วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

10 คำพูดดี ๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อกับแม่

        เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาส ไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวความการให้ความรู้ในการเลี้ยงลูกอีก 1 งาน ด้วยชื่องานและคำโปรย (ข้อมูลเชิญชวนร่วมงาน) ในใบที่ได้อ่านเร้าใจอยากไปมาก  แต่ก็ตะหงิด ๆ ใจอยู่ว่า น่าจะลงเอยเช่นนี้..........ฮ่า ๆๆ ทราบข่าวจากผู้ปกครองท่านนึงที่สนิทกัน เพราะทางทีมงานคงจะไปแจกตามโรงเรียนต่าง ๆ เป็นกิจกรรมฟรีค่ะ  แต่ที่ผ่านมาสำหรับตัวแม่ดาวเอง ส่วนมากกิจกรรมแนวนี้เน้นให้ความรู้เป็นหลัก

        แต่กิจกรรมนี้ แม่ดาวว่าเขาขายสินค้าเป็นหลักนะคะ ฮ่าๆๆ  ด้วยความที่คิดไว้ในใจอยู่แล้ว และไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไร  เพราะเห็นมีกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ด้วยดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ เนอะ อย่างน้อยที่สุดลูกก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเข้าสังคมกับเด็กคนอื่นๆ นอกจากเพื่อนที่โรงเรียนและครอบครัวตัวเอง

        เอาเข้าจริง ไม่ยอมเข้ากลุ่ม จะอยู่กับแม่อย่างเดียว  แต่ทุกอย่างแม่ดาวก็อ่านเกมส์ออกตั้งแต่แรกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ ก็เลยคุยปูพื้นกันมาแล้วว่า “แม่ไม่มีปัญหาหากลูกจะอยู่กับแม่” และบอกถึงวิธีการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม บอกเขาว่างานนี้อันที่จริงเขาไม่อยากให้เด็กอยู่ด้วยเพราะอะไร   และหากเขาผิดข้อตกลงที่คุยกันจะเกิดอะไรขึ้น พูดแบบไม่ได้ขู่ลูกนะคะ พูดแบบพูดคุยกันปกติ   

        ก่อนเข้าร่วมฟัง เขาก็จะมีการขายสินค้า สินค้าเขาแม่ดาวเคยอยากได้นะ แต่แพงเกินไปสำหรับตัวเองนะคะ เกือบครึ่งแสน แนะ แต่เขาก็ให้ผ่อนได้นะคะ   เป็นหนังสือเสียง “หนังสือพูดได้” ที่เขาจะมีปากกาไปจิ้ม แล้วจะมีลำโพงอีกตัวแยกจากปากกาเลย เคยเกือบ ๆ จะซื้อเหมือนกัน แต่ก็มาคิดว่า “แพงเกินไป” และตัวเองก็มีเวลามากพอที่จะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ถ้าลูกยอมฟังนะคะ   

        ส่วนอีกใจสนใจอยากจะได้ คือตัวเองก็มีภาระกิจประจำคือการทำกับข้าว ทำงานบ้านทั้งหลาย บางอย่างเราก็หลีกเลี่ยงที่จะทำไม่ได้ เวลาเขาอยู่เราจะทำงานบ้านให้น้อยที่สุด งานไหนรอได้รอไปก่อน  ลูกแม่ดาวเป็นเด็กที่ต้องอยู่กับผู้คนตลอดเวลา ไม่ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบเล่นคนเดียว หลัง ๆ นี่ดีขึ้นตั้งแต่เข้าเรียน เล่นคนเดียวได้นานขึ้น  ในความคิดชั่ววูบ นี่อาจจะเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการเบี่ยงเบนความสนใจจากแม่ชั่วขณะ  อยากลงทุนนะคะ แต่กลัวได้ไม่คุ้มเสีย แอบงก อิอิ

        การดูทีวี ก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยแม่ดาวได้เยอะ แต่ต้องมีกำหนดเวลาเช่น 10-20 นาที แต่ก็ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ บางคนอาจคิดในใจว่า “เอ....แล้วทำไมไม่ให้ลูกทำด้วย คือบางอย่างเขาก็ช่วยไม่ได้ และบางครั้งเขาก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว เบื่อแล้วไม่อยากทำ คือทำบ่อยแล้วฮ่าๆๆ แต่ไม่บังคับนะคะ  เราจะแบ่งแยกชัดเจนว่าอันนี้คืองานของเราเป็นความรับผิดชอบของเรา ส่วนหน้าที่ของเขาสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบคืออะไรบ้าง  หากใครทำงานของตัวเองเสร็จแล้วมาช่วยอีกฝ่ายนั้นถือว่าเป็นน้ำใจของคนในครอบครัว แต่การช่วยเหลือไม่ใช่หน้าที่ แม่ดาวไม่บังคับค่ะ อยากให้เขาช่วยด้วยใจ ทำจากใจ ไม่ใช่ทำตามแม่สั่ง ซึ่งก็คุย ๆ กันไว้แล้วว่าหากโตขึ้นในแต่ละปี ก็จะมีหน้าที่ ๆ จะต้องช่วยแบ่งเบาในครอบครัวมากขึ้น  

        ด้วยวัย 5 ขวบ เท่าที่เขาทำทุกวันนี้ก็ดีมากแล้วนะคะ สำหรับแม่ดาว แค่เขาช่วยเหลือตัวเองในเรื่องส่วนตัว เช่น ทำความสะอาดร่างกาย  ทานข้าว เก็บจานของตัวเอง ทำการบ้าน เรียนหนังสือ เล่นแล้วเก็บของเล่นเข้าที่ ฯ และงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ช่วยครอบครัว คือ การเติมน้ำในขวดให้ทุก ๆ คนในบ้านได้ดื่มกัน  เขาก็สามารถทำได้ดีในระดับที่แม่ดาวพอใจค่ะ    หนังสือเสียงแบบนี้น่าสนใจมาก มันดึงดูดลูกได้มากนะคะ ในความคิดแรกๆ แต่ด้วยราคาที่สูงมากทำให้ต้องกลับมาคิดวิเคราห์ดี ๆ ว่าจะซื้อ หรือไม่ซื้อดี  สุดท้ายคือไม่ซื้อค่ะ ด้วยเหตุผลที่บอกข้างต้นประกอบกับด้วยนิสัยลูกแม่ดาวเป็นเด็กขี้เบื่อง่ายมาก หากเป็นพวกแนว ๆ นี้เล่นไม่กี่ทีก็หมดความสนใจ ซื้อมาใช้ไม่คุ้ม เคยมีซื้อพวกหนังสืออารมณ์ประมาณนี้  แรก ๆ ก็เห่อ  หลัง ๆ ก็วางทิ้งไว้   ชวนเล่นก็ไม่เอา มันหมดความสนใจ ไม่เร้าใจเหมือนตอนแรก   จะเรียกว่าสมาธิสั้นไหม ก็ไม่นะคะ เพราะหากเขาเล่น หรือทำให้สิ่งที่เขาสนใจมาก ๆ ชอบมาก ๆ ก็จะนิ่งได้นาน เช่นเล่นต่อตัว เล่นทหาร ปั้นดินน้ำมัน เคยถามคุณหมอแล้วด้วย

        ส่วนพวกกิจกรรมการพัฒนาด้านวิชาการต่าง ๆ แม่ดาวก็แอบสอนในการเล่นบ่อย ๆ แต่เขาฉลาดพอรู้ตัวว่าถูกสอนก็จะไม่เอาเลย  ต้องเนียน ๆ ยากค่ะ  พยายามปลูกฝังเรื่องการรักการอ่านก็ทำมาตลอด ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นผลว่าเขาจะรักการอ่านแต่อย่างใด มีแค่ตอนจะนอนแค่นั้นที่จะวิ่งเข้าหาหนังสือนิทาน  กิจกรรมระหว่างวันสำหรับลูกแม่ดาวจะวิ่งเล่น หรือไม่ก็นั่งเล่นพวกตัวต่อ การ์ตูนย์ทหาร ยอดมนุษย์ซะส่วนใหญ่  พวกวาดรูปเล่น ทำสิ่งประดิษฐ์ไม่ค่อยจะได้ทำ เขาไม่ค่อยจะชอบ ชวนทำทีไรก็จะเบื่อไม่สนุก ชอบที่สุดคือกิจกรรมกลางแจ้ง วิ่งเล่นใช้พลังพวกนั้น ลูกแม่ดาวหากให้จัดประเภทเอง เป็นพวกสมองดี แต่ไม่ชอบเรียน หากอะไรที่เป็นความรู้ ต้องสอนผ่านการเล่นตลอด ๆ ถึงจะเข้าสมอง ไม่งั้นก็จะไม่รับเลย มหัศจรรย์สมองเด็กจริง ๆ  

        นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของแม่ดาวที่เข้าฟังบรรยายแบบมีลูกอยู่ด้วย  อันที่จริงในความคิดตัวเองไม่ควรให้ลูกฟังด้วย เพราะเขาจะรู้กลเม็ดเคล็ดลับ วิชาที่เราใช้จัดการปราบพฤติกรรมของเขา ไม่ควรอย่างยิ่งค่ะ แต่โชคดีที่งานนี้ไม่มีอะไรมาก และเป็นกิจกรรมสนุก ๆ  บรรยายประกอบการแสดง  พูด ร้องเพลง เต้นโชว์ ฮ่าๆๆๆ ขำ ๆ กันไป 

        จบแบบค่อนข้างจะดี  คือมีงอแงบ้าง เบี้ยวบ้าง แต่แม่ดาวไม่โกรธเลยนะ เข้าใจเพราะตอนนั้นเขาง่วงนอนด้วย คืนก่อนไปนอนดึกและตื่นเช้าตามแม่  ตกบ่ายเลยเกิดอาการอยากกลับไปนอนที่บ้าน คิดว่าคงไม่ได้สร้างความวุ่นวายในกับงานนะคะ เพราะเขาก็เบี้ยวแบบเรียบร้อยมากๆๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น หากปกติง่วงจัดแบบนี้จะแบบ “ผีเข้า” กันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ

                เอ้า....เข้าเรื่องสักที   10 คำพูดดี ๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อกับแม่   คัดลอกหัวข้อมาจากใบความรู้ที่เขาแจกมาเลยนะคะ ส่วนคำอธิบายเนี้ย แม่ดาวขยายความต่อเอง โดยใช้ความคิดเห็นจากที่รู้ ๆ มา

       
1.     พ่อกับแม่ “รัก” ลูกมากนะ 
        การบอกลูกซ้ ำๆ ว่า เรา “รัก” เขาเป็นการตอกย้ำให้เขารับรู้ได้ชัดเจน แต่ควรทำประกอบกับพฤติกรรมของพ่อแม่ที่สอดคล้องกับคำพูดด้วยนะคะ  ลูกจะรู้สึกว่า “ตัวเองเป็นที่รัก”  “เป็นคนที่สำคัญ” กับพ่อแม่ ความรักของเราจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยหลาย ๆ อย่างให้ลูกได้  วัคซีนความรักนี้ แม่ดาวได้รับด้านคำพูดจากพ่อแม่เป็นศูนย์ หรือจำไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่รับรู้ได้จากการกระทำของท่านค่ะ  บางทีท่านพูดอย่าง ท่านทำสวนทางกับสิ่งที่ท่านคิด เรียกว่าปากร้าย แต่ใจดี ทำนองนั้น  แต่โชคดีที่แม่ดาวเข้าใจท่าน เลยเป็นคนไม่มีปัญหามากนัก ผิดกับสมาชิกอีก 2 คน ในครอบครัว ที่ตีความหมาย ไม่เข้าถึงความรักที่พ่อแม่มอบให้ เลยกลายเป็น “คนมีปัญหา”   จำไว้นะคะ   “รักนะ...ต้องแสดงออก  ต้องให้พูดบอกออกไป อย่ารักเงียบ อ้ำอึ้งนะคะ”

2.     พ่อกับแม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูกมากนะ
        นี่เป็นอีกคำพูดที่เราควรพูดกับลูก  เขาก็จะรับรู้ได้ว่า เขามีค่า เขาสำคัญ เหล่านี้สร้างความรู้สึกทีดีให้ลูกมาก ๆ ค่ะ  เช่น แม่ภูมิใจในตัวลูกชายแม่จริง ๆ ที่ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง   พูดแล้วต้องบอกด้วยว่า เราภูมิใจในตัวเขาเรื่องอะไร ระบุพฤติกรรมที่เราภูมิใจเข้าไปด้วย เขาก็จะได้มีแรงกระตุ้นทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ นะคะ

3.     พ่อกับแม่ “สนับสนุน” ลูกเสมอนะ
        เอ....คำนี้ไม่เคยใช้นะคะ สำหรับแม่ดาว  แต่คิดว่าเราใช้การกระทำแทนคำนี้ไปแล้ว เช่น หากเขาตัดสินใจว่าอยากจะทำเรื่องอะไรที่ดี ที่ถูก เช่น เขาขอไปเรียนว่ายน้ำเอง  โดยที่เราไม่ได้ยัดเยียด เราก็จะบอกเขาว่า “แม่เห็นด้วยครับ  การว่ายน้ำเนี้ย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายได้ทุกส่วน อีกทั้งช่วยชีวิตลูกชายแม่ได้ด้วยหากตกน้ำ”  และแม่ดาวจะตบท้ายด้วยการชื่นชมต่อว่า “ไหน ๆ ขอจุ๊บสมองใส ๆ ของลูกชายคนดีของแม่หน่อยซิ ฉลาดเลือกจริง ๆ ที่จะเรียนว่ายน้ำ”   เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะบ้ายอเป็นทุนค่ะ  จริง ๆ ผู้ใหญ่ก็เป็นนะ หากยิ่งเราสนับสนุนและชื่นชมแบบนี้  ยังทำให้เขารับรู้ว่า “เขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี เขาสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีในชีวิตให้ตัวเองได้”  ส่งเสริมเรื่องการให้ลูกคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง ตัวนี้จะทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นในความคิดดี ๆ มากขึ้น ถึงเขาเป็นเด็ก เขาก็คิดดีได้ และภูมิใจที่พ่อแม่ยอมรับด้วย

4.     พ่อกับแม่  “เชื่อมั่น” ในตัวลูกเสมอนะ
        คำนี้ “เชื่อมั่น” ก็เคยใช่ค่ะ   บางครั้งใช้เพื่อเตือนสตินะคะ เวลาเขาคิดจะตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มีแนวโน้มว่าจะตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ไม่ดี เช่น เขาเห็นเพื่อนที่สนิทกันทานน้ำอัดลม แม่ดาวก็จะพูดประมาณว่า “ดีโด้ตัดสินใจเองได้เลยครับว่าลูกจะเลือกอะไร แม่เชื่อมั่นในความคิดของลูก ลูกแม่ฉลาดคิด ฉลาดเลือกอยู่แล้วเนอะ”  และผลคือ เขาตัดสินใจเลือกน้ำส้มแบบไม่อัดลมแทนค่า อิอิ

5.     พ่อกับแม่ “ขอโทษ” 
        ข้อนี้หากเป็นก่อนที่จะได้เรียนรู้เทคนิคการเลี้ยงลูกจากครูใหม่ครูหม่อมนั้น ไม่ค่อยจะได้พูดเลยค่ะ แต่ก็มีพูดบ้าง พอได้เรียนรู้แล้วว่ามันสำคัญมาก หากเราทำผิดแล้วเราขอโทษลูก ลูกก็จะเรียนรู้และเลียนแบบจากที่เราทำ เช่น บางครั้งเราก็มีอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ไม่สบายใจบ้าง  ลูกก็เป็นปกติที่เป็นคือเล่น ร่าเริงมากๆๆๆ  แต่เราหงุดหงิดอยู่ ก็มีแอบบ่น แอบตาเขียวบ้าง  พอรู้สึกตัวโดยลูกนี้แหละค่ะ ตัวสติที่ดีมาก  เขาจะบอกว่า “แม่ครับวันนี้แม่เป็นอะไร ทำไมหน้าบึ้งจัง บ่นดีโด้ตลอดเลย”  แง่วๆ  ได้สติและบอกลูกค่ะว่า  “แม่ขอโทษนะครับ  วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย เหนื่อย ๆ ด้วยทำงานบ้านเยอะมาก เลยเผลอหงุดหงิด บ่น ๆ ทำหน้าบึ้งในหนู”  ดีโด้ยิ้ม “ไม่เป็นไรครับแม่ ดีโด้ก็ขอโทษแม่ด้วยนะครับ ดีโด้ซนเยอะไปหน่อย ไม่รู้ว่าแม่ไม่ค่อยสบาย”   บทสนทนาพวกนี้ อ่านแล้วคุณอาจไม่เชื่อว่าเด็ก 5 ขวบพูดแบบนี้
        ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ด้วยการลองนำไปทำบ่อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง และทำให้ถูกวิธีนะคะ  คำพูดขอโทษที่ออกมาจากปากลูกจะไม่ใช่แค่ผ่านกล่องเสียงออกมาจากปากเท่านั้น แต่มันออกมาจากใจเขาเลยจริง ๆ   ไม่รู้ใครเป็นไหม เวลาที่ลูกทำผิดแล้วสั่งให้ “ขอโทษแม่เดี๋ยวนี้”  หรือ “ลูกครับ  ลูกต้องขอโทษแม่ด้วยนะครับ ลูกทำผิด”   แม่ดาวเคยทำค่ะ และผลที่ได้มันไม่ได้เท่าที่ปัจจุบันแม่ดาวได้รับประสิทธิภาพของพลังคำพูดขอโทษมันจริงต่างกันมาก  อันนี้ต้องลองเองนะคะ  และต้องทำไปสักระยะนะคะ บางคนเห็นผลเร็ว บางคนเห็นผลช้า แล้วแต่นิสัยเด็กคนนั้นและการเลี้ยงดูของเราด้วย  ลูกแม่ดาวจัดประเภท เห็นผลช้า ค่ะ  แต่เห็นผลนะ จริง ๆ
        สำหรับบางคนการให้พูด “ขอโทษ” กับลูกคงยาก เพราะคิดว่าทำไมเราต้องขอโทษลูกด้วย  ลองคิดดี ๆ นะคะ คิดใหม่ ทำใหม่ได้เสมอค่า ไม่สายเกินไป และไม่ยากเกินไป หากเราจะทำเนอะ

6.     ลูกเป็น “เด็กดี” ของพ่อกับแม่
        ขอนี้ผ่านดีกว่าค่ะ ธรรมดาเนอะ

7.     แม้เลิกกัน แต่ลูกไม่ต้องเลือกรัก
        อันนี้สำหรับครอบครัวที่ประสบปัญหามรสุมชีวิต ต้องแยกจากกัน แบ่งเป็น 2 ฝ่าย เป็นการบอกให้ลูกรู้ว่า ลูกไม่ต้องลำบากใจไม่ว่าเขาจะอยู่กับใคร ลูกก็ยังรักพ่อและแม่ได้เหมือนเดิมและเท่ากันได้  ไม่ต้องเลือกฝ่ายให้ลำบากใจ และอยากเติมต่อไปอีกนิดว่า อยากให้เขารับรู้ว่า ถึงพ่อและแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พวกเราก็ยังเป็นพ่อและแม่ของลูกเสมอ ยังรักและห่วงใยลูกเหมือนเดิม  ข้อนี้โจทย์หินเนอะ  ปกติหากแยกจากกันส่วนมากก็ใจร้าวกันทั้งครอบครัว ยังไงซะมันต้องมีแผลแหละค่ะ  ส่วนการเยียวยาก็ขึ้นกับคุณว่าคุณรักใครมากกว่ากัน “ตัวเอง” หรือ “ลูก”  หากเลือกลูกแม่ดาวคิดว่าไม่น่ามีปัญหา

        มีหลายคนบอกว่ารักลูก แต่ที่เห็น สิ่งที่ทำ มันเพื่อตัวเองทั้งนั้น คำพูดกับการกระทำสวนทางกันมาก  คิดดี ๆ นะคะ  สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำเพื่อใครกันแน่   มีเรื่องหนึ่งที่ได้ฟังแล้วก็ปวดใจแทน พ่อแม่เลิกกัน ลูกไปอยู่กับพ่อ ด้วยเหตุผลว่าแม่มีเงินไม่มากพอที่จะดูแลลูกได้ แต่คนเป็นแม่นั้นมีความสามารถเกินพอที่จะเลี้ยงใจลูกได้   แยกกัน พ่อเลี้ยงแต่ร่างกายส่วนเดียว  และกีดกันคนเลี้ยงหัวใจ คือแม่  ไม่เพียงไม่เลี้ยงใจ แต่ยังทำร้ายหัวใจลูก โดยสั่งห้ามลูกว่า “ไม่ให้ติดต่อกับแม่อีก”  เด็กหญิงวัยสักประมาณ 11 ขวบได้มั้งค่ะ อีกคนเด็กชายวัย  7 ขวบ  น่าสงสารจริง ๆ  แต่สุดท้ายลูกก็แอบโทร.หาแม่ตลอด ๆ ลองคิดถึงหัวใจลูกนะคะ  โดนพ่อสั่งห้าม เขาจะอึดอัด ลำบากใจ เหนื่อยใจ แค่ไหน ที่ต้องแอบติดต่อแม่แบบลับ ๆ เฮ้อ....    

        เรื่องแบบนี้พูดลำบากนะคะ เราก็ไม่ได้เป็นเขา  เขาก็ไม่ใช่ตัวเรา ความคิดของแต่ละคนต่างกัน บางครั้งเราก็แค่ฟังเขาระบาย แต่สิ่งที่ช่วยได้ไม่ใช่เรา แต่เป็นเขาที่ต้องช่วยตัวเอง เรานำเสนอได้ ส่วนเขาจะนำใช้ไหมอีกเรื่องเนอะ  ทำได้แค่อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แหละค่ะ

8.     พ่อกับแม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น
        เรื่องนี้เอาแบบสุดโต่งเลยนะคะ  เคยมีคนถามแม่ดาวว่า หากลูกจากชายกลายเป็นสาวจะรับได้ไหม เพราะปัจจุบันเป็นกันเยอะมากๆๆ     แม่ดาวยิ้ม ๆ ตอบไปว่า “รับได้ ซิ  คนเราเลือกเกิดไม่ได้นี่ แต่เลือกที่จะเป็นได้”  แม่ดาวพูดจริงนะคะ  แม่ดาวยอมรับลูกได้จริง ๆ  ไม่ได้พูดขำ ๆ นะ  เราบังคับใจใครได้ไหม  แม่ดาวทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยบังคับจิตใจ ใช้จูงใจซะมากกว่า  แต่ก็มีนะคะบางอย่างก็มีบังคับฮ่าๆๆ แต่ไม่บ่อยหรอก

        หลาย ๆ เรื่อง หากไม่นับเรื่องนี้ เช่นลูกเกิดมาตัวดำ ขี่เหร่ นอกคอกจากพี่น้องคนอื่น แล้วเราไม่ยอมรับ เกิดอะไรขึ้นคงไม่ต้องบอกมั้ง เอาสักตัวอย่างนะคะ  มีคนรู้จักของแม่ดาวคนนึง เขามีลูกสาว 2 คน คนโตตัวคล้ำมาก หน้าตาก็ธรรมดา ส่วนคนเล็กตัวขาวหน้าตาอย่างกับตุ๊กตา น่ารักมาก ๆ  ใคร ๆ เห็นก็มักจะชมแต่คนน้องและค่อนแคะคนพี่ตลอด ๆ  ส่วนพ่อแม่เองก็จำอวยกับลูกคนเล็กมาก ๆ ตามใจไปซะทุกเรื่อง  แตกต่างไม่ใช่แค่หน้าตาผิวพรรณนะคะ  การแต่งตัวเสื้อผ้าก็ต่างกันมากทั้ง ๆ ที่ครอบครัวเดียวกัน พี่น้องกัน คนพี่จะแต่งตัวเก่า ๆ เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ส่วนคนน้องจะแต่งตัวแบบตุ๊กตายังไงยังงั้น ผลลัพท์คือคนพี่ใจแตก หนีตามผู้ชายไปตั้งแต่วัยน่าจะมัธยมต้น  ส่วนคนน้องก็มีนิสัยไม่ดีเลยก้าวราวมาก ๆ ด้วยความที่โดนตามใจจนเคยตัว   

        ทุก ๆ คนลุมประณามประมาณว่า “ลูกเลว” ใจแตก อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดีทุกอย่าง (จริงหรือ)  เด็กทำไปมันต้องมีสาเหตุแน่นอนค่ะ หากเขาย้อนกลับมามองตัวเองสักนิด เขาจะคิดได้  พ่อแม่ส่วนใหญ่มักไม่เคยจะยอมรับผิด มองไม่เห็นความผิดของตัวเอง  เห็นแต่ผลลัพท์ที่ลูกทำไม่ดี แต่ไม่คิดดี ๆ ถึงเหตุปัจจัย 
        ไม่รู้ไปกระทบโดนใจใครหรือเปล่าน้อ  หากใครอ่านแล้วโกรธ ขุ่นเคืองใจ แม่ดาวต้องขออภัยนะคะ  แต่มันเรื่องจริง ๆ แม่ดาวมีเจตนาที่ดีจริง ๆ อยากจะควักหัวใจเด็ก ๆ ออกมาให้พ่อแม่เห็นจริง ๆ  เขาทำไปเพราะเขาขาดความรัก เขาต้องการความรัก เขาโหยหาความรัก เมื่อเขารู้สึกว่าที่บ้านมีให้เขาไม่มากพอ โดยที่เราก็ละเลยจุดนี้ไป เขาก็ต้องไปเสาะแสวงหาความรักจากคนอื่น ๆ  ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้  ชวนทุก ๆ คนมาตรวจสอบตัวเองกันนะคะ ว่าเรา “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็นกันหรือยัง ยอมรับได้จริง ๆ ไหม เช่นแม่ดาวยอมรับได้กับหลาย ๆ เรื่องลูกแม่ดาวได้ ไม่ว่าจะในเรื่องไม่ดีก็ตาม แต่ยอมรับได้แล้ว ต้องเรียนรู้ต่อไปนะคะ ว่าเราจะช่วยเขาแก้ไขเรื่องไม่ดีได้ยังไง มันต้องมีสติและปัญญาประกอบกันเนอะ

9.     พ่อกับแม่ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะลูก”
        บางทีการที่เราทำอะไร พูดอะไรไป ลูกอาจตีความหมายผิดไปจากสิ่งที่เราจะสื่อสารออกไป  แล้วถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงค่ะ  ว่าลูกเข้าใจผิดหรือไม่  ก็ฟังจากคำพูดของเขาไงค่ะ  สิ่งที่เขาพูดมันก็สื่อสารมาจากสิ่งที่เขาคิดโดยส่วนใหญ่ บางทีเขาก็ไม่พูดตรง ๆ หลอกค่ะ เราต้องมีเสาสัญญาณรับคลื่นพลังงานพิเศษนี้ ซึ่งเชื่อว่าพ่อแม่ที่ใกล้ชิดลูกส่วนใหญ่จะรับเรด้านี้ได้แน่ ๆ 
        หากรู้ว่าเขาเข้าใจผิด เราก็ต้องใช้ประโยคนี้บอกเขาค่ะ  เช่น “แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับลูก  แม่หมายถึง.............................” บอกไปว่าเราคิดยังไง  
        ดังนั้นหากไม่อยากใช้ประโยคนี้บ่อย ๆ เราต้องชัดเจนค่ะ ทั้งคำพูดและการกระทำ ให้ชัดเจนกันไปเลย ไม่แน่ใจให้ถามว่า ลูกเลยว่า ที่แม่พูด ลูกเข้าใจว่ายังไงครับ แม่ขอฟังหน่อยนะ แม่อยากรู้ว่าเราเข้าใจตรงกันไหมน้อ ประมาณนี้ค่ะ เคยใช้เช่นกัน

10.    ลูกคือ “คนสำคัญ” ของพ่อกับแม่นะ
         ข้อนี้ก็ผ่านนะคะ  ก็คล้าย ๆ กับหลาย ๆ ข้อข้างบนเนอะ

        จบค่า ใครอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร  ส่งข้อความมาให้อ่านกันบ้างนะคะ  อยากทราบความคิดเห็นจากคนอื่น ๆ บ้างค่า