นั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่พวกเราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ไม่ว่าจะเป็นหน้ากระดาน ข้อความ หรือตอนออนไลน์สดแลกเปลี่ยนกัน สิ่งที่ตัวเองมีคนถาม
และมักจะบอกกับหลายท่านบ่อย ๆ เกี่ยวกับการจัดการพฤติกรรมของลูกที่ไม่เหมาะสม
พฤติกรรมที่เป็นปัญหา นั่นคือ
ให้มีสติ
ใจเย็น ๆ คุยกันตอนที่ใจเราพร้อมและลูกพร้อม อันนี้บอกกันบ่อย ๆ เนอะ แล้วก็จะมีคำถามย้อนกลับมาอีกว่า “แล้วทำยังไงให้ไม่โกรธ ให้ใจเย็น ๆ อย่างแม่ดาวได้”
ฮ่าๆๆ ไม่อยากไม่ใครมาเหมือนเลย
ปัจจุบันก็ยังต้องฝึกฝนในการควบคุมอารมณ์อยู่เนือง ๆ ขอย้ำต้องฝึกฝน ค่ะอย่างที่บอกกันบ่อย ๆ
ตัวแม่ดาวเองเดิมทีเป็นคนนิสัยไม่ค่อยจะดีนัก
อีกทั้งสะสมความโกรธเอาไว้มากมาย โกรธง่าย หายก็ยาก สามีนี้ต้องลำบากใจมากเหนื่อยมากเวลาจะง้อ
ฮ่าๆๆ ปัจจุบันดีขึ้นมากมายค่ะ เรียกว่าตอนแรก ๆ ที่เริ่มทำได้ครูดี คอยแนะนำ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ครูใหม่และครูหม่อมเช่นเคย
ดังนั้นวันนี้จะสรุปอีกทีเป็นข้อสั้น ๆ ถึงวิธีการที่แม่ดาวทำให้ระยะแรก ๆ ถึงปัจจุบัน
วิธีแรก เมื่อรู้ตัวเรากำลังโกรธให้เดินหนีไปจากจุดเกิดเหตุค่ะ ง่ายมากวิธีนี้ แรกๆ
ทำแบบนี้บ่อยมากๆๆ ด้วยบางทีเราโกรธมาก
เห็นพฤติกรรมอันน่าปวดหัว พอโกรธจัด ๆ
มันจะคิดคำพูดดี ๆ ไม่ออก เรียกว่าคิดดี ทำดีไม่ได้ ต้องเดินหนีไปเลย หากถามว่าแล้วแรก ๆ ตอนที่โกรธปรี๊ดแตก หยุดตัวเองไม่ให้พูด
ไม่ให้ทำอะไรได้ยังไง ....อืม เรียกว่า
แม่ดาวคิดไว้ว่าจะพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้ เรียกว่าวางเป้านี้ไว้ตั้งแต่ตื่นนอนมา ว่าวันนี้
หากลูกทำอะไรให้ต้องโกรธจะหยุดตัวเองให้ได้ อย่าปากไว คิดไว เหมือนทุกครั้ง เรียกว่าพยายามมีสติ แต่หากสติยังพอมีก่อนไปจะพูดกับลูกว่า “ตอนนี้แม่ยังไม่พร้อมที่จะคุยกับลูก
แม่ขอเวลาสงบสติอารมณ์สักพัก”
ประมาณนี้ แล้วค่อยเดินหนีไป ปัจจุบันการกระทำนี้น้อยมาก หรือแทบไม่ได้ทำเลย
วิธีที่ 2. สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หยุดนิดนึงแล้วค่อย ๆ หายใจออกช้า ๆ ทำแบบนี้สัก 3-5 ครั้ง ก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง คือบางทีเราอาจไม่สามารถเดินหนีไปได้
อาจหลับตาจะได้ไม่ต้องเห็นภาพอะไรที่กระตุ้นอารมณ์โกรธของเรา อาจได้ยินเสียงอยู่
เทคนิคนี้สำคัญคือเราต้องเอาใจของเราไปไว้ที่ลมหายใจของเรา เช่น หายใจเขาลึก ๆ ท้องป่องแล้ว เต็มที่แล้ว หยุด เอาหล่ะ
ที่นี้หายใจออกเบา ๆ ค่อย ๆ ผ่อนออก ท้องแฟ่บแล้ว
คือตามสังเกตุอาการทางกายของเรา
ตามลมหายใจเราไป จากปลายจมูก ไปถึงไหน ยังไง ประมาณนี้ วิธีนี้ยังใช้อยู่เรื่อย ๆ ค่ะ สำหรับตัวเองแล้วมันช่วยได้มาก
วิธีที่
3. ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรากำลังโกรธลูกเรื่องอะไร เขาทำอะไรเราถึงโกรธ แล้วเราจะจัดการพฤติกรรมนี้อย่างไร ประมาณนี้ค่ะ
คือ พอเราโกรธปุ๊บ รู้ว่าโกรธ แทนที่จะปล่อยอารมณ์โกรธระเบิดใส่ลูกเลย
หยุดแล้วคิด การหยุดแล้วคิด
ต่อให้คิดไม่ออกในขั้นจะจัดการพฤติกรรมลูกอย่างไรดี มันเป็นการช่วยให้เรามีสติมากขึ้น
ความโกรธมันจะลดลง
วิธีที่
4. การฝึกสติ แต่ละวันที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอน
ให้พยายามระลึกรู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไร สังเกตุอาการทางกายและใจบ่อย ๆ การสวดมนต์ไหว้พระ และสุดท้ายคือการนั่งสมาธิ ไม่ต้องหวังนะคะว่าจะไปถึงณานไหนยังไง
ฮ่าๆๆ เราเอาแค่ความสงบ แรก ๆ อย่างที่บอกมันไม่สงบหรอกค่ะ นั่งแรก ๆ มันจะฟุ้งมาก อย่าไปกดดันตัวเอง “นั่งเล่น ๆ แต่ทำจริง ๆ” อันนี้จำมาจากท่านพระไพศาล หมั่นทำ หมั่นฝึก แล้วจะเห็นผล
หลัง ๆ ตัวเองก็เกียจคร้านไม่ค่อยจะได้นั่งสมาธิเลย เห็นความต่างเลยค่ะ ใจมันจะฟุ้งง่าย
ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้ไหม แต่ตัวเองเป็น
แต่ก็ไม่ถึงขนาดกลับไปเป็นคนเก่า
เพราะถึงไม่ได้นั่งสมาธิแต่พยายามมีสติกับชีวิตประจำวัน
เห็นว่าตัวเองนั่งสมาธิแล้วดีขึ้นมากแบบผิดเป็นคนละคน
เลยอยากชวนคนอื่นลองทำดูบ้าง
ลองดูไม่เสียหายนะคะ
แต่ต้องลองกันนาน ๆ สักหน่อย ทำติด ๆ กันจะเห็นผลจ้า
สุดท้ายนี้ ชวนกันทบทวนตัวเองเนอะ
ปีเก่าที่กำลังจะผ่านไปมีอะไรที่เราไม่ชอบ อยากจะแก้ไขตัวเองบ้าง เขียนออกมา
และพยายามทำให้ได้อยากที่คิดเนอะ
คิดแล้วไม่ทำ กรรมก็ไม่เปลี่ยนนะคะ