วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

มาเล่นบทคุณแม่ขี้สงสัยกันบ้างเถอะ





        อันนี้เป็นการรวบรวมที่สิ่งที่แม่ดาวถามลูก ที่เคยพิมพ์ไว้บน Facebook อาจไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็คิดว่าเอามาเก็บไว้ในนี้ น่าจะสะดวกหาอ่านง่ายกว่าหรือเปล่าค่ะ ก็ไม่แน่ใจ
        มีใครเคยตั้งคำถามแบบนี้กับลูกไหมค่ะ    "ลูกเรียนหนังสือเพื่ออะไรค่ะ"   ถามลูกแล้ว รอฟังคำตอบ คุณจะได้ฟังความคิดเห็นอีกมุมมองที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวเราที่เป็นคนปูพื้นความคิดนี้ให้เขา อย่างที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจเช่น
คำตอบ เช่น เรียนเพราะมันเป็นหน้าที่/ความรับผิดชอบ, เรียนเพราะอยากจะมีเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ ๆ ไว้ให้แม่อยู่ หรือ หนูก็ไม่รู้อ่ะ ว่าเรียนไปทำไม ก็แม่บอกให้หนูเรียน
        คุณรู้สึกยังไงกับคำตอบนพวกนี้ ดีใจ หากลูกบอกว่านี่คือ ความรับผิชอบ  ดีใจเพราะลูกรักเราจะซื้อบ้านให้เรา อยู่ เสียใจ ที่บอกว่าไม่รู้ ฯลฯ แต่ลึก ๆ ลองคิดอีกที การเรียน คำตอบควรจะเป็นเพื่อความรู้ หากเด็กเรียนเพราะอยากรู้ หากเขามองเป้าหมายการเรียนแบบนี้คิดว่าดีกว่าไหม เขาจะสนในใฝ่รู้ มากกว่าเพราะมันคือหน้าที่และความรับผิดชอบ ไม่รู้นะคะ ลองคิดดูเล่น ๆ
      หาก ตอบไม่รู้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ โยนคำถามทิ้งไว้ในใจเขาว่า "ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แล้วคิดออกเมื่อไหร่มาบอกแม่นะค่ะ แม่จะรอฟังคำตอบของลูกนะ อยากรู้จริง ๆ ว่าลูกอยากจะเป็นอะไรน้า"  พูดแบบนี้จะทำให้เขาฉุกคิด และอยากจะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง และรู้ว่าคุณแม่ที่รักก็กำลังรอฟังคำตอบของลูกอยู่
        ลองติดตามถามไปเรื่อย ๆ แต่แบบไม่กดดันนะคะ ถามตอนอารมณ์ดี ๆ ทั้งพ่อและลูกว่า "เอ....วันนี้ มีคำตอบให้แม่หรือยังนะคะ"  “แม่นะตอนเด็ก ๆ มีอาชีพในฝันตอนเด็ก ๆ คือ......." เล่าไป คุยสบาย ๆ เป็นการสร้างบทสนทนาเพื่อให้เขาอยากจะมีส่วนร่วมในการพูดคุยเรื่องอาชีพใน อนาคตของเขา เป็นการให้เขาเริ่มคิดหาเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
        แต่แค่ฝึกการคิดนะคะ แม่ดาวเองก็ไม่ได้ยึดติดเลยว่าเขาจะต้องเป็นแบบนั้น เด็ก ๆ เขาสามารถเปลี่ยนความคิดตัวเองไปเรื่อยๆ แหละค่า เหมือนหลานแม่ดาว ถามตอนเด็ก ๆ สัก 3 ขวบได้ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร หลานตอบ "อยากเป็นหมา" แล้วเห่าเสียงหมาใส่ ต่อมาโตอีกสัก 4 ขวบ โตขึ้นอยากเป็นอะไร หลานตอบ "อยากเป็นคนสวย อยากเป็นดารา" ต่อมาสัก 5 ขวบ คำถามเดิม หลานตอบ "อยากเป็นคุณหมอ" และปัจจุบันห่างกันมากแล้วค่ะ ไม่ค่อยได้เจอ เอาไว้ถ้าเจอหลานสาวคนนี้อีกทีจะไปถามเขาอีกว่า "โตขึ้นอยากเป็นอะไร เพราะอะไร" ปัจจบันหลานคนนี้ 9 ขวบแล้ว
        แล้วทีนี่ลองย้อนถามตัวเองอีกที ว่าทุกวันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร หรือใครเรียนอยู่ด้วย ก็ลองถามตัวเองดูซิค่ะว่า คุณเรียนเพื่ออะไร คุณมีความสุขที่แท้จริงได้ หากคุณวางเป้าหมายในใจได้ถูกทางและถูกธรรม คำตอบทางธรรม คือ ทำงานเพื่องาน เช่นเป็นหมอ ก็เพื่อต้องการรักษาคนไข้ เป็นครูก็เพราะต้องการให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นคนดีมีความรู้ ฯลฯ ส่วนเงินคือผลกำไรรองจากเป้าหมายหลัก นี่คือความหมายทางธรรม
        แล้วหากเราทำด้วยความคิดแบบนี้แล้วเราจะไม่ทุกข์มาก ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อเงินอย่างเดียว เราจะมีความสุขกับการทำงานนั้น ๆ  แม่ดาวเคยสงสัยตัวเอง เมื่อก่อนทำงานไปได้ยังไง เงินเดือนก็น้อยเมื่อเทียบกับชั่วโมงทำงานและความรับผิดชอบในหน้าที่ แต่ย้อนคิดอีกที เพราะครึ่งหนึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่เงิน แต่คือผลของการทำงาน  หากทำงานได้สำเร็จผลงานออกมาดี จะมีความสุขได้แม้เหนื่อยมาก  ส่วนอีกครึ่งคือ เพื่อเงิน  เคยคิดว่าตัวเองทำงานเพื่อเงินนี่แหละ
        แต่หากถามตัวเองดี ๆ หากแค่เพื่อเงิน งานหนัก เงินน้อย เหนื่อยขนาดบางทีอดนอนก็ยังเคย ทำไปได้ไง ชีวิตคงไม่มีความสุขเลย แต่ ณ ตอนนั้นก็มีทั้งความสุข สนุกด้วยนะคะ  มีปัญหาเยอะมากๆๆ แต่ก็ชอบจริง ๆ ปัญหาเยอะ ก็สนุกอีกแบบ พอเราแก้มันได้ มันจะภูมิใจและรู้สึกมันท้าทายดี  เครียด ก็เครียดแหละ  แต่โดยรวมแล้วก็ “สุขแบบเจือทุกข์”
         แต่ก็ไม่แนะนำให้ใครทำตามนะคะ  ต้องรู้จักว่าแค่ไหน ยังไงจึงเหมาะสม ต้องมีปัญญา อย่าทำแบบบ้า ๆ  ไม่ลืมหู ลืมตาเหมือนแม่ดาว  ร่างกายของเราหากเราไม่ดูแล ไม่รักษา แล้วใครจะมาช่วยดูแลร่างกายนี้แทนเรา  ทำงานข้าวปลาไม่ทาน อดอาหาร
        คำถามต่อไป  "ในอนาคต โตขึ้นแล้วดีโด้อยากจะเป็นอะไรครับ"   ดีโด้บอกว่า

"
อยากเป็นหลายอย่างทหาร วิศวะกร นักวิทยาศาสตร์ แล้วก็อยากจะทำงานบ้านเหมือนแม่ด้วย"

5555
แม่คือส่วนหนึ่งในดวงใจเสมอ หากได้รับคำตอบหลากหลายเช่นนี้ ถามเขาต่อว่า
"แล้วหากทั้ง 3 อย่างมารวมกันเนี้ยจะออกมาเป็นอาชีพอะไรน้า"

ดีโด้ "ก็ทหารเนี้ยคิดไว้ในใจเฉยๆ เท่ห์ดี แต่จริง ๆ ไม่อยากเป็นหรอก ดีโด้จะเป็นวิศวะกรกับนักวิทยาศาสต์จะสร้างจรวจพาทุก ๆ คนหนีน้ำท่วมไปอีกดาว จะสร้างใหญ่ ๆ จะได้ไปได้หลาย ๆ คน"

ได้รับคำตอบแบบนี้ก็อมยิ้มซิค่ะ ถามต่อ "แล้วน้องดีโด้จะเป็นวิศวะกรกับนักวิทยาศาสต์ต้องเรียนเก่งด้านไหนเป็นพิเศษครับ"

ดีโด้คิดสักพัก "คณิตศาสตร์ ดีโด้คิดว่านะ ว่าคิดว่าไง"
แม่ดาว "ใช่เลยครับ และก็ต้องเก่งวิทยาศาสต์ด้วยไง เพราะอยากเป็นวิศวะกรวิทยาศาสต์ไม่ใช่เหรอ"

ดีโด้ งง เพราะยังไม่รู้จักวิชาวิทยาศาสตร์มากนัก ด้วยแม่ดาวไม่ได้เน้นในด้านวิชาการ

แม่ดาว "แต่ดีโด้มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่แม่เห็นเด่นชัดมาก ๆ ที่เหมาะสมกับอาชีพที่ดีโด้อยากเป็น คือ หนูเป็นเด็กช่างสังเกตุ ชอบเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่เสมอ ๆ ช่างซักช่างถาม ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ และแม่ก็เห็นว่าลูกชอบเรียนวิชาคณิตศาสต์ด้วยจริงไหมครับ"

ดีโด้ยิ้มแป้มปริ "ใช่ ๆ ดีโด้ชอบเรียนดีโด้ว่ามันสนุก"

อันที่จริง น้องดีโด้เขาชอบทหารมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่โดนสกัดดาวรุ่ง โดยแม่ดาวนี่แหละ 555 ไม่อยากให้ลูกเป็นทหาร ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ ก็เลยบอกเขาว่า คิดดูดี ๆ นะครับ เป็นทหารจะต้องไปอยู่ในค่ายทหารเลย ไม่ได้อยู่บ้านแบบนี้ เราก็จะไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่ได้บังคับแต่จูงใจให้คล้อยตาม 5555 ตั้งแต่นั้นมา ทหารทดไว้ในใจเสมอ ๆ ยังใส่ชุดทหาร ยังเล่นเป็นทหาร แค่เป็นจริง ๆ ไม่อยากจะเป็นทหาร แอบตำหนิตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ ไม่อยากให้เป็นอยู่ดี แอบเอาแต่ใจ แบบไม่ขัดใจ แค่ให้คล้อยตาม

นี่คือตัวอย่างบทสนทนาที่แม่ดาวใช้คุยกับลูก ใครสนใจลองไปคุยกับลูกแบบนี้ได้นะคะ

มีอีก 1 คำถามที่อยากให้ลองถามลูกเล่น ๆ กัน คือ  ผลไม้อะไรดังต่อไปนี้ ที่มีเม็ดน้อยที่สุด
1.
แอปเปิ้ล 2. ฝรั่ง 3. เงาะ

ลองฟังคำตอบจากลูกนะคะ ตอบผิดอย่าหัวเราะเยาะ อย่าซ้ำเติมลูกนะคะ ตอบผิดลองให้เขาคิดดี ๆ อีกทีก็ได้ รอฟังอีก

คำถามนี้ได้มาจากการฟังรายการพ่อแม่พันธุ์ใหม่หัวใจเกินร้อย วันนั้นได้ฟังแล้วอึ้ง เป็นเรื่องเล่าที่พี่โนผู้ดำเนินรายการเล่าให้ฟังว่า ครูไปถามเด็ก ๆ ในห้อง มีเด็กคนนึงเขา
งงและถามว่า
"
ทำไมมีคำตอบที่ถูกทั้ง 3 ข้อล่ะค่ะคุณครู"
ครูก็งง...ถามกลับไปประมาณว่า ยังไงครับ
เด็กวัยอนุบาลตอบด้วยเสียงใสๆ ว่า " ก็ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดที่ครูบอก มันไม่มีเมล็ดเลยนี่ค่ะ " แป่วๆๆๆ เพราะทุกครั้งแม่เขาจะจัดการเอาทั้งเปลือกและเมล็ดออกให้ลูกมาก่อนแล้ว เด็ก ๆ ไม่ได้เรียนรู้จากผลไม้จริง ๆ ว่าหน้าตาก่อนหน้าจะเอาเข้าปากมันเป็นอย่างไร แล้วข้างในมีเมล็ดไหม ยังไง
เรื่องเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกแม่ดาวมาก กลับมาเย็นวันนั้นที่ฟังรายการ ถามเจ้าลูกชาย ด้วยคำถามเดียวกัน

ดีโด้ยิ้มกริ่ม "เงาะ ซิแม่" คงคิดว่าทำไมแม่ถามอะไรง่ายจริง 5555

แม่ดาวโล่งอก อันที่จริงก็คิด ๆ นะคะจะตอบได้ไหมน้อ ตอนที่ฟังรายการ เกิดอาการไม่แน่ใจ สงสัยตัวเอง คือตัวเองก็มีปอกมาเสร็จเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะนั่งปอกตรงหน้าลูกเลย บนโต๊ะทานข้าว คือมีลูกนั่งดูอยู่ด้วย พูดคุยกัน แต่ก็ไม่แน่ใจ ที่จริงเป็นการตรวจสอบพฤติกรรมการเลี้ยงลูกของตัวเอง ไม่ได้จะทดสอบสมองลูกเลยคะ

อีก 1 คำถาม ลองเอาไปถามลูกเพื่อตรวจสอบการเลี้ ยงลูกของเรากัน หากผิดอย่าไปจริงจังมากนะคะ บางทีเด็กบางคนเขาก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่ได้สังเกตุ เพียงแต่ก็แค่กระตุกเตือนว่า เออ....ครั้งหน้านะ หากจะทานผลไม้อะไร ก็เรียกเขามานั่งดูผลไม้ นั่งคุยเกี่ยวกับผลไม้ที่กำลังจะทานกัน ว่าเปลือกยังไง แบบไหน ให้เขาเรียนรู้สัมผัสไปพร้อม ๆ กันก่อนจะได้รับประทาน

สอนการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส และลูกได้ความใกล้ชิด ได้สัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกันด้วยนะคะ แต่อย่าทะเลาะกันก็แล้วกันนะคะ จะบอกให้