วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จิ๊กซอว์....ต่อหัวใจ



        เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาได้อ่านนิตยสารเล่มหนึ่ง ขณะที่กำลังเบื่อ ๆ  ไม่ได้เปิดอ่านทีละหน้า เพราะก็เคยอ่านผ่าน ๆ ตามาบ้างแล้ว สุ่มเปิด คืออันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านอะไรมาก แค่ไม่รู้จะทำอะไรที่ไม่ใช่งานบ้านฮ่าๆๆ  อ่านเจอบทความของคุณแม่ท่านนึง อ่านแล้ว ชอบเรื่องนี้มาก เป็นเรื่องที่เขาใช้สอนลูก อ่านซ้ำ ๆ วน ๆ อยู่แค่ไม่กี่บรรทัด เพราะชอบจัด และพยายามจะอ่านออกเสียงให้ซึมเข้าสู่สมอง ปกติจะความจำสั้นมากฮ่าๆๆ คิดเองในใจว่า สักวันเราอาจะได้ใช้ประโยคแบบนี้สอนลูกบ้าง 

        คำสอนคือ ลูกไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดก็ได้  ขอให้ลูกคิดว่าลูกคือจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่ง คนอื่น ๆ คือจิ๊กซอว์อีกชิ้นหนึ่ง เมื่อจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นมารวมกันจะได้งานชิ้นหนึ่งที่สำเร็จ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว เราต้องเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกับคนอื่นในสังคม สิ่งที่สำคัญกว่าความเก่ง คือการปรับตัว  อ่านแล้วชอบเลย พยายามจำ แต่ยังไม่คิดว่าจะได้ใช้เร็วเกินคาด

        ณ คืนวันนั้น ลูกชายในวัยเกือบจะ 6 ขวบอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ พูดกับแม่ว่า

ดีโด้          แม่  พรุ่งนี้ขอหยุดเรียนได้ไหม ไม่อยากไปโรงเรียนเลย

ประโยคนี้โผล่มาอีกแล้ว สงสัยจะมีอะไรในใจอีก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดแบบนี้ 

แม่            หนูอยากหยุดเรียนเหรอลูก มีอะไรไม่สบายใจที่โรงเรียนหรือเปล่าครับ

ดีโด้          ดีโด้เบื่อ (สั้นมาก จะรู้ไหมเนี้ยลูก)

แม่            เบื่อเรื่องอะไรครับ  หรือว่าช่วงนี้เรียนหนัก (เห็นว่าใกล้จะสอบ แถมจะจบอนุบาล 3 )

ดีโด้          เปล่าเลย แทบไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ  ซ้อมเต้นตลอด เต้นตั้งหลายรอบ เบื่อ

แม่            อ๋อ...ลูกเบื่อซ้อมเต้นเนอะ  เต้นเยอะ ๆ หลาย ๆ รอบ หากเป็นแม่ก็คงเบื่อเหมือนกัน

ดีโด้          เบื่อเพื่อนด้วย  ไม่อยากไปโรงเรียน

แม่            เบื่อเพื่อนด้วย 2 เรื่องเลยนะเนี้ย  โดนเพื่อนแกล้งมาเหรอครับลูก

ดีโด้          เปล่า เพื่อนไม่ได้แกล้ง เบื่อเพื่อนเต้นไม่ได้สักที ดีโด้เต้นได้แล้ว เต้นได้ตั้งนานแล้วด้วย ครูก็ให้ซ้อมเต้นอยุ่นั่นแหละ   

แม่            อืม....ลูกเต้นได้แล้ว แต่เพื่อนยังเต้นไม่ได้  มีหลายคนเลยไหมครับที่ยังเต้นไม่ได้

ดีโด้          คนเดียว  น้อง......   เต้นไม่ได้สักที  แม่ดีโด้ขอหยุดนะ โทร.ไปลาเรียนให้หน่อย นะๆๆๆ

แม่            ดีโด้เคยเล่นจิ๊กซอว์กับแม่ จำวิธีการเล่นได้ไหม

ดีโด้          จำได้ (คง งงๆ มันเกี่ยวอะไร)

แม่            จิ๊กซอว์เวลาเล่นเราต้องใช้ความอดทนและพยายามเอาชิ้นส่วนแต่ละตัวมาค่อย ๆ ประกอบกันจนกว่าจะเป็นภาพที่สวยงามใช่ไหม

ดีโด้          ใช่   

แม่            การแสดงครั้งนี้ของลูก ก็คล้าย ๆ กับการเล่นจิ๊กซอว์นั่นแหละลูก   ลูกกับเพื่อน ๆ เหมือนจิ๊กซอว์แต่ละชิ้น  ลูกเป็นตัวเแทนจิ๊กซอว์ 1 ชิ้น เพื่อน ๆ ก็ด้วย  ทุก ๆ คน ต้องช่วยกันมาประกอบรวมเข้าด้วยเป็นเป็นหนึ่งเดียว  การแสดงถึงจะออกมาดีสมบูรณ์  ทุกๆ คนมีความสำคัญเท่า ๆ กันหมด เหมือนเล่นจิ๊กซอว์ หากขาดไป 1 ชิ้นภาพจะสำเร็จไหม สวยไหม

ดีโด้          ไม่   มันแหว่ง

แม่            ใช่มันแหว่ง ไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ แล้วพรุ่งนี้หากขาดดีโด้ไป แล้วจะเป็นยังไง

ดีโด้          จริงเหรอแม่  (ไม่ตอบ แต่คิดว่าเขาเข้าใจ และอยากได้ความมั่นใจอีกสักนิดว่าเขาเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญ)

แม่            จริงซิครับลูก  น้อง......เขาก็เป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นหนึ่งเหมือนลูกนั่นแหละ  แม่ว่าเขาก็พยายามอยู่ เดี๋ยวสักพักเขาก็ต้องทำได้แหละลูก หากแม่เป็นดีโด้แม่จะช่วยสอนเพื่อนด้วยอีกแรง

ดีโด้          ดีโด้ก็สอนแล้ว บอกแล้วแหละ แต่น้อง....ก็ยังทำไม่ได้

แม่            ยังทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะลูก

ดีโด้            งั้น...พรุ่งนี้ไปโรงเรียนก็ได้

        จบ........ไม่คิดว่าจะได้ใช้เรื่องจิ๊กซอว์มาสอนเร็วขนาดนี้ ฮ่าๆๆ แต่ก็สอนในแบบที่เราพอจะคิดได้แหละค่ะ ไม่เป๊ะ  แต่ก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน   หลาย ๆ ครั้งที่ลูกบ่นไม่อยากไปโรงเรียน ส่วนมากเขาจะมีอะไรในใจเพียงแค่ว่าเขาจะบอกเราไหม  หากเขาไม่พร้อมจะบอก ไม่สบายใจที่จะพูดก็ไม่เป็นไร ทิ้งไว้แค่ว่า “ไม่เป็นไร วันนี้ลูกอาจไม่สบายใจที่จะเล่าให้แม่ฟัง แต่หากลูกอยากเล่าให้แม่ฟังเมื่อไหร่ แม่พร้อมฟังเสมอนะครับ”  อีก 1 บทสนทนาตามประสาแม่ลูกจ้า



วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พาลูกไปฝึกเจริญสติ




เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พาดีโด้ไปร่วมกิจกรรม "เจริญสติ"แนวเคลื่อนไหวกับคณะศิษฐ์หลวงพ่อเทียน ที่สวนโมกกรุงเทพฯ (อยู่ติดกับสวนรถไฟ)  ได้อะไรกลับมามากเลยเลยทีเดียว   เป็นการทดลองพาลูกไปฝึกสติ นั่นเป็นจุดประสงค์หลัก  แต่กลับกลายเป็นการทดสอบสติของแม่แทน    งานนี้โหดและหินมากมาย นี่ขนาดทำใจไว้ก่อนไปแล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาเข้าจริงก็อดที่จะเกรงใจคนอื่น ๆ ไม่ได้  บรรยากาศมันพาให้คิดซะด้วยฮ่าๆๆ   

เด็กที่มามีก็จะมีทั้งเด็กที่เคยฝึกมาแล้วกับเด็กที่ยังไม่เคยฝึกเลย   วันนี้เด็กไม่เยอะ  สัก 6-7 คนได้   ดีโด้อยู่ในส่วนของเด็กที่ยังไม่เคยฝึกเลยและปกติก็ไม่ใช่เด็กที่จะนิ่งได้นาน ๆ ด้วย ยิ่งหากห้ามพูดคุย  ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กคนนี้ฮ่าๆๆ  ก่อนไปก็ไม่ได้บังคับเป็นการพูดคุยชักชวน เขาก็ยอมมา แต่ใจจริงด้วยนิสัยเขา ๆ ก็ไม่ชอบแน่ ๆ รู้ทั้งรู้  แต่แม่อยากลอง คุยกันว่าเรามาเพื่ออะไร และจะควรปฏิบัติตัวอย่างไร  นานแค่ไหน จากนั้นจะได้ไปฟังนิทาน และทำสิ่งประดิษฐ์ตามที่เขาชอบ    

 ก่อนเริ่มกิจกรรมจะมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้าก่อน ซึ่งยาวนานมาก  สำหรับดีโด้แล้วแค่สวดมนต์ก่อนนอนสั้น ๆ ก็ยากและยาวมากแล้ว มาเจอแบบนี้ เลยเกิดอาการป่วน ๆ เรื่องนี้เข้าใจและทำใจได้ แม่ดาวก็เลยเฉย ๆ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร  เขาก็น่ารักไม่ได้โวยวาย แค่บ่น ๆ ทน ๆ ไปจนจบ จากนั้นก็ให้แยกกลุ่มแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่เคยฝึกมาแล้ว  กลุ่มที่ไม่เคยฝึกมาเลย และกลุ่มเด็กกับผู้ปกครอง   แรก ๆ ก็ดูตื่นเต้น อยากทำ แต่ขออยู่กับแม่ตลอดแค่นั้น  

กลุ่มเด็กและผู้ปกครอง แยกออกมานอกห้อง ซึ่งเป็นอากาศธรรมชาติ  และพระอาจารย์พาไปฝึกตรงบริเวณระเบียงทางเดิน และแดดส่อง  สำหรับตัวเองแล้วก็ธรรมดา แต่สำหรับลูกยา มันร้อน เขาขี้ร้อนอยู่แล้วและแพ้เหงื่อ คือจะเกิดอาการคันๆๆ   และเป็นผื่น    พอบรรยากาศไม่เป็นใจ ก็เริ่มหงุดหงิด ด้วยก็ไม่ได้อยากจะมาทำกิจกรรมนี้มากนัก แต่หวังจะร่วมกิจกรรมสนุกสนาน เลยยอมมาด้วย  ก็เริ่มไม่ทำตั้งแต่ต้น แม่ดาวเองก็ค่อย ๆ ชวนเขาทำ พูดให้เขาสนุก กระซิบ “ดีโด้ครับ มาฝึกด้วยกันซิ นี่ไง เห็นไหม พระอาจารย์สอนให้แปลงร่างตั้ง 14 ท่าแนะ แม่ทำพอได้แล้วนะ ดีโด้ทำได้หรือยัง” ประมาณนี้  คืออะไรก็แล้วแต่สำหรับดีโด้ต้องสนุกนำ ถึงจะอยากทำ ก็เริ่ม ๆ จะสนใจจะฟังบ้าง   แต่พอพระอาจารย์เรียกชื่อ “ดีโด้” ประมาณว่าไม่ตั้งใจ เรียกกระตุ้น เท่านั้น ตามฟอร์มเขาก็เลยพาลต่อต้านไม่ทำต่ออีก  เราก็ต้องเอาใหม่  แดดก็เริ่มร้อนขึ้น พระอาจารย์คงเห็นท่าไม่ไหว  เลยพาเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง ให้เดินจงกรม 

ที่นี่ท่านพาเดินย้ายไปอีกจุด เปลี่ยนที่ฝึก ตรงนี้ดีกว่าเยอะ ลมโกรกและร่มมาก  ย้ายที่มาก็ดีขึ้นนิดเหมือนจะยอมทำบ้าง แต่ก็คงเบื่อ น่าจะผ่านไปตั้งแต่มาถึงเวลานั้นสักชั่วโมงครึ่งได้  เริ่มขออนุญาติพระอาจารย์ไปทานน้ำ บอกหิวน้ำ  เราก็รู้อยูู่แล้วว่าเขาไม่ได้หิวน้ำจริง ๆ เพราะปกติอยุ่บ้านก็แทบจะไม่ยอมกินน้ำ   ก็ไม่ได้ว่าอะไร  ตอนนั้นก็เริ่ม ๆ จะเกิดอาการหงุดหงิด ๆ แล้ว  คิดในใจว่า เอาน่าลองให้เขาอยู่จนครบครึ่งวัน ด้วยตกลงกันไว้แล้ว  หายไปสักพักก็กลับมานั่งใหม่ ก็ไม่ยอมจะทำเท่าไหร่  เลยถามเขาว่า “ดีโด้ไม่อยากทำเพราะอะไร”  เขาก็บอกว่า พระอาจารย์ทำเร็วไป ดีโด้ทำไม่ทัน ก็เลยให้เขาหันมาหาเราและสอนทำ  ทำตามอยู่ 2 รอบเลิก ไม่เอา เบื่อ   พระอาจารย์ท่านก็จะสอนให้ปฏิบัติฝึกการเจริญสติแบบนั่งแล้วเคลื่อนไหวมือให้เอาสติไปอยู่ที่มือ สลับกับการเดินจงกรม  ดีโด้เริ่มเบื่อมาก และป่วนมากขึ้น ให้นั่งก็นอน ให้เดินก็วิ่ง  แถมชวนเพื่อนคุยอีก  แม่เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอาการเกรงใจคนอื่นนี่แหละ  เริ่มเตือนถี่ขึ้น แต่ไม่ได้ดุ  คิ้วแม่เริ่มขมวด เริ่มปวดหัวตึ้บๆๆ  

สักพักมีเด็กน้อยผู้หญิงอายุประมาณ 4 ขวบ ตัวเล็ก ๆ หน้านิ่งมาก ๆ มาร่วมกิจกรรม และนี่คือจุดเปลี่ยนฮ่าๆๆ พระอาจารย์ท่านก็พยายามจะดึงให้ดีโด้เข้าร่วมกิจกรรม มีบอกให้มานั่งข้างหน้า นั่งใกล้ ๆ ท่าน ยอมเหมือนกันแต่แม่ต้องไปด้วยและไม่ยอมนั่งประจันหน้า เยื่องมาสัก 1 เบาะ  ท่านก็เรียกชื่อ และพยายามจะกระตุ้นโดยบอกว่า เห็นไหมน้องเขาเด็กกว่าทำได้เก่งกว่าดีโด้เสียอีก  นั่นไง....งานเข้าเลย ดีโด้เปลี่ยนพฤติกรรมจริง ๆ แต่แย่กว่าเดิมฮ่าๆๆ  พระอาจารย์ท่านเมตตาเราเข้าใจดี แต่ลูกเราไม่เข้าใจ เด็กมักตีความต่างจากที่ผู้ใหญ่คิด ดังนั้นเวลาจะพูดอะไรกับเด็ก ขอเตือนว่าควรพูดให้ชัดเจน หากไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจตรงกับเราไหม ให้ถามเขาว่าที่เราพูดนั้นลูกเข้าใจไหม หากเข้าใจ เข้าใจว่าอย่างไร  เรื่องนี้แม่ดาวใช้บ่อยค่ะ เพราะลูกคนนี้ชอบตีความเกินจริง

ดีโด้ขอกินน้ำรอบ 2  ก็ให้ขออนุญาติพระอาจารย์ก่อนแล้วก็ไป  เริ่มอยู่ไม่ติดที่แล้ว   หายไปสักพักกลับมาใหม่  แม่ครับดีโด้หิวข้าวแล้ว  อันนี้เชื่อว่าส่วนหนึ่งเขาหิวจริง ๆ เพราะตอนเช้าไม่ยอมจะทานข้าวเอง  กินไปนิดเดียว เรียกว่าชิมจะดีกว่า  คุยกันแล้วว่าคิดดี ๆ นะครับ หากไม่ทานอีกมื้อที่จะได้ทาน คือ เที่ยง แต่จะมีได้ทานนมกล่องได้ เพราะเป็นเรื่องปกติ ทานข้าวเช้า ทานนมกล่องสัก 10 โมง  และอีกส่วนหนึ่งคือการเล่นเกมส์ทำลายสติแม่ เขาฉลาดกว่าแม่เสมอ  เขาจะมีเทคนิคในการทำลายสติแม่ เขาจะรู้จุดอ่อนของเรา  หากหนใดที่เราพลาดไม่ควบคุมสติให้ดี เราจะเสียทีเขาได้   และหนนี้ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมของแม่ ที่เหมือนจะป่วย ๆ และสติมาไม่ครบฮ่าๆๆ  พกมาน้อยก่อนออกจากบ้าน เริ่มเสียการควบคุม 

ดีโด้เริ่มทำการบรรเลงคร่ำครวญ  งอแง หิวข้าว ปวดท้อง แสบท้อง  ไส้จะขาดแล้ว  ฯลฯ  แม่ดาวก็หยิบนมกล่องให้ทาน เขาก็ปฏิเสธ บอกว่าดีโด้ไม่ได้หิวนม แต่ดีโด้หิวข้าว  นั่นไง เริ่มแล้ว....ก็เลยพาแยกออกจากกลุ่มและไปคุยกัน 2 ต่อ 2 ไม่ได้ยืนคุยนะคะ แต่นั่งคุย ในระดับเดียวกับเขา พูดคุยถามเหตุผลอะไร ยังไง และทวนข้อตกลงว่าเราตกลงกันว่าอย่างไร  ทวนได้หมด รู้หมด แต่......แม่ครับ ดีโด้ทนไม่ไหวแล้ว หิวข้าวจริง ๆ ฯลฯ  แม่ดาวจึงยื่นกล่องนมให้อีกครั้งและบอกว่า ทานนมก่อนนะครับ  แม่เข้าใจว่าลูกหิว เมื่อเช้าทานน้อยเนอะ เที่ยงได้ทานแน่ ๆ บอกให้รอ   ยังคงมีสติที่จะพูดดี ๆ ได้ แต่ใจเริ่มหงุดหงิด   ปากกับใจเริ่มไม่ตรงกัน ใจเริ่มเบื่อ และเหนื่อยด้วย  ร่างกายไม่พร้อมจริง ๆ  แต่ยังคงแสดงบทพูดออกไปได้อย่างไม่สะดุด พูดด้วยความชิน แต่ไม่อินในบท  ด้วยความไวต่อความคิดแม่  แม่เล่นไม่เนียนเนอะ ลูกจับได้ และจัดให้แม่ชุดใหญ่

ณ ตอนนั้นเขาไม่ทำก็ไม่ว่า  บอกให้เขารอจนกว่าจะครบเวลาของกิจกรรมช่วงเช้า  หรือหากอยากทำก็เข้ามาร่วมกิจกรรมกันได้  แม่ดาวก็ไปทำต่อ  เขาก็นั่ง ๆ นอน ๆ รออยุ่ตรงนั้นไม่ไกลนัก   สักพักมาใหม่ที่นี่ร้องไห้ น้ำตาไหล หิวข้าว แม่ครับทนไม่ไหว   ฯลฯ  เอาหล่ะ.....พอกันที  เมื่อไม่เป็นไปตามข้อตกลงกัน คือกลับบ้าน อดทุกกิจกรรมที่เหลือ   จะพากลับ ก็ไม่ยอม ด้วยอยากทำกิจกรรมต่อคือฟังนิทานกับทำสิ่งประดิษฐ์ ใช้กระบวนท่าไม้ตาย ร้องไห้ดัง ๆ หวังจะให้แม่ใจอ่อน  ขอร้องวิงวอน ขอทานข้าวที่นี้  คือเขาจะมีการจัดอาหารกลางวันไว้เลี้ยง  ดีโด้เขาจะคิดอะไรเร็ว เวลาเขาคิดแววตาเขาเราจะดูออก เลี้ยงมา 5 ปี กว่า มีหรือว่าแม่จะไม่รู้ทัน

คุณหมอผู้จัดงานเข้ามาช่วยไว้  บอกว่าให้ทานก่อนก็ได้ ไม่เป็นไร  ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา  แม่ดาวก็บอกกับคุณหมอถึงจุดประสงค์ของเรา ว่าเรามีข้อตกลงกันอย่างไร และบอกลูกว่าอาหารนี้จัดให้สำหรับคนที่เข้าร่วมทำกิจกรรมจนครบกำหนด   เจ้าดีโด้ฟังก็ร้องไห้ใส่ พูดดัง ๆ หิวข้าวๆๆๆๆ    พาก็จะพากลับเขาก็ทิ้งตัวเกาะขา ไม่ยอม   ขณะนั้นคุณหมอขอว่าให้เขาทานเถอะ ไม่เป็นไร   ด้วยความเกรงใจคุณหมอจึงตกลง แต่หันไปบอกกับลูกว่า “แม่ไม่ได้อนุญาตินะคะ  อันนี้คือคุณหมออนุญาติ   ลูกก็รู้ว่าเราตกลงกันว่าอย่างไร”  ตอนนั้นเริ่มเสียงแข็ง ตาวาวแล้ว แต่ไม่ได้ตวาด ไม่แผดเสียง นิ่ง ๆ เน้น ๆ จบ  

คุณหมอยังเมตตากรุณาให้แม่ทำตามข้อตกลงแม่ครึ่งทาง คือ  ให้ทานข้าวได้แต่ต้องรอทานพร้อมทุก ๆ คน  ระหว่างรอให้นั่งรอหน้าห้อง  สักพักเมื่อดีโด้เริ่มสงบ อันที่จริง พอคุณหมอบอกว่าได้ แม่ต้องยอม ดีโด้ก็ยุติการทำสงครามประสาททันที ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย พูดจาดี  ก็เขาชนะแล้วนี่นะ ชวนแม่พูดคุยฉอเลาะตามเดิม  เกมส์จบ  คุณหมอเข้ามาพูดคุยชวนให้เข้าไปฟังพระเทศน์ไหมข้างใน   เขาก็มอง ๆ ไม่อยากจะไป แต่พอคุณหมอบอกว่า ไม่ใช่พระองค์เดิม พระอีกองค์หนึ่ง เขาก็เปลี่ยนใจเข้าไปทันที   คิดว่าคุณหมอน่าจะเดาได้ว่าเขาไม่อยากทำกับพระอาจารย์คนเดิม   เข้าไปนั่งสักพัก ไม่นานมาก ก็เสร็จกิจกรรมและได้เวลาทานอาหารเที่ยง

ดีโด้เบิกบาน ยิ้มแย้ม อารมณ์ดีสุด ๆ ทานข้าวไป พูดไป “อร่อยจริง ๆ อาหารที่นี่เขาทำอร่อยมาก ดีโด้มีความสุขจริง ๆ แม่”   ทานเสร็จก็ชวนให้ไปทำบุญช่วยบริจาคเงินด้วย ช่วยค่าอาหารคุณหมอ  คุณหมอชวนคุยบอกดีโด้ว่า “ครั้งหน้ามาหายายอีกนะ   แล้วอยากจะทานอะไรบอกยายมายายจะเตรียมมาให้”  ดีโด้ก็ตอบไปด้วยความอิ่มหนำและเบิกบานใจอย่างที่สุด    รับปากด้วยว่าครั้งหน้าจะมาอีก  ก่อนกลับยังโชคดีได้เจอนักจิตวิทยาไม่แน่ใจว่าเป็นคุณหมอด้วยไหม แต่เขาบอกว่า “เด็กคนนี้ เขาฉลาดค่ะ เขาไม่ได้สมาธิสั้น แต่เขาฉลาด”  คุณหมอยังเพิ่มอีกว่า “เด็กคนนี้เขาฉลาดมาก และฉลาดกว่าแม่” ฮ่าๆๆๆๆ อันนี้ถึงคุณหมอและอีกท่านไม่บอก  ก็ตระหนักรู้อยู่เต็มอก ว่าเป็นเช่นนั้น  เพราะรู้ถึงต้องหมั่นสร้างสติ และเพิ่มพูนปัญญาเสมอ ๆ   

ข้อคิด 1 ที่ตัวเองได้จากนักจิตวิทยาท่านนั้น คือ  การมีข้อตกลงกันไว้ก่อนนั้นดีแล้ว แต่ควรผ่อนปรนบ้าง  และคุณแม่ได้ชมเขาไหม ว่า “แม่ขอบคุณที่หนูพยายามอดทนทำทั้ง ๆ ที่ลูกไม่ได้ชอบนัก” ประมาณนี้ จำคำพูดทั้งหมดไม่ได้   แทงใจเลยค่ะ เราลืมจริง ๆ  รู้ทั้งรู้ว่าเขามีนิสัยอย่างไร  จะว่าลืมก็ไม่ใช่เนอะ เรียกว่าไม่ใส่ใจเขาให้มากพอ มองข้ามความรู้สึกของเขา เห็นแต่ใจตัวเอง ไม่เห็นใจลูก   แต่ก็แอบไม่เห็นด้วยกับหากตกลงกันแล้วไม่ทำตามต้องผ่อนปรน  หากไม่มีคุณหมอแม่ดาวก็พากลับทั้ง ๆ น้ำตาเช่นนั้นแน่ ๆ ค่ะ  แต่ยอมรับผิดเต็ม ๆ ประตูเรื่องการไม่ให้คำชมลูกที่ยอมมาปฏิบัติกับเรา    

จากนั้นลงมารอทำกิจกรรมฟังนิทานและสิ่งประดิษฐ์ ปรากฎว่าไม่ตรงตามเวลาแฮะ ก็รอๆๆไป และไม่เห็นมีกิจกรรมสิ่งประดิษฐ์ หรือว่าผิดจุดก็ไม่รู้ มีแต่เล่านิทาน ระหว่างรอตอนนั้นใจเบาแล้ว พูดคุยได้แบบ ใจกับปากตรงกัน  น้องดีโด้บอกว่า แม่รู้ไหมดีโด้ทำได้นะ 14 ท่าน่ะ ง่ายจะตาย  แม่ดาวฟังบอกตามตรงว่า ไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะทำได้จริง เพราะเขาไม่ฟัง ไม่มอง มีตอนที่เราสอนทำตาม 2-3 ครั้งก็เลิกทำ  เขาบอกอีกว่าจริง ๆ แม่ไม่รู้อะไรดีโด้น่ะ แอบทำตอนที่นอนรอแม่ตรงนั้น ทำได้ด้วย  แล้วเขาก็ทำให้ดู และเขาทำได้จริง ๆ  แม่ดาวยิ้มและรู้สึกผิดในใจ  และพูดขอโทษลูกด้วยว่า “แม่ขอโทษนะครับที่วันนี้แม่หงุดหงิด แม่ไม่ได้ชมดีโด้เลย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ดีโด้ก็พยายามอดทนทำแล้ว และดีโด้ก็เก่งมากด้วยทำได้ครบ 14 ท่าทั้ง ๆ ก็ยากสำหรับเด็กวัยขนาดลูก”  ดีโด้ยิ้มและกอดแม่  บอกสั้น ๆ ว่า “ไม่เป็นไร ดีโด้รักแม่นะ”  จบซึ้งมาก  

                อดทนพาลูกทำกิจกรรมจนเสร็จ และไปทานไอติมต่อ กลับบ้านพร้อมยาแก้ปวด 2 เม็ด นอนพัก หลับยาว ทิ้งให้ลูกอยู่กับป๊าต่อ แปะมือเปลี่ยนตัว แม่ไม่ไหวแล้ว  ขอพัก ตื่นมาดีขึ้นเยอะ   อีก 1 วัน ที่แม่อย่างฉันแทบจะคลาน  ใครไม่เคยเลี้ยงลูกลำพังแบบนี้คงไม่เข้าใจความรู้สึกเนอะ ว่ามันสุด ๆ ขนาดไหน ฮ่าๆๆ  แต่ชีวิตแม่ ๆ ก็ไม่ได้แย่แบบนี้ทุกวันนะคะ  จริงไหม
                 
                  ต้องขอบคุณคุณหมอที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ขึ้นมาสร้างโอกาสให้ลูกและแม่ได้เจริญสติไปพร้อม ๆ กัน ขอบคุณนักจิตวิทยาท่านนั้นที่กรุณาแบ่งปันข้อคิดดี ๆ ขอบคุณลูกที่เป็นตัวเพิ่มพลังสติและปัญญาให้แม่เสมอ ๆ