วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มาฝึกความลำบากกันบ้างเถอะ


                พอดีได้อ่านบทความนึงเรื่องนึงเกี่ยวกับเด็กในปัจจุบันมักติดความสะดวกสบาย  ทำให้ได้ย้อนคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เลยอยากนำมาแบ่งปัน   

                ณ เช้าตรู่วันศุกร์ และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพาลูกชายไปเดินซื้อของที่ตลาดสดแถว ๆ บ้าน  ปกติสมัยก่อนนั้นมักจะเดินทางโดยการขี่จักรยานกันไป  โดยมีที่นั่งเด็กอยู่ข้างหน้า  พาไปบ่อยมาก ในช่วงก่อนเข้าโรงเรียน  หลัง ๆ ลูกโตขึ้นมากเวลานั่งข้างหน้าจะทำให้เรามองทางไม่ค่อยเห็น  จึงต้องมานั่งซ้อนท้าย แต่ด้วยความเป็นห่วงของสามีกลัวลูกเกิดอันตราย ก็เลยไม่ได้ไปเท่าไหร่นัก แทบจะนับครั้งได้ที่ได้ไป  มาประจวบกับตัวเองเอ็นหัวไหล่ข้างขวาฉีก คุณหมอห้ามขี่จักรยานและทำกิจกรรมเคลื่อนไหวแขนมาก ๆ หรือยกของหนัก ๆ ก็ไม่ควร

                เข้าเรื่องเนอะ  ด้วยการปลุกลูกแต่เช้าตรู่และเขาก็รู้ว่าหากเป็นวันหยุดจะสามารถตื่นสายได้นิดหน่อย ส่วนมากปกติลูกชายก็จะตื่นไม่สายมากนักประมาณเจ็ดโมงก็จะตื่นหากเป็นวันหยุด   และไม่ได้มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าว่าแม่จะพาไปตลาด ซึ่งปกติต้องคุยกันแต่เนิ่น ๆ พอดีเช้าวันนั้นแม่อยากไปซื้อของตลาดสด เพราะได้ของสด ราคาไม่แพงมากนัก และมีของให้เลือกหลากหลาย  ด้วยอยู่กันสองคนแม่ลูกจะทิ้งไว้ก็กระไร  ปลุกและไปด้วยกัน   ลูกชายเสนอขอขี่จักรยานไปเพราะชอบสนุกดี  แต่แม่ไม่ไหว แขนไม่ดี เลยต้องขับรถไปและไปจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ  ระยะทางจากบ้านไปตลาดก็น่าจะประมาณกิโลกว่า ๆ หรืออาจจะถึงสองไม่แน่ใจ   และระยะทางจากที่จอดรถไปถึงตลาดน่าจะประมาณ 300-400 เมตรประมาณนี้ 

                จอดรถเสร็จพาลูกลงเดิน ก็บ่นทันที  เหม็น  ขยะแขยงน้ำเน่าขัง  อีกทั้งยังมีขี้หมามากมายกระจายเป็นจุด ๆ บ้างเละ บ้างเป็นก้อน เดินไปก็ต้องใช้ความระวัดระวัง ต้องมีสติมาก มิเช่นนั้นอาจพลาดไปเหยียบได้ฮ่าๆๆ  ระหว่างเดินก็บ่น แม่จอดรถไกล เดินไม่ไหว เดิน ๆ ไปยังไม่ถึงก็บ่นร้อน บ่นเหนื่อย เมื่อยขา ง่วงนอน สารพัดจะบ่น  แม่ดาวก็ฟังๆๆๆ และยิ้มชวนคุยรับฟังบ้าง  เปลี่ยนเรื่องบ้าง สลับ ๆ กันไป เดินซื้อของจนเสร็จก็หอบหิ้วช่วยกันถือขนกลับมาที่รถ ระหว่างนั้นทุกขณะ ลูกชายก็พร่ำบ่นไปตลอดทางกับเรื่องเดิม ๆ แม่ดาวก็ยังทำเหมือนเดิม  จนถึงกลางทางมีร้านขายน้ำ เลยถามว่าอยากซื้อน้ำเย็น ๆ ทานไหม เขาก็สนใจ ตอบรับด้วยความยินดี

                ร้านนี้คนเยอะ  ต้องรอคิวนานพอสมควร  เขาก็บ่นอีก นานจัง เมื่อไหร่จะได้ ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว เมื่อยก็เมื่อย โอ้ย......ดูซิชีวิตไม่มีความสุขสักนิดฮ่าๆๆๆๆ (อันสุดท้ายเขาไม่ได้บ่น แต่เราแอบบ่นตีความแทน)  ชวนคุย ชวนคิด ว่าทำไมหนอถึงคนเยอะนักหนากับร้านนี้  แสดงว่ามีของดี อร่อย คิวเลยยาว  รออีกนิดนะ.. ไม่ดีเหรอได้นั่งรอนาน ๆ ก็บ่นเมื่อยขาไม่ใช่เหรอ  นั่งรอจนเย็นใจ คลายเหนื่อย ก็ได้น้ำดื่มเย็น ๆ ก็ชื่นใจ ดับร้อนกายร้อนใจได้อีกนิด  ใจเย็นแล้ว ได้เวลาปฏิบัติการ

                ระหว่างเดินทางจากร้านไปถึงลานจอดรถ เราได้คุยกัน
แม่            เฮ้อ...เหนื่อยเหมือนกันเนอะ แต่แม่โชคดีที่แค่เหนื่อยกาย หนักถือของ เมื่อยขานิดหน่อยแต่ไม่เหนื่อยใจสักนิด  เห็นลูกแม่ก็สงสาร เห็นใจ เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจเลยนะนี่   นี่ถ้าแม่เหนื่อยแทนลูกได้นะแม่จะทำ แต่นี่แม่เหนื่อยแทนลูกไม่ได้ ทำได้แค่เห็นใจ
ลูกชาย      ไม่เลย ดีโด้หายแล้วแม่ ตอนนี้เหนื่อยแค่กาย ไม่เหนื่อยใจแล้ว (คงได้สติและอยากจะแสดงให้แม่เห็นจะได้ชื่นชม)
แม่            โอ้โห...ดีจังเลยลูก  ดีแล้วเนอะที่ลูกคิดได้ ไม่งั้นแย่เลย เหนื่อยสองต่อ แทนที่จะเหนื่อยต่อเดียว (คำนี้ได้มาจากการฟังธรรมของพระไพศาล)

                โดยปกติลูกชายแม่ดาวนั้นก็เป็นเด็กคนนึงที่ติดความสะดวกสบาย ด้วยปัจจัยแวดล้อมหลาย ๆ อย่าง แต่เขาก็จะเหมือนเป็นลูกครึ่งระหว่างพ่อและแม่ (ค่อนไปทางพ่อมากกว่านะ) ด้วยพื้นฐานครอบครัวทางพ่อนั้นจะเป็นคนกทม.แต่กำเนิดใช้ชีวิตแบบสะดวกสบายมาตั้งแต่เล็ก มาลำบากเอาตอนโตฮ่าๆๆ  ส่วนแม่ดาวนั้นใช้ชีวิตแบบเด็กต่างจังหวัด ถามว่าลำบากไหม ก็ไม่เคยรู้สึกว่าลำบากอะไร เห็นว่าชีวิตที่เป็นอยู่นั้นมันธรรมดา สนุกสนานด้วยซ้ำ  ด้วยความต่างกันมากเรื่องการเลี้ยงดูมาของแต่ละครอบครัว(พ่อแม่) ทำให้มีแนวความคิด วิธีการเลี้ยงที่ต่างกัน  หลาย ๆ เรื่องก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย แต่ก็ยอมด้วยคิดว่าก็ไม่เป็นไรแค่นี้ยอมได้ เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน แต่บางเรื่องก็ไม่ยอมนะคะ อิอิ

                ตั้งแต่เล็กแม่ดาวเลี้ยงแบบติดดินพอสมควร  คือจังหวะไหนได้โอกาสติดดินได้ ติดดิน คลุกโคลนกันเลยทีเดียว  แต่หากโดยทั่วไปก็ใช้ชีวิตร่วมกันพร้อมหน้ากันก็จะยกลอยพื้นดินระดับนึง เพื่อความสมานฉันท์ในครอบครัวฮ่าๆๆ   ถ้าอยู่กันเอง 2 คนจะธรรมดา ออกจะพยายามให้ลำบากด้วยซ้ำ 

อีกเรื่องคือการขึ้นรถประจำทาง ซึ่งเป็นโอกาสยากมากที่ดีโด้จะได้นั่งรถแบบนี้  มอเตอร์ไซค์ก็เคยนั่งแล้วที่กทม. แม่แอบพาลูกขึ้นมอเตอร์ไซค์วิน ไปสวนสาธารณะใกล้ ๆ บ้าน ก็มี แต่สามีรู้เขาก็ห่วง และไม่อยากให้เดินทางแบบนี้  เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย  เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมาดีโด้ได้มีโอกาสได้นั่งรถประจำทางเต็มรูปแบบ คือนั่งแบบไกลระยะนึงเพื่อเดินทางกลับบ้าน ป๊าติดต้องเข้าเวรมาส่งถึงบ้านจะเข้าเวรไม่ทัน  จึงต้องตัดใจทิ้ง 2 แม่ลูกไว้ให้เดินทางกลับเองลำพัง 

                แม่ดาวแอบดีใจ หึๆ ได้โอกาสสอนวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตซะที   ตอนอากาศตอนบ่าย แดดร้อนจัด ริมถนน ณ ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง  รถเมล์สายที่จะขึ้นกลับบ้านมีเพียงสายเดียวจากตรงนั้น และเป็นรถที่ต้องใช้เวลาในการอคอยนานมากๆๆๆๆๆ   แม่ดาวสายตาสั้น เลยบอกลูกว่า แม่อาจมองเลขรถเมล์นี้ไม่ทัน บอกลูกว่า ลูกมีหน้าที่มองเลขรถประจำทางให้แม่ และโบกด้วย  พอบอกไปลูกสงสัย เกิดความใคร่รู้  อ้าว....แล้วเลขป้ายนี้จะดูจากตรงไหน ไม่เข้าใจ ไม่เคย ไม่เป็นไร แม่สอน  มีรถเมล์มากมายหลายสายผ่านมาให้ได้ฝึก สอนดูเลข ส่วนตัวอักษรนั้นยังอ่านไม่ออก แต่แม่จะบอกว่าหากอ่านออก ควรอ่านเพราะมันจะบอกว่ารถคันนี้จะพาเราไปทางไหน  ด้วยอาการที่เมื่อยขาเพราะไปเที่ยวห้างสรรพสินค้ามาทั้งวัน อากาศในห้างนั้นก็เย็นฉ่ำ ส่วนอากาศภายนอกนั้นก็ฉ่ำแฉะไปด้วยเหงื่อ ฮ่าๆๆ รอๆๆๆๆ และบ่นตลอด ๆ เช่นเดิม ร้อน เมื่อย เหม็นควัน หิวน้ำ สารพัด โชคยังดีมีน้ำติดมาจากร้านอาหารที่ไปทาน ครึ่งขวด ช่วยได้หน่อยนึง 

การรอคอยยาวนานมากเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด  กี่สาย ๆ ก็ไม่ใช่เลขที่แม่บอก  ลูกชายบ่นว่า เงินก็มีทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่  แม่ดาวเลยบอกว่า เงินมี ขึ้นแท็กซี่ได้ แต่ประสบการณ์แบบนี้หาซื้อไม่ได้ง่าย ๆ นะ ฮ่าๆๆ คงไม่เข้าใจว่าแม่หมายถึงอะไร  ไม่ชวนคุยมากนักรับฟัง ๆๆๆ  เขาบ่น  จนเขาอ่อนใจ แทบไม่ไหว แดดร้อนมากจริง ๆ  เขาบอกว่าจะไม่รอแล้ว จะขึ้นรถคันนี่ คือคันที่กำลังจะจอดป้าย กี่คัน ๆ ที่ผ่านไปก็เห็นแต่เลขนี้ ส่วนใหญ่นะคะ  ไม่เห็นเลขที่แม่บอกสักที  ไม่รู้แล้วเลขนี่ก็จะขึ้น  ดึงลูกไว้และบอกเหตุผลว่าเลขนี่ไปคนละทางกับบ้านเรา  ขึ้นเลขนี้ก็ได้ แต่ไปไม่ถึงบ้านนะ ต้องไปหลงทางและคงอีกนานกว่าจะได้กลับบ้าน เพราะแม่เองก็ไม่ชำนาญการขึ้นรถเมล์เหมือนกัน  ได้ฟังก็หยุด  แล้วบ่นต่อ เวลานั้นเหมือนน้ำตาจะไหลแล้ว 

ด้วยความเข้าใจ ว่าเขาเหนื่อยมาเยอะแล้วส่วนหนึ่ง คงง่วงด้วยส่วนหนึ่ง และความอดทนมีน้อยด้วยส่วนใหญ่ ฮ่าๆๆๆ เลยบอกไปว่า งั้นขอรออีก 6 คัน ลูกนับไป ถ้าถึงคันที่ 6 แล้วรถยังไม่มา แม่จะพาขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน  เขาก็ใจชื่นขึ้นนิดได้ยินคำว่าแท็กซี่และได้กลับบ้าน  เอาล่ะ เริ่มนับ1....2.......3..........ผ่านไป 3 คัน พอคันที่ 4 ใช่เลย มาแล้ว รถเลขนี้ที่เรารอคอย  โบกและขึ้นไปนั่ง

ด้วยเป็นรถปรับอากาศ อีกทั้งคนขึ้นก็ไม่เยอะนักในตอนนั้น เลยได้นั่งสบาย ๆ  ลูกยิ้มได้  พอทุกข์มันเยอะ จะสุขง่ายนะลองดู  เขาดูมีความสุข นั่งยิ้มจากบ่น ก็เป็นพูด บอกว่าทำไมอากาศเย็นสดชื่นขนาดนี้ ทั้งที่ก็ไม่ได้เย็นอะไรมากนัก แต่อุณหภูมิข้างนอกกับข้างในมันต่างกันเยอะพอสมควรมั้ง เลยรู้สึกถึงความเย็นได้ง่ายและรู้สึกสบาย ๆ นั่งไปยิ้มไป คุยไป  เห็นอารมณ์ดีแล้วเลยชวนคุยว่าเหตุใดเราถึงควรขึ้นรถเมล์กัน  ส่วนหนึ่งก็พูดถึงเรื่องเงินที่เราจะต้องจ่าย แบบนี้ประหยัดกว่า บอกราคาโดยประมาณ และโชว์ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่เสียไปที่ตั๋วให้ลูกได้ดู เห็นไหม แค่ 11 บาท แถมกระเป๋ารถเมล์ใจดีไม่เก็บเงินเด็กให้ขึ้นฟรีอีกต่างหาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ต้องเสียไม่ต่ำกว่า 70 บาทแน่นอน ส่วนต่างที่เราได้เราเอาไปซื้อไอติมกินกันก็ได้เมื่อถึงบ้าน และได้แวะร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยบ้านอีกที   ที่นี่ต้องเดินจากปากซอยบ้านเข้าไปถึงบ้านก็ระยะพอสมควร แดดก็ร้อนจัด แต่ใจเย็นแล้ว มีไอติมด้วยไม่บ่น เดินยิ้มได้ อย่างสบายใจไม่ยากนัก

เรื่องราวเหล่านี้ หลายบ้านอาจมองว่าเรื่องปกติที่สุด   ไม่เห็นว่าจะลำบากอะไรสักนิด เพราะเขาได้ทำกันจนเป็นปกตินิสัย  แต่สำหรับบางบ้านก็คงมองว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเอาการ   แม่ดาวอยากให้ลูกมีมุมมองว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติของชีวิตจริง ๆ  แต่ ณ เวลานี้ ยังไม่ใช่เนอะ  ต้องค่อย ๆ แอบฝึกฮ่าๆๆ สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต   แต่อยากบอกว่าลูกแม่ดาวหากเขาไปอยู่บ้านยายต่างจังหวัดก็เหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสีทันที สามารถเดินตากแดด เล่นตากแดดได้นาน ๆ ไม่บ่น แถมสนุก คลุกโคลน แช่น้ำในร่องข้าวโพดได้อย่างไม่รู้สึกว่าแบบนี้สกปรก   แต่พออยู่กรุงเทพฯก็จะอีกอย่างหนึ่ง บางทีไปสระว่ายน้ำ ก็บ่นสกปรก แค่มีเศษใบไม้ตกหล่นลงไป  ฮ่าๆๆๆ    มันอยู่ที่ใจเขาเนอะ   แม่ดาวพยายามสอนให้เรื่องใจ การวางความรู้สึกของใจ แบบไหนทุกข์ แบบไหนสุข ชี้ให้เขาเห็น สอนให้ดูที่ใจเขานั่นแหละ  เวลา ณ ขณะจิตเกิด ทุกข์ หรือ สุข ชี้ให้เห็น  พยายาม ๆ ทำเมื่อคิดได้ก็จะบอกอาจไม่ได้ถึงขนาดว่าบอกกันตลอดเวลา  แต่อย่างน้อยเขาก็รู้วิธีที่จะจัดการเบื้องต้น ส่วนการปฏิบัตินั้นก็ขึ้นอยู่กับเขา  ว่าจะทำไหม  แต่อย่างไรก็จะคอยกระตุ้น ๆ กระตุกให้คิดเรื่อยๆ  ลูกเนอะจะปล่อยเลยตามเลยคงไม่ได้  ย้ำบ้าง เตือนบ้าง แต่ไม่ต้องบ่นเนอะ  แบบนี้น่าจะดีกว่า จริงไหม


                 

ไม่ๆๆ ยังไงก็ไม่ไปโรงเรียน

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วย 
 ดีโด้        แม่วันนี้ดีโด้ขอหยุด 1 วันนะ ดีโด้ไม่อยากไปโรงเรียน
แม่         แม่รู้ว่าลูกอยากอยู่บ้าน เดี๋ยวแม่ให้หยุด เสาร์อาทิตย์เนอะ (รับฟังและไม่ปฏิเสธความรู้สึกของลูก)
ดีโด้         ไม่ๆๆ  ดีโด้ไม่ไปโรงเรียน (โวยวายเสียงดัง ร้องไห้ไปพูดไป)
อีกแล้ว งานเข้าแต่เช้า
แม่          คำตอบเดิมเช่นกันครับลูก  อืม...ดีโด้จะอาบน้ำแต่งตัวก่อน หรือจะทานข้าวก่อนดี ( ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน และให้ทางเลือกเชิงบวก)
ดีโด้         ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไปโรงเรียน   ไม่เลือกอะไรทั้งนั้น ดีโด้จะอยู่บ้านยังไงก็ไม่ไป (โวยวาย งอแง)
แม่           ตอบแบบนี้แสดงว่า ดีโด้ยกสิทธิ์นั้นให้แม่เลือกนะ  ตกลงแม่เลือกอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วกัน (ใจดีแต่ไม่ใจอ่อนเลือกเองและปฏิบัติตามที่เราได้ตกลงกันไว้ แม้จะดูเหมือนฝ่ายเดียวก็ตามฮ่าๆๆๆ)

แล้วก็จัดการแบบทุลักทุเล จะตัวใหญ่กว่าแม่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงขนาดดิ้นพลาด ๆ แค่ฝืน ๆ ตัวนิดหน่อย แต่พอบอกว่าแม่เจ็บมากเลย เอ็นไหล่ขวาก็ยิ่งฉีก ๆ อยู่ เขาก็จะยอมทำตามมากขึ้น แต่ไม่ได้ร่วมมือมากนัก  ขณะที่ทำการอาบน้ำให้ ต้องทำความสะอาดกายไปพร้อมใจ

ดีโด้           แม่ไม่รู้หรือไง ว่าดีโด้มีปัญหาที่โรงเรียน
แม่            แม่ก็พอรู้นะ  แต่ไม่แน่ใจว่าปัญหาตอนนี้ที่ทำให้ไม่อยากไปคือเรื่องที่แม่รู้แล้วหรือยัง  แล้วเรื่องอะไรลูก (รับฟังๆ และแสดงความเข้าใจ)
ดีโด้          ก็ดีโด้เบื่อ จะทนไม่ไหวแล้ว เพื่อนชอบแกล้ง แกล้งทุกวัน 

ปัญหาเรื่องนี้ รู้มาตั้งแต่แรกๆ แล้ว เพื่อนคนเดิม และเรื่องเดิม ๆ แต่ยังแก้ไขไม่ได้เด็ดขาด เพราะครูกับทราบแล้ว แต่ก็อย่างว่า ครู 1 หรือ 2 คน ต่อจำนวนเด็ก 36 คน ก็ยากที่จะดูแลทั่วถึง และดีโด้บอกประมาณว่า เขาจะรอให้เจ็บกาย เจ็บใจถึงที่สุดก่อนถึงจะไปบอกครู เขาเห็นใจครู บอกว่าครูดูงานยุ่งมากตลอด เด็กคนอื่น ๆ ก็มีปัญหาตลอดๆ  ครูดูเหนื่อยมากกับเด็ก ๆ

แม่            อืม...ปัญหาเดิมนี่ลูก  โห...ยังจัดการเรื่องนี้ไม่ได้เหรอครับเนี้ย  อืมแล้วทำไงดี แล้วบอกครูอีกหรือเปล่าที่เพื่อนแกล้ง (รับฟังและยังต้องแสดงความเข้าใจต่อไป)
ดีโด้          ครูประจำชั้นก็ไม่อยู่ไปสอนภาษาไทยเด็กอีกห้อง
แม่            อ้าว...แล้วไม่มีครูอื่นอยู่กับเด็ก ๆ เลยเหรอครับลูก
ดีโด้          มี ครู.... แต่ครูเขาก็งานยุ่งมาก
แม่            อืม...  นั่นซินะ เด็กก็เยอะเนอะ ครูก็มีแค่คน สองคน จะแก้ยังไงดี  ให้แม่ช่วยอะไรไหม
ดีโด้          ให้แม่ช่วย  อนุญาติให้ดีโด้หยุดเรียน 1 วัน
แม่            เอ....แม่ให้สิทธินี้กับลูกไปแล้วนะ ตอนซัมเมอร์ ลูกขอสิทธิ์นี้ไปแล้ว และสัญญาแล้วว่าแค่ 1 ครั้ง เปิดเทอมลูกจะไปโรงเรียนแต่โดยดี
ดีโด้          ไม่ๆๆๆๆๆ  ดีโด้จะไม่ไปโรงเรียน (โวยขึ้นมาอีก เพราะจนมุมทุกข้อกล่าวหาฮ่าๆๆๆ)
แม่            ใจเย็น ๆ เรามาคุยกันดี ๆ เนอะ  อย่างนี้ไม่เรียกว่าการแก้ปัญหานะลูก  อย่างนี้เรียกว่าหนีปัญหา  ต่อให้ลูกจะหยุดสักกี่วัน พอไปโรงเรียน เพื่อนก็แกล้งลูกอีกอยู่ดี
ดีโด้          งั้นก็ไม่ต้องไปเลยซิ
แม่            ถ้าไม่ไปเลย คิดดูนะ ว่าจะมีผลยังไง ปัญหาจะตามมาเยอะแแยะกว่านี้อีก ไม่ได้เรียน ก็ไม่มีความรู้ ไม่มีความรู้ ก็ไม่มีงานทำ ไม่มีงานทำ ก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงิน ก็ไม่มีบ้านที่ดีโด้สัญญาว่าจะซื้อให้แม่อยู่  อีกอย่างไหนลูกบอกว่าอยากจะเป็นคุณหมอรักษาแม่ตอนไม่สบายไง
ดีโด้          (สงบลงนิดหน่อย)  แต่ดีโด้ไม่อยากไปโรงเรียนจริง ๆ นี่แม่
แม่            แม่ก็รู้ว่าดีโด้ไม่อยากไปโรงเรียนจริง ๆ  แล้วเราไปโรงเรียนเพื่ออะไรล่ะ  ไปเล่นกับเพื่อนเหรอ หรือเพื่อไปหาความรู้
ดีโด้ไม่ตอบ ตีมึนไปเรื่อย บ่นๆ แต่ไม่ถึงกับโวยมากเหมือนตอนแรก  ได้เวลาแต่งตัว ชุดนักเรียน
ดีโด้          ดีโด้จะไปก็ได้ แต่ดีโด้จะใส่ชุดอะไรก็ได้
แม่            (ยิ้ม)  ได้ซิลูก แม่อนุญาติ ตามใจลูกเลย  ป่ะ ไปเลือกกันเนอะ ว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไรดี  (พูดจบดีโด้สบตา ประมาณว่า ว้า แผนนี้ล้มเหลวฮ่าๆๆๆๆๆ แม่ไม่รับมุข พาไปเลือกชุด)  เอาชุดไหนดีครับ  ( หากเรายิ่งปฏิเสธ จะยิ่งเป็นเรื่องเพราะเขาต้องการเอาชนะ เราจึงเปลี่ยนเป็นผู้ยอม แต่สุดท้ายผู้ยอมคือผู้ชนะจ้า)
ดีโด้          (คิดเร็ว พลิกสถานการณ์) เอาชุดลูกเสือ
แม่            อ้าวเหรอ  ใส่ชุดลูกเสือวันนี้ แล้ววันศุกร์เพื่อน ๆ เขาใส่ชุดลูกเสือแล้วลูกจะใส่ชุด ลูกอะไรล่ะเนี้ย (ใช้อารมณ์แหย่ขำๆ แต่เป็นการชวนให้เขาคิดทวบทวนอีกที  และหากเขายืนยันว่าจะใส่ แม่ดาวก็ให้ใส่ค่ะ แล้วเขาจะได้บทเรียนด้วยตัวเขาเองจากสังคมที่โรงเรียน)
ดีโด้          ใส่ชุดนักเรียนก็ได้ แต่ไม่ใส่เอง
แม่            ได้ ๆ มะ แม่จะใส่ให้นะ น้องอนุบาลอยู่นี่เนอะ 
ดีโด้          ไม่ใช่ ดีโด้เป็นพี่ ป.1   แต่อยากให้แม่ใส่ให้นี่
แม่            อ๋อ....ได้ ๆ แหม...นาน ๆ ที ได้ช่วยลูกแต่งตัว เพราะปกติลูกแม่ก็เก่งแต่งตัวเองตลอดเนอะ (ชื่นชมเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดีในอนาคต)

 แต่งตัว ทานข้าว ระหว่างนั้น ก็มีบ่นไปเรื่อยว่าไม่อยากไป  แม่ดาวก็พยายามเบี่ยงประเด็น ดูข่าวยามเช้าด้วยกัน คุยเรื่องข่าวด้วยกัน  วันนี้โชคดีมีข่าวหลินปิง ข่าวงู ข่าวแมลง  ข่าวระเบิด  แต่ละข่าวเป็นเรื่องที่ดึงความสนใจดีโด้ได้เยอะ  เลยสงบไปได้มาก
ถึงเวลาจะออกจากบ้าน  ก็อิดออด เวลาป๊าไปส่งทีไรจะอิดออดก่อนออกจากบ้านเยอะ แต่พอไปถึงโรงเรียนหากไปกับป๊าจะไม่ร้องไห้    เลยต้องใช้มุข

แม่            ครายไม่รีบไปโรงเรียน   ผีแม่.....จะจับกินตับ แฮ่ๆๆๆๆๆๆๆ
ดีโด้กรี๊ดวิ่งถือถุงเท้า และรองเท้าไป นั่งแอบแม่ และใส่หน้าบ้าน  มุขนี้ยังใช้ได้ แต่ไม่รู้จะได้อีกนานแค่ไหน   สุดท้ายก็ไปอย่างไม่มีน้ำตา  แต่เหนื่อยเหมือนกันนะนี่   คิดๆๆๆ  สมองได้ทำงานหนักแต่เช้า ตื่นตัวเลยฮ่าๆๆๆๆๆๆ

*** การชวนคุยเป็นเรื่องดีนะคะ ช่วยให้ลูกได้ระบายความอึดอัดคับข้องใจ หรือเพื่อระบายความรู้สึกอื่น ๆ  เวลาที่ลูกพูด แล้วเราสนใจตั้งใจฟังช่วยทำให้เขาผ่อนคลายและรู้สึกวางใจเรามากขึ้นด้วยจ้า  และอารมณ์ขันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อารมณ์เราและลูกดีขึ้นได้ไม่ยากนักนะจ๊ะ   รักก็ต้องรู้ รู้ก็ต้องทำ ทำก็ต้องคิด คิดก็ต้องดี  ดีแล้ว ก็จบแล้วจ้า  หรือหากคิดว่าคิดดีแล้ว แต่ทำไมทำแล้วมันยังไม่ดี อันนี้ก็ค่อยกลับมาทบทวนกันใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ได้นะ  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  หากมันยังไม่สำเร็จก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมฮ่าๆๆๆๆ