วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หากเราไม่เห็นว่าสำคัญ เราจะไม่ทำมันจริงไหม





            อีก 1 เรื่อง ที่วนเวียนอยู่ในหัว จนในที่สุดคิดว่าถ่ายทอดเรื่องคาใจนี้ออกมาดีกว่า อันที่จริงก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่ มีเพิ่มบางส่วนเข้าไปนิด ๆ 

            การบ่มเพาะ สร้างระเบียบวินัย  คุณคิดว่ามันเกิดจากการบังคับ สั่งการ หรือเกิดจากการพยายามทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำ  ๆ ทำกันบ่อย ๆ จนชิน ติดเป็นนิสัย หรือคิดว่าเกิดจากอะไร

            อย่างที่รู้ ๆ กัน ตัวเองนั้น ก็พยายามบ่มเพาะปลูกฝังเรื่องพวกนี้กับลูกมาก็ประมาณ 2 ปีได้แล้ว ช่วงนึงเขาก็ทำได้ดี  แต่ช่วงนี้ก็แทบจะไม่เอาเลย  เลยทำให้ต้องมานั่งทบทวนเรื่องราวหลาย ๆ เรื่องทั้งที่เกิดจากตัวเอง(ก่อน)  ตัวเราเริ่มมีระเบียบวินัยได้ตอนไหนกัน    เอาแบบเริ่มมีระเบียบวินัยจริง ๆ โดยใช้ความพยายามอย่างมากฮ่าๆๆ เพราะก่อนหน้าในชีวิตส่วนตัวนั้นแทบจะไม่มีระเบียบวินัยกับเรื่องใด ๆ เลย ยกเว้นเรื่องการตรงต่อเวลา เรื่องนี้เรียกได้ว่าอยู่ในสายเลือด และยกเว้นในการทำงานนอกบ้านในสมัยก่อนหน้าจะมีลูก

            คิดว่าการที่เรานอนตื่นสาย  บ้านรก ก็เรื่องของเรา ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย หากเสาร์-อาทิตย์หยุดงาน ก็นอนตื่นสายได้ ซึ่งสมัยเรียนไม่ได้นอนตื่นสาย แต่นอนตื่นบ่ายกันเลยทีเดียว เป็นปกติของชีวิต  พ่อแม่ก็บ่น สั่งสอนมาตลอด สารพัดจะสอน แต่ไม่ทำ  เพราะไม่เห็นความสำคัญว่า ทำไมต้องทำ  เพราะตัวเองนั้นไม่ได้มีหน้าที่อื่น ๆ นอกจากกิน เรียน เล่น  อาจมีบ้างที่พ่อแม่ บอกให้ช่วยเหลืองานบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นหน้าที่ของตัวเองแต่อย่างใด 

            แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันซึมเข้าไปโดยเราไม่รู้ตัวคือ เรื่องการตรงต่อเวลา ที่บ้านจะให้ความสำคัญมากกับการที่ต้องไปโรงเรียนให้ตรงเวลา  ส่วนใหญ่ก็จะไปเช้ากว่าเวลาเยอะ ส่วนพ่อเองก็จะเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้มาก และพ่อจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญมากกับเรื่องนี้ ขนาดนัดกันไปเที่ยว หากทางฝ่ายเพื่อนนัดกี่โมงก็ต้องไปให้ถึงก่อนเวลาอย่างน้อยสัก 15 นาที ซึ่งส่วนมากก็ไปก่อนเป็นชั่วโมง  อันนี้เท่าที่สมองลูกนกอย่างแม่ดาวจะจำได้ฮ่าๆๆๆ   และพ่อเป็นคนมีวินัยกับการทำงานสูงมาก เป็นคนที่รับผิดชอบงานที่สุด  เรียกว่ามีตัวอย่างดี ๆ ให้เห็นอยู่ตลอดกับเรื่องพวกนี้ 

            ส่วนที่บ้าน แม่จะเป็นแม่บ้าน ลูกๆๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากที่กล่าวมาข้างต้น แม่ก็เป็นคนสบาย ๆ รักลูกมากๆๆๆๆ แต่อาจจะรักแบบผิดวิธีไปสักนิด ซึ่งอันนี้แม่ดาวก็เข้าใจเขาแหละ  เพราะมันมีเหตุของการกระทำ  เมื่อเราเข้าใจเหตุผลแล้ว ไม่คิดจะตำหนิ ท่านเลย เพราะท่านรัก เพียงแต่ท่านแค่ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงอย่างไรจึงจะถูกทาง  รักอย่างที่พ่อเองก็บ่นว่าแม่เสมอ ๆ “จะเลี้ยงลูกให้เป็นเทวดาหรือไง”  เป็นคำพูดที่ได้ยินจากปากพ่อบ่อยๆ  แต่แม่เองก็มีวิธีการสอนหลาย ๆ เรื่องที่ทำให้เราเป็นคนดีได้ แค่เราไม่มีระเบียบวินัยแค่นั้นฮ่าๆๆ  แม่มักสอนในเรื่องจิตใจ การช่วยเหลือคนอื่น การแบ่งปัน ฯลฯ โดยที่วิธีการสอนของแม่นั้น คือท่านทำให้เราเห็น ท่านอาจไม่รู้ตัวหรอกว่าการสอนแบบนี้ ดีกว่าการสั่ง  การพูด พร่ำบ่นขนาดไหน อิอิ  

            คำตอบตอนต้น คือ  แม่ดาวนั้นมีระเบียบวินัยจริง ๆ ได้ก็คงตอนเริ่มมีครอบครัว  และยิ่งเข้มข้นมากขึ้นตอนมีลูกนี่แหละ  เมื่อก่อนไม่เคยเห็นว่ามันสำคัญ  ก็สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ พอมีลูกแล้ว มันแจ่มชัดเองในความคิด ว่า แค่การพร่ำสอน ไม่ได้ผล เท่าการกระทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง  อันนี้รวมไปถึงทุก ๆ เรื่องไม่ใช่แค่ระเบียบวินัย  

            มาอีกตัวอย่าง  มีคนที่รู้จักสนิทหลายคน ที่เคยเรียนในโรงเรียนที่หากบอกไปทุกคนน่าจะต้องรู้จัก เรื่องระเบียบวินัยของโรงเรียนแห่งนี้เป็นที่ทราบกันดี  เป็นโรงเรียนชายล้วนชื่อดังเชียวแหละ  แต่ที่เห็นทุก ๆ ปิดเทอม พี่ท่านก็ยังนอนตื่นสาย ไม่มีระเบียบวินัยอยู่ดี  พ่อแม่หลาย ๆ คนคงคิดว่า ส่งลูกเข้าโรงเรียนแบบนี้แหละดี อยู่บ้านมันไร้ระเบียบวินัยเหลือเกิน ส่งไปดัดสันดานเสียให้เข็ด เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ จากปากพ่อแม่หลาย ๆ ท่าน  

            ปัจจุบันพี่ชายคนนี้ก็เป็นคนไม่มีระเบียบวินัยอะไรเลย แม้กระทั่งชีวิตการทำงาน  ไม่ชอบทำงานบริษัท ไม่เห็นความสำคัญของการที่ต้องไปทำงานให้ตรงต่อเวลา  จนกระทั่งมีลูก ๆ นั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน  ขนาดเวลากิน นอน ของลูกก็ยังไม่เป็นเวลาเช่นกัน   ไม่รู้มาอ่านจะเคืองกันไหม  แต่คิดว่าเรื่องมันมีประโยชน์ต่อผู้อื่น คิดว่าทำบุญนะพี่นะ   ไม่ได้ตำหนิพี่ชายแต่อย่างใดเน้อ  เข้าใจ ว่าครอบครัวใครก็ครอบครัวมัน แต่อยากบอกว่า อนาคตมันจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นด้วยเหมือนกัน  บางนิสัยอาจไม่เดือดร้อนใคร เช่น กิน นอน แต่หากพวกเรื่องอื่น ๆ เช่น การตรงต่อเวลา อันนี้มีผลกระทบแน่  หากอยู่ร่วมกันในสังคม 

            แม่ดาวนั้นสมัยเรียนมักจะหงุดหงิด จิตเสีย กับเพื่อนในกลุ่มที่ทำรายงานด้วยกันอยู่เสมอ ๆ  นัด 9 โมง กว่าจะทยอยมากันครอบปากไป 10 โมง 11 โมง  กว่าจะรวมตัวกันได้ กว่าจะได้ทำงาน นี่ถ้าทำเองคนเดียวงานก็เสร็จไปนานแล้ว  อันนี้เรียกว่าทำกรรมนะคะ  ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนฮ่าๆๆ  ต้องขยายเวลา ลากยาวไปทั้งวัน บางทีก็ยันกลางคืน  แถมมากันแล้วแทนที่จะช่วยกันทำให้เสร็จ ก็เล่นไปทำไป อันนี้ขัดใจจริง ๆ  สมัยนั้นจะเป็นคนตึงมาก  ไม่ใช่คนเรียนเก่ง  แต่เวลาทำอะไรจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบค่อนข้างสูง  

            มาอีกนางที่รู้จักเรียนโรงเรียนประจำเช่นกัน  แต่ก็เป็นโรงเรียนชาย-หญิง  ตอนอยู่ที่โรงเรียนต้องตื่นเป็นเวลา ต้องอ่านหนังสือตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ฯลฯ ทุกอย่างต้องมีระเบียบวินัย  ปิดเทอมมาก็เหมือนเดิม   ปัจจุบันชีวิตนั้นก็แทบไม่เห็นความเป็นระเบียบวินัยในตัวพระน้องนาง 

            มาที่ตัวลูกชาย  น้องดีโด้  สังเกตุมาเรื่อย ๆ ถึงจะให้ทำบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ  แต่เขาก็ไม่จำ อันที่จริงต้องเรียกว่าเขาไม่ใส่ใจมากกว่า เพราะคิดว่า เขาไม่เห็นว่า ทำไมต้องทำแบบนี้  ถึงเราจะบอกเหตุผลไปแล้ว แต่มันเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าไปถึงใจเขา   เช่น การถอดเสื้อผ้ากองไว้  แม่ดาวจะบอกว่า  “แม่ไม่ชอบเลย เพราะบ้านเราจะดูรก แม่ไม่ชอบจริง ๆ และแม่ก็เหนื่อยมากที่ต้องพูดซ้ำ ๆ กับเรื่องที่ลูกก็รู้อยู่แล้ว”  เขาก็จะขอโทษ และให้เหตุผลว่า “ลืม”  ช่วงหลัง ๆ เป็นบ่อย เลยบอกเขาว่า หากแม่ต้องพูดเยอะ ๆ แม่เหนื่อย คงต้องงดนิทาน อันนี้ดูจะดีขึ้น   ต่อมาก็มีปรับชิ้นละ 1 บาท   ก็ดีขึ้นอีกนิด  คือที่ใช้วิธีพวกนี้ เพราะรู้ดีว่า สิ่งเหล่านี้จะได้ผลกับลูกของเรา     

            กำลังคิดว่า จะต้องหาวิธีพูด หรือทำบางอย่างให้เขารับรู้เข้าไปถึงใจ ว่าแต่ละเรื่องที่แม่สอนให้เขาทำนั้น มันสำคัญกับเขาอย่างไร มี 2 แผนที่คิดไว้ คือ  แต่งนิทานเอง และการเปิดประชุมประจำบ้าน  ที่บอกไปบน face แต่ยังไม่ได้ทำเพราะตอนนั้นต้องเดินทางไปต่างจังหวัดแบบเปลี่ยนแผน จนถึงวันนี้สมาชิกในครอบครัวก็รวมตัวกันไม่ได้สักที   ส่วนนิทานเนี้ยก็ต้องใช้ความคิดเยอะ ต้องเลือกอะไรที่เขาฟังแล้วจะถูกกับจริตเขา  คิด ๆ ต้องให้โดน ๆ ต้องให้กระเทาะใจ แต่ไม่กระเทือนใจ  สอนแบบเนียน ๆ  เคยทำมาแล้ว และได้ผลดีมาก  แต่ตอนนี้เขาโตมาก รู้มาก เลยผูกเรื่องลำบาก  สอนแบบไม่สอน อันนี้ยากจริง

            สรุปในความคิดของตัวเองคือ  ระเบียบวินัยนั้นต้องสร้างด้วยใจให้ถึงใจ ไม่ใช่ แค่บังคับ สั่งการ พูดพร่ำไปเรื่อย ๆ  ส่วนวิธีไหนยังไง ต้องลองกลับไปคิดกันเองแต่ละครอบครัวเนอะ  เด็กแต่ละคนก็นิสัยต่างกันมาก  บางคนที่เจอนะคะ ไม่ต้องสอนเยอะ เขาก็น่ารัก มีระเบียบวินัย บางคนที่รู้จักดีได้จากโรงเรียนก็มี พ่อแม่เนี้ยคนละเรื่องกันเลย  ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเขาด้วยส่วนหนึ่ง

            ความเชื่อที่แม่ดาวมีคือ  บุคคลิกลักษณะนิสัยของแต่ละคนนั้น  เกิดจากกรรมเก่าที่ส่งเรามาเกิด 1 ส่วน   พันธุ์กรรมในชาตินี้ 1 ส่วน  อารมณ์ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งท้องด้วยอีก 1 ส่วน  การเลี้ยงดูสิ่งแวดล้อมอีก 1 ส่วน  

            อันนี้ความเชื่อส่วนตัวนะคะ  หรือใครคิดว่ายังไง


**** อย่าลืมนะคะ  ทำให้เต็มที่ ส่วนผลจะออกมาดีหรือไม่นั้นอย่าไปสน  เคยเป็นคนที่ตั้งใจมาก เลยคาดหวังมาก และเจ็บใจเสียใจมาก  ทำให้เต็มที่ค่ะ ผลลัพท์ที่จะออกมาจะดีหรือไม่ ก็เกินการควบคุมของเราแล้วเนอะ  "ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบัน"  ประโยคเด็ดที่ท่องจำอยู่ในใจ