณา (คิดว่า ก็คงต้องช่วยกันหาสไตล์ด้วยกันให้พบเส้นทางที่เหมาะกับตนเองค่ะ เพราะแต่ละแบบก็เป็นตามวิถีของตน) ณาจะเขียนใส่กระดาษว่า "ครบ 10 นาทีแล้ว แม่ไปนอนแล้วนะจ๊ะ บ้ายบาย"
ไม่แน่ใจว่าน้องอ่านหนังสือได้ ไหม ถ้าไม่ได้ ก็ดีอีกเช่นกัน เพราะเขาจะงง ๆ และวิ่งมาถามว่า แม่นี่อะไร เขียนว่า อะไร เราก็อ่านให้เขาฟัง และบอกว่า ลูกบอกสิบนาที แม่ก็เลยมาเตือนจ้ะ
บาง ที ณาก็รู้สึกว่า หากเราพยายามที่จะหลอกล่อ เราจะรู้สึกเหนื่อยเกินไป เพราะต้องคอยหามุขมาตลอด แต่เราจะสื่อสารอย่างไร ที่ตรงไปตรงมาแต่อ่อนโยน ให้เรียนรู้กันง่าย ๆ เสียใจก็บอกว่า แม่รู้สึกเสียใจและผิดหวัง หากลูกแม่บอกสิบนาที แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ใช่

ความคิดเห็นแม่ดาวเอง
        ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ครูใหม่ ช่วงนี้คุณแม่รู้สึกเหนื่อยๆๆๆ มากค่ะ หลัง ๆ เค้าออกอาการเยอะ ต่อต้านเรา ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นค่อยจะเป็น เลยสับสน พ่อเค้าก็ทำให้เราใจเสียพูดประมาณว่า "กับลูกเราแบบเนี้ย มันไม่ได้ผล" หรือบางทีก็ว่า "เอ้าจัดการซิ เค้าไม่มีความสามารถมากพอ"  มันเหมือนเราต้องแบกรับทั้งความรู้สิกผิดต่อลูก และสามีไว้ ขอบคุณครูใหม่มากๆๆๆๆ จริง ๆ ค่ะ ที่เข้ามาช่วยเติมพลังใจให้ อีกยังช่วยแนะแนวทางให้อีกด้วย

        การสื่อสารแบบอ่อนโยนตรงไปตรงมาก็ทำแล้วค่ะ เช่น ดีโด้ครับบ้านเรารกมากเลย แม่เห็นแล้วเหนื่อย แม่อยากให้ดีโด้ช่วยเก็บของเล่นได้ไหมครับ ฯลฯ การสื่อสารประมาณนี้ก็ทำค่ะ ทำตลอด แต่บางที ก็จะมีคำตอบเช่น ก็ดีโด้ว่าไม่รก หรือ แม่เหนื่อยก็เหนื่อยไปซิ หรือถ้าเราบอกเราเสียใจ เค้าก็จะบอก แม่เสียใจก็ดี เดี๋ยวจะทำให้แม่เสียใจมากกว่าเดิมอีก ต้องบอกก่อนนะคะว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เค้าจะพูด แต่ก็มีบ่อยเหมือนกัน เพลียค่ะ

        นี่เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่แม่ดาวเหนื่อย ๆ  เอามาให้อ่านคิดว่าคิดว่าคงมีประโยชน์บ้างแหละเนอะ  อยากบอกทุก ๆ ท่านว่า หากเราไม่ท้อ เรายังเชื่อมั่น และทำยังสานต่อแนวทางการเลี้ยงลูกด้วยการสร้างวินัยเชิงบวกแบบนี้ไปเรื่อย    สักวันเราต้องเห็นผลที่ดีของวิธีนี้แน่    แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพื้นนิสัยของลูกเรา  นิสัยพ่อแม่  แนวทางการเลี้ยงดูของแต่ละคนในครอบครัวเหมือนหรือต่าง ฯลฯ 
        ยืนยันอีกครั้งว่ายังไงซะ แม่ดาวก็ยังจะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางการเลี้ยวลูกแบบนี้ค่ะ  ปัญหามันต้องมีมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่เจอแล้วอย่าท้อ ก็ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้มนี่เนอะ ใช่ไหมค่ะ