วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผู้ชายหัวใจหญิง


      เมื่อเย็นวาน ขณะที่เราแม่ลูกกำลังนั่งพูดคุยกัน 

ลูก            แม่ครับ คุณครู ....... ใจดีมากเลยครับแม่
ครูท่านนี้เป็นผู้ชาย แต่แม่ดาวยังไม่ฟันธงนะคะว่า เป็นผู้ชายหัวใจหญิงแน่ ๆ เพราะไม่ได้ใกล้ชิดมากนัก  แค่ดูภายนอกเป็นผู้ชายที่เรียบร้อย อ่อนโยน แววตาใจดีมาก  ดูจากการแต่งกายจะเป็นผู้ชายสำอางค์ค่ะ 

แม่            ครู... ใจดีมากและลูกก็ชอบครู....  มากเลยใช่ไหมลูก

ลูก    ใช่   ครูจะใจดี รักดีโด้มากอยู่คนเดียว  เด็กคนอื่น ๆ ครูจะไม่ค่อยรัก ทำไมล่ะแม่

แม่           ถ้าถามแม่ เท่าที่แม่รู้  ลูกเป็นเด็กดี ตั้งใจฟังครูสอน ก็ไม่แปลกเนอะถ้าครูจะรักเป็นพิเศษ  แต่เอ...แล้วเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ หลาย ๆ คนเท่าที่แม่รู้มา (ไปประชุมผู้ปกครองมา) คุณครูก็บอกว่าเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน หลายคนนะ 

ลูก           ใช่    แต่ก็มีบางคนซนๆ ดื้อ ๆ

แม่            นั่นซิ   แล้วทำไมดีโด้ถึงคิดว่าครู...... รักหนูมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ ล่ะครับ

ลูก            ก็ครูจะใจดีกับดีโด้มาก  ชอบมาคุยกับดีโด้ วันนี้ก็เกือบจะจุ๊บดีโด้

แม่            อืม....เข้าใจแล้ว แล้วกับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ครูไม่ทำแบบนี้เหรอลูก

ลูก            ไม่  ครูจะรักดีโด้มากคนเดียว

เมื่อได้ฟังแบบนี้ แม่ดาวกลับมาดูอาการทางกาย  ทางใจตัวเอง เรารู้สึกยังไง กับสิ่งที่ลูกเล่า  ยอมรับว่ามีสะดุดใจกับคำพูด ที่บอกว่าครูจะจุ๊บน้องดีโด้   อย่าด่วนสรุปตัดสินพิพากษาผุ้อื่น  ประโยคนี้ก้องดังในสมอง    ดังนั้นจึงวางความคิดนั้นลง และคุยต่อได้

แม่            คุณครู.......รักและเมตตาลูก เป็นเรื่องที่น่ายินดี เป็นเรื่องดีนะลูก  แต่ความรักและความเมตตานั้นควรมีขอบเขตในการแสดงออกถึงความรัก   เช่น หากครูหอมแก้มลูก แม่รักลูกแม่ก็หอมแก้มลูกได้ แบบนี้แม่ว่าก็ไม่เป็นไร แต่หากล่วงเกินร่างกายของเรามากเกินไปในบริเวณที่ต้องห้าม  เช่น มาจับน้องชายหนู  มาลูบคลำก้นลูกที่ไม่ใช่การหยอกล้อ เล่น หรือลงโทษ   ชวนหนูไปในที่ไม่ค่อยมีคน ในห้องและอยู่กันลำพัง  อันนี้อันตรายมากนะคะ  หากลูกไม่แน่ใจก็ให้ห่างไว้ อยู่กับคนเยอะ ๆ ไว้ดีที่สุด

                (แอบเครียด จะพูดต่อยังไงดีหนอ ยากจริง)  

ลูก           ครับ  (แววตาดูเริ่มกังวล)

แม่            ดีโด้รู้จักหรือเข้าใจคำว่า ผู้ชายหัวใจผู้หญิงไหม

ลูก            รู้จักซิแม่  ดีโด้เคยเห็นตั้งหลายคน

แม่            อืม....แล้วดีโด้คิดว่าคุณครู....... เป็นผู้ชายหัวใจผู้หญิงไหม

ลูก            อืม.........คิดว่าน่าจะใช่นะ   เอ.....หรือไม่ใช่

แม่            ดีครับลูกคิดแบบนี้ ไม่ด่วนตัดสินว่าใครเป็นยังไง แบบไหน  ไม่ว่าครูจะเป็นผู้ชายหัวใจผู้หญิง หรือจะเป็นผู้ชายหัวใจชาย ก็ไม่ใช่ประเด็น ไม่สำคัญเท่ากับว่า ครู เป็นครูที่ดี  ลูกเข้าใจคำว่าครูที่ดีไหม

ลูก            เข้าใจ  (แม่ดาวไม่ถามต่อว่าครูที่ดีคืออะไร เพราะคิดว่าลูกคงจะรู้คำตอบแล้ว จึงไม่ถามลูกต่อ ว่า แล้วครูที่ดีในความเข้าใจของลูกคือครูแบบไหน  ข้ามไป หากไม่แน่ใจจะใช้คำถามนี้ต่อค่ะ)

แม่            ผู้ชายหัวใจผู้หญิง  ผู้หญิงหัวใจผู้ชาย  แบบนี้มีมากมายในปัจจุบันลูกก็เห็น  ลูกคิดว่าเขาเป็นแบบนี้ผิดไหม เป็นคนไม่ดีหรือเปล่า

ลูก            ไม่รู้ 

แม่            อืม....ไม่รู้เนอะ มันเข้าใจยากเหมือนกันแหละสำหรับเด็ก  แต่หากถามแม่  เขาอาจเป็นผู้ชายหัวใจหญิง หรืออะไรก็แล้วแต่  เขาเลือกเกิดไม่ได้จริงไหม  เขาอาจเกิดมามีร่างกายเป็นผู้ชาย แต่ข้างใจหัวใจเขาเป็นผู้หญิง แม่ว่าก็ไม่ผิด  หากจะถามว่าการเป็นแบบนี้ กายอย่างใจอย่างแบบนี้ ตัดสินได้ไหมว่าเขาเป็นคนไม่ดี แม่ว่าไม่ได้นะ  แม่มีเพื่อนที่เป็นชายหัวใจหญิง และมีเพื่อนหญิงหัวใจชาย แม่ก็เห็นเขาเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น  เราตัดสินคนที่ภายนอกไม่ได้เลย ต้องดูไปเรื่อย ๆ ดูพฤติกรรม ฟังเขาพูด เพราะคำพูดดจะสือถึงความคิดด้วย  จำได้ไหม คิดดี ทำดี พูดดี   แต่ก็มีนะ บางคนพูดจาไม่ดี แต่จิตใจดีแบบนี้ก็มี มันหลากหลาย 

(มองตา และดูอาการท่าทางเขาตลอดว่าเขาอยากฟังเราไหม  สนใจฟังไหม  อ๋อ.....สนใจฟังหูผึ่ง งั้นต่อ)

แม่            ในสังคมมีทั้งคนดี คนไม่ดีปน ๆ กันอยู่   ในสังคมใกล้ ๆ ตัวลูกก็เห็น  ยิ่งตามข่าวที่เราดูกันก็มักนำเสนอเรื่องคนไม่ดีให้เราเห็นกันเป็นส่วนมาก   ข่าวเด็กโดนกระทำชำเรา ข่มขืนก็มี

ลูก            ข่มขืน คืออะไรแม่ ดีโด้ไม่รู้จัก

(เอ่อ.............ไงต่อดี  งงนะ ทีกระทำชำเราไม่ถาม ข้ามมาถามข่มขืนฮ่าๆๆ) 

แม่            ข่มขืน คือ การที่ตัวเราถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจให้เสียหาย กายเจ็บ ใจเจ็บ 
( แบบนี้ (จะเข้าใจไหมหนอ)

ลูก            อืม.......ไม่ค่อยเข้าใจ

แม่            (ฮ่าๆๆ)  เอาเป็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ดีมาก ๆ หากเกิดขึ้นกับเรา   เราควรระวังตัว  ตื่นตัว แต่ไม่ตื่นตูม เข้าใจ

ลูก            ก็พอเข้าใจ 

แม่            แล้วตอนนี้ ลูกรู้สึกกลัวครู.......ไหม

ลูก            ไม่กลัว

แม่            ครับ  แม่บอกให้ อย่าลืม ตื่นตัว แต่ไม่ตื่นตูมนะ

ลูก            ครับ      

                จบบทสนทนา  ค่อยโล่ง ตอนแรกคิดอยู่ว่าจะไปได้ไหม จะคุยยังไง คิดแต่ว่าควรคุย เริ่มจากพยายามมีสติให้ได้ก่อน แล้วให้ใจเบา ๆ สักนิดค่อยคุยต่อ   แม่ดาวมักใช้พวกประโยคสั้น ๆ อธิบายไปก่อนในครั้งแรกแล้วหลัง ๆ จะหยิบประโยคน็อคใจมาใช้   เช่น
 ยิ่งให้ยิ่งได้,    คิดดี ทำดี พูดดี,   จิตที่ให้นั้นคิดให้เบา  จิตที่เอานั้นคิดให้หนัก , อย่าไปว่าคนอื่นเขา ตัวเรานั้นดีแล้วหรือ ,พอเพียง ฯลฯ  ด้วยตัวแม่ดาวเองสมองนั้นจะจำอะไรยาว ๆ ไม่ค่อยได้   ต้องมีประโยคเด็ดไว้กระแทกใจ ปลุกสติเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ
                 ปัจจุบันเห็นมีบางคนที่เข้าขั้นต่อต้าน รังเกียจกับเพศที่สามอย่างมาก ทั้ง ๆที่ อาจยังไม่ได้รู้จัก
ใกล้ชิดกันเลยด้วยซ้ำ เรียกว่าแค่เห็น ก็เกิดอาการอยากไล่เตะ  เคยได้ยินพ่อท่านนึงพูดเหมือนกันว่า หากลูกชายตนนั้นเป็นตุ๊ดนั้นจะเตะให้หายเป็นเลย  แม่ดาวก็คิดในใจ เตะแล้วหายได้ พ่อแม่คนอื่นคงทำให้หมดแล้ว ฮ่าๆๆ  ไม่อยากให้ลูกชายเกิดความคิดแบบนี้ ดังนั้นเรื่องครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้สอนเนอะ                 
                 การพูดคุยกับลูกทุกวัน เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ได้ทั้งแบ่งปันเรื่องราว  ได้เห็นปัญหา  ได้ความสัมพันธ์ที่ดี  และลูกเองก็ได้ผ่อนคลายความเครียดบางอย่างในใจระบายออกในแต่ละวันไม่หมักหมมม จนเป็นปมในใจเนอะ  

               
     




                

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชัดเจนขึ้นอีกนิด...เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

            จากวันก่อนแม่ดาวได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลี้ยงลูกกับคุณแม่ท่านหนึ่ง  ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่า  เอ.....เรื่องนี้น่าจะต้องนำมาขยายและแบ่งปันกันเนอะ     เรื่องที่ว่านี้คือ เรื่องความชัดเจนในเรื่องใช้คำพูดของเราและความชัดเจนเรื่องขอบเขตพฤติกรรมของลูก   ไม่รู้แม่ดาวใช้คำแบบนี้เข้าใจไหม  แต่จะยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นเนอะ

            ในแต่ละวัน อาจมีเรื่องที่เราต้องการบอก ต้องการสื่อสาร ต้องการสอนลูกมากมาย เคยสงสัยไหมค่ะ ว่าทำไม๊ ทำไม หลาย ๆ ครั้ง พูดไปเหมือนพฤติกรรมนั้นก็ไม่เกิด   ความไม่ชัดเจนในการสื่อสารของเราก็มีส่วนนะคะ   เช่น

1.แม่อยากให้ลูกเป็นเด็กดี ทำตัวน่ารัก ๆ นะคะ
2. ทานขนมให้ดี ๆ นะคะ ระวังขนมหกเลอะเทอะนะคะลูก
3. อย่าวิ่งไปวิ่งมาได้ไหม เดี๋ยวก็หกล้มจนได้
4. เล่นด้วยกันดี ๆ นะคะลูก
5. อย่านั่งแบบนั้นได้ไหมมันอันตรายนะลูก
6. พูดเสียงเบา ๆ หน่อยนะคะลูก
7. ทานข้าวให้มันเร็ว ๆ หน่อยได้ไหมคะ   แม่สายแล้วนะ  เดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี

ฯลฯ   เหล่านี้เป็นตัวอย่าง  เอ....มีใครเคยใช้คำพูดประมาณนี้ไหมหนอ   อ่านแล้วมีใครสงสัยไหม หรือไม่สงสัย ว่าแม่ดาวคิดว่าข้อความเหล่านี้ไม่ชัดเจนอย่างไร  ซึ่งบางข้อความก็น่าจะเป็นคำพูดที่ดูดีมากนะจริงไหม    มาดูกันนะคะ  แม่ดาวจะขอขยายความตามฉบับแม่ดาวๆ ให้ได้อ่านกัน 

1.แม่อยากให้ลูกเป็นเด็กดี ทำตัวน่ารัก ๆ นะคะ      คือ ลูกเขาอาจไม่แน่ใจว่าแบบไหนนะ คือเป็นเด็กดี   และน่ารัก ๆ เนี้ย แบบไหน  ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องดูเอาว่า ที่คุณพูดประโยคนี้เป็นอย่างไร   เช่น บอกก่อนจากลากันไปโรงเรียน    หากให้แม่ดาวเปลี่ยนประโยคนี้ให้ชัดเจนขึ้น  แม่อยากให้ลูกตั้งใจฟังคุณครูสอนและเชื่อฟังคุณครูนะคะ      หรือจะใช้สื่อสารเพื่อเป็นการอบรมสั่งสอนลูก  ก็อาจใช้เป็น  แม่อยากให้ลูกรักษาศีล 5  เป็นเด็กเอื้อเฟื้อมีน้ำใจมีอะไรก็แบ่งกันผู้อื่น ประมาณนี้  ในกรณีนี้คือเด็กรู้จักศีล 5 และเข้าใจว่าการมีน้ำใจ คือแบบไหน   แบ่งปันอย่างไร  หากยังไม่รู้สอนได้จากการทำให้เขาเห็น หรือพาเขาทำ เช่น  ชวนลูกแบ่งขนมที่ลูกมีให้เพื่อน  และบอกว่า แบบนี้คือการแบ่งปัน และบอกลูกว่า หนูเป็นเด็กมีน้ำใจแบ่งปันเพื่อน ประมาณนี้

2. ทานขนมให้ดี ๆ นะคะ ระวังขนมหกเลอะเทอะนะคะลูก    ในกรณีเราอาจเห็นลูกของเรากำลังจะทานขนมที่สามารถหกเลอะเทอะได้  หากเป็นแม่ดาวจะสื่อสารดังนี้    ดีโด้ครับ นั่งทานขนมที่โต๊ะทานอาหารแล้วเอาจานมารองกันขนมหกด้วยนะครับลูก

3. อย่าวิ่งไปวิ่งมาได้ไหม เดี๋ยวก็หกล้มจนได้    เราอาจเห็นลูกกำลังวิ่ง  พื้นอาจไม่เรียบมีหลุม    สื่อสารว่า   ดีโด้ครับเดินช้า ๆ ครับ พื้นมีหลุมเยอะ ระวังจะล้ม

4. เล่นด้วยกันดี ๆ นะคะลูก    เขาอาจมีเพื่อนมาเล่นด้วยและเราอยากให้เขาเล่นกันแบบรู้รักสามัคคีฮ่าๆๆ  สื่อสารว่า   เด็ก ๆ คะ เล่นด้วยกัน คือเราจะมาสนุกด้วยกัน หากมีใครสักคนเจ็บตัว หรือร้องไห้ โวยวาย แสดงว่าไม่สนุกนะครับ   ดังนั้นถ้าไม่สนุก  ก็ไม่เล่นนะครับ เลิกเล่น และแยกย้ายกลับบ้าน ตกลงไหม  อันนี้อาจยาวสักนิด แต่พูดแบบนี้แม่ดาวเห็นผลนะ  เราอาจไม่สามารถควบคุมเด็กอีกฝ่ายได้ แต่เราสามารถจัดการที่ลูกเราได้ หากเห็นว่าเขาเล่นด้วยกันแล้วไม่สนุก ร้องไห้ โวยวาย แกล้งกัน  แม่ดาวจะพาลูกกลับทันที  เลิกเล่น  แต่ไม่ได้โกรธ  บอกด้วยเหตุผลและเข้าใจ   ถึงลูกเราจะอยากเล่นต่อ  แต่ต้องตามกติกา หากเห็นว่าลูกเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน  ให้คุยกับเด็กอีกฝ่ายว่ายังอยากเล่นด้วยกันไหม ให้โอกาส  หากอีกฝ่ายบอกอยากเล่น จะให้เล่นต่อ แต่หากเกิดเหตุอีก แยกและกลับจ้า  แรก ๆ ที่ใช้วิธีนี้ลูกก็ร้องไห้ไม่ยอม แต่พอใช้เรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจและกลับได้อย่างไม่ลำบากหัวใจมากนักอิอิ

5. อย่านั่งแบบนั้นได้ไหมมันอันตรายนะลูก   เราอาจเห็นลูกกำลังปีนขึ้นไปนั่งบนพนักพิงเก้าอี้  คือเขาอาจสนุกที่จะทำแบบนั้น  สื่อสารคือ ก้นติดเบาะ เท้าห้อยลงพื้นครับ    ตรงนี้อาจใช้มือช่วยชี้จุดที่ให้เขานั่ง หากเป็นแบบนี้แม่ดาวอาจใช้เสียงเข้มสักนิด เพราะรู้ว่าเขาทำเพื่อความสนุก แต่เราไม่สนุกกับเขานี่เนอะ มันอันตราย แต่หากพูดยืดยาว ก็ใช่ว่าเขาจะฟังและทำตาม ดังนั้น หนักแน่น ๆ เน้น ๆ ฮ่าๆๆ

6. พูดเสียงเบา ๆ หน่อยนะคะลูก    คุณอาจกำลังอยู่ในร้านอาหาร แล้วลูกก็อาจกำลังสนุกพูดตะเบ็งเสียงดังลั่นร้าน   การสื่อสาร  อาจใช้วิธีกระซิบข้างหูด้วยเสียงแผ่วเบา พูดเสียงปกตินะครับ   วิธีนี้เด็กๆ มักจะชอบมาก คือเขาจะจักจี้นิด ๆ และแม่ไม่ได้ใช้อารมณ์ตะเบ็งเสียงสั่งการ หรืออาจพูดกับลูกด้วยเสียงปกติ  อาจสะกิดให้เขารู้ตัว  พูดเสียงปกติครับ  ไหนลองพูดให้แม่ฟังซิ   ฟังว่าเขาพูดในระดับปกติหรือยัง ถ้าใช่   บอกเขาต่อว่า  ใช่ครับ เสียงปกติแบบนี้ ขอบคุณลูกมากนะครับที่ลูกฟังแม่พูด

7. ทานข้าวให้มันเร็ว ๆ หน่อยได้ไหมคะ   แม่สายแล้วนะ  เดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี  ประโยคนี้ หลายครั้งขาดสติแม่ดาวก็ใช้บ่อยฮ่าๆๆๆ  แต่หากมีสติจะพูดว่า   ลูกมีเวลา...........นาทีในการทานข้าวเช้า  และเราจะออกจากบ้านพร้อมกันตอน.........โมง  แม่ดาวใช้ตั้งเวลาบ้าง หรือไม่ก็ชี้เข็มนาฬิกาประกอบให้ลูกดู บอกลูกว่า เข็มสั้นถึงเลขไหน เข็มยาวถึงเลขไหน นัดเวลากัน    

            ทุก ๆ การสื่อสาร อย่าลืมว่า ต้องมั่นใจว่า ลูกพร้อมที่จะฟังเราพูดด้วยนะคะ   อย่าลืมส่งสายตาให้กันและกันด้วยนะ  แต่ระวังสายตาของเราด้วยนะคะ   ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจเนอะ   แต่เชื่อว่าต้องมีบ้างแหละที่บางครั้งแม่ ๆ อย่างเราก็ต้องใช้สายตาเพชรฆาต ฮ่าๆๆๆๆๆ   แหมๆๆๆ ใครเล่าจะเป็นนางฟ้าไปได้ตลอดเนอะ บางทีมันก็ต้องมีบ้าง อิอิ  คงไม่ต้องบอกเรื่องอารมณ์และน้ำเสียงด้วยใช่ไหมคะ เล่าสู่กันอ่านเนอะ   แม่ดาวผิดและพลาดมาก่อน  เมื่อมีอะไรใช้ดี ใช้ได้ผล จึงมาบอกเนอะ  อยากรู้ต้องลองจ้า



วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แม่ครับ ผมมีอะไรจะบอก แต่ไม่อยากบอก


        อ่านชื่อแล้วสงสัยกันไหมคะว่า เอ......มันเรื่องอะไรหนอ    วันนี้แม่ดาวมีเรื่องราวของลูกชายวัย 6 ขวบ  28 มิ.ย. นี้ก็เต็ม 6 ขวบบริบูรณ์   อันที่จริงแต่ละวันเขามีเรื่องเยอะมากๆ   ทำให้แม่ดาวมีเรื่องมากมายที่จะนำมากระจายแบ่งปันฮ่าๆๆ  เอาล่ะ...เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ  

        ณ  คืนหนึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา  เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะนอนหลับ  ทุกคืนเราจะมีกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนการเข้านอน ฮ่าๆๆ ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ เล่านิทาน แบ่งปันเรื่องราวความสุข ความทุกข์ หรือเรื่องราวสารพัดที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง  แม่ดาวก็ปิดไฟและกำลังกำลังจะนอนด้วยกัน จู่ ๆ ก็มีเสียง  ๆ หนึ่งดังขึ้น หลังปิดไฟ

ดีโด้          แม่ (เสียงแบบลาก ๆ เสียงนิดนึง) ดีโด้มีเรื่องอะไรจะบอกแม่แหละ
แม่            ครับ....มีเรื่องอะไรจะบอกแม่เหรอ
ดีโด้          เอ่อ...........ไม่เอา  ไม่บอกดีกว่า มันเป็นเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แม่            (พูดแบบนี้ ยิ่งอยากจะรู้นะเนี้ย)  อ้าว.......เป็นงั้นไป  ดีโด้บอกว่า มีเรื่องอยากบอกแม่ไง  ตกลงอยากบอกแม่ไหม
ดีโด้          อยากบอก แต่ไม่อยากบอก
แม่            อ๋อ......ใจหนึ่งก็อยากจะบอกแม่  แต่อีกใจก็ไม่อยากจะบอกแม่เนอะ  นั่นซินะ คงเป็นเรื่องที่พูดยากมากเลยนะเนี้ย
ดีโด้          ใช่.....เล่าแล้วกลัวแม่ดุ  กลัวแม่เสียใจด้วย  เป็นเรื่องไม่ดี
แม่            อืม.....แล้วปกติ เวลาลูกทำอะไรผิด แม่ดุลูกมากเลยเหรอ
ดีโด้          ไม่เลย แม่ใจดี แม่ไม่ค่อยดุ แต่บางทีก็มีบ้างนะ
แม่            นั่นซิ ......แม่คิดว่าแม่สามารถรับฟังลูกได้ทุกเรื่องนะ และสัญญาว่าแม่จะไม่ดุเลย จะรับฟังดี ๆ เชื่อใจแม่ไหม
ดีโด้          ดีโด้ก็อยากบอก แต่ไม่อยากบอกนี่
แม่            อืม.........เอาแบบนี้ไหม เรามาผลัดกันเล่าเรื่อง  ลูกเล่าเรื่องของลูก  แม่จะเล่านิทานพิเศษก่อนนอนเพิ่มให้วันนี้  (ปกติแค่ไหนแค่นั้นตามตกลงกันก่อนเข้านอน)    (โน้มน้าวใจไม่ได้ผล งั้นต้องล่อใจ)
ดีโด้          อืม... ก็ได้ ขอ 2 เรื่องได้ไหม
แม่            ได้ สบายมาก ไม่มีปัญหา (ได้ผล อิอิ)
ดีโด้          วันนี้ชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ มีการสอบแหละ
แม่            อืม...สอบภาษาอังกฤษเนอะ
ดีโด้          เอ๊ะ....ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่การสอบ แต่ครูบอกว่าเป็นการทดสอบ
แม่            อ๋อ...ทดสอบเนอะ
ดีโด้          ใช่  แล้วดีโด้ทดสอบได้  0  (คะแนน) 
แม่            ได้ 0 เหรอลูก อืม..ข้อสอบคงยากมากเลยเนอะ
ดีโด้          ก็ยากนิดหน่อย  ทำได้บางข้อ  แต่ว่าที่ได้ศูนย์ เพราะดีโด้ลอก
แม่            ลอกเพื่อนข้าง ๆ เหรอลูก
ดีโด้          เปล่า  ไม่ได้ลอกเพื่อน แต่ลอกสมุดตัวเอง แต่คุณครูห้ามเปิดดู  แต่ดีโด้ทำไม่ได้ก็เลยเปิด
แม่            อืม...แล้วสอบอะไร ยังไงเหรอ เช่น สอบเขียนคำว่าอะไร สอบเติมคำ ข้อสอบเป็นแบบไหนลูก
ดีโด้          ก็สอบเขียนคำ
แม่            อ๋อ...เขียนคำที่ลูกเรียนผ่านมาแล้วแบบนี้ใช่ไหม เช่น cat bat rat
ดีโด้          ใช่ ๆ  มีคำพวกนี้ด้วย
แม่            เอ...แต่คำพวกนี้ลูกก็เขียนได้นี่นา แม่จำได้ ว่าลูกเขียนได้
ดีโด้          ก็เขียนได้ที่แม่บอก แต่คำอื่น ๆ เขียนไม่ได้ 
แม่            อ๋อ....ก็เลยอดใจไม่ไหวแอบเปิดดูหนังสือ
ดีโด้          ใช่ๆ  (เสียงระรื่นเลย)  แม่ไม่เสียใจเหรอ ดีโด้ได้ศูนย์

แม่            ไม่เสียใจที่ดีโด้ได้ 0  แต่เสียใจที่ดีโด้ไม่ซื่อสัตย์  แม่ว่าครูเองก็คิดแบบแม่นะ 
ดีโด้          ดีโด้ขอโทษ ก็มันทำไม่ได้นี่นา
แม่            ถึงแม่จะเสียใจเรื่องลูกไม่ซื่อสัตย์ แต่แม่มีก็มีเรื่องดีใจนะ
ดีโด้          ดีใจเรื่องอะไร
แม่            ก็เรื่องที่ลูกกล้าหาญไง  กล้าที่จะบอกกับแม่ กล้าที่จะพูดให้แม่ฟัง ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่ลูกเองก็ลำบากใจมากเนอะ   กล้าหาญนั้นดีแล้ว  อย่าลืมเรื่องความซื่อสัตย์ด้วยนะลูก
ดีโด้          คราบ (ลากเสียงยาน)   แต่แม่ไม่ต้องเสียใจเรื่องศูนย์นะ ดีโด้แก้ตัวเลขเองแล้ว ครูให้ศูนย์แล้วดีโด้ก็ให้คะแนนตัวเองเต็มเลย (พูดแบบครึกครื้น) 
แม่            ดีโด้ครับ ต่อให้ลูกจะเขียนแก้เลข   ลบออก ยังไงซะความจริงก็คือความจริง  ลูกหลอกคนอื่นได้ แต่รู้อยู่แก่ใจ หลอกตัวเองไม่ได้หรอกลูก
ดีโด้          ก็ดีโด้ไม่อยากได้ศูนย์นี่
แม่            ไม่อยากได้ศูนย์  ก็ไม่ยาก ดีโด้ทำได้ แม่เชื่อ  จำได้ไหม คนเราอยากจะเก่งเราทำได้  ทำยังไง จำได้ไหม
ดีโด้          ไม่รู้ซิ
แม่            ก็ที่แม่เคยบอกไง  ขยัน ฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ  ถ้าดีโด้อยากทำข้อสอบได้คะแนนเยอะ ๆ ก็ต้องทำแบบนี้แหละ
ดีโด้          ก็ดีโด้ไม่อยากทำ
แม่            นั่นซิ   ดีโด้ไม่อยากทำ  อย่างนั้นก็ต้องยอมรับผลของการกระทำของลูกเอง
ดีโด้          ก็ดีโด้ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบเขียน มันน่าเบื่อนี่
แม่            แม่เข้าใจ  ว่าดีโด้ชอบเล่นชอบสนุก ก็ธรรมดาแหละลูก ก็ลูกยังเป็นเด็ก   เด็กก็ต้องชอบเล่น ชอบสนุกเป็นธรรมดา
ดีโด้          แล้วถ้าสอบจริง ล่ะ
แม่            หมายถึง ว่าถ้าสอบจริง ๆ แล้วลูกได้ศูนย์คะแนนเหรอ 
ดีโด้          ใช่
แม่            อืม....แม่ก็ไม่ว่าอะไรนะ  ไม่ใช่ปัญหาของแม่นี่นา  ปัญหาของหนู  
ดีโด้          อย่าเรียกว่า หนู ได้ไหม ดีโด้ไม่ชอบ
แม่            จ้าๆๆ ก็แม่ลืมนี่นา ก็เรียกแบบนี้มันชินแล้ว แล้วได้ศูนย์คะแนนดีโด้รู้สึกยังไง
ดีโด้          ไม่ชอบ
แม่            ไม่ชอบ แล้วรู้สึกอายเพื่อน อายครูด้วยไหม หรือยังไง
ดีโด้          อายด้วย
แม่            นั่นซิ......ลูกไม่ชอบได้ศูนย์คะแนน  รู้สึกอายเพื่อนและครู  อย่างงั้นน่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง
ดีโด้          ขยัน ทำซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ
แม่            ใช่  ลูกรู้   เหลือแค่ลูกลงมือทำเนอะ
ดีโด้          เฮ้อ.....เบื่อเรียนจริงๆ  อยากเกิดเป็นแม่บ้างจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน
แม่            ฮ่าๆๆ   แม่เองเมื่อตอนเป็นเด็กก็คิดแบบนี้แหละ  อยากจะเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ไม่ต้องเรียน  แต่พอเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ แล้ว กลับรู้สึกว่าอยากกลับไปเรียน อยากกลับไปเป็นเด็กๆ อีก   ไว้ดีโด้โตขึ้นก็รู้เองแหละ  เอาเป็นว่าตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบันก่อนเนอะ

                จากนั้นก็ทำตามสัญญานิทานพิเศษ และนอนกอดกันเช่นเคยเหมือนทุกวัน    
                ด้วยลูกแม่ดาวนั้นปกติ เขาจะเป็นเด็กที่อยากเป็นที่รัก อยากเป็นที่ 1 ในสายตาคนอื่น ๆ รอบ ๆ ตัว มักกดดันตัวเองบ่อย ๆ ถึงไม่มีใครกดดันฮ่าๆๆๆๆ   เป็นเด็กคิดมาก ชอบคิดตีความตามประสา  เด็กบางคนอาจไม่รู้สึกอะไรมากกับเรื่องการวัดผล แต่ลูกแม่ดาวไม่ชอบเลย ไม่ชอบให้ใครว่าให้คะแนน ตัดสิน พิพากษา ประมาณนี้  ไม่ชอบการแข่งขัน เพราะกลัวจะแพ้ กลัวจะดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น ดังนั้นแม่ดาวจึงต้องหมั่นดูแลและรักษาดวงใจเสมอ ๆ ฮ่าๆๆๆ   การที่แม่ดาวได้พูดคุยแบบนี้ ช่วยให้ลูกผ่อนคลายความกังวล ความเครียดในเรื่องการเรียน การสอบไปได้ในระดับนึง  เมื่อเขารู้ว่าแม่เข้าใจ แม่ไม่โกรธ ไม่ตำหนิ  เขาก็อุ่นใจไปได้บางส่วน  อีกส่วนก็อยู่ที่ตัวเขาความคิดของเขา   แม่ดาวไม่คาดหวังว่าการพูดคุยแบบนี้จะกระตุ้นให้เขาเกิดความขยันหมั่นเพียรมากขึ้น  แค่เป็นการผ่อนคลายความเครียดให้ลูกแค่นั้น ส่วนเขาจะขยันหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่   เป็นแม่เนี้ยต้องใช้สมองคิดเยอะเนอะ ว่าไหม



แม่ครับ ผมมีอะไรจะบอก แต่ไม่อยากบอก



        อ่านชื่อแล้วสงสัยกันไหมคะว่า เอ......มันเรื่องอะไรหนอ    วันนี้แม่ดาวมีเรื่องราวของลูกชายวัย 6 ขวบ  28 มิ.ย. นี้ก็เต็ม 6 ขวบบริบูรณ์   อันที่จริงแต่ละวันเขามีเรื่องเยอะมากๆ   ทำให้แม่ดาวมีเรื่องมากมายที่จะนำมากระจายแบ่งปันฮ่าๆๆ  เอาล่ะ...เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ  
        ณ  คืนหนึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา  เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะนอนหลับ  ทุกคืนเราจะมีกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนการเข้านอน ฮ่าๆๆ ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ เล่านิทาน แบ่งปันเรื่องราวความสุข ความทุกข์ หรือเรื่องราวสารพัดที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง  แม่ดาวก็ปิดไฟและกำลังกำลังจะนอนด้วยกัน จู่ ๆ ก็มีเสียง  ๆ หนึ่งดังขึ้น หลังปิดไฟ
ดีโด้          แม่ (เสียงแบบลาก ๆ เสียงนิดนึง) ดีโด้มีเรื่องอะไรจะบอกแม่แหละ
แม่            ครับ....มีเรื่องอะไรจะบอกแม่เหรอ
ดีโด้          เอ่อ...........ไม่เอา  ไม่บอกดีกว่า มันเป็นเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แม่            (พูดแบบนี้ ยิ่งอยากจะรู้นะเนี้ย)  อ้าว.......เป็นงั้นไป  ดีโด้บอกว่า มีเรื่องอยากบอกแม่ไง  ตกลงอยากบอกแม่ไหม
ดีโด้          อยากบอก แต่ไม่อยากบอก
แม่            อ๋อ......ใจหนึ่งก็อยากจะบอกแม่  แต่อีกใจก็ไม่อยากจะบอกแม่เนอะ  นั่นซินะ คงเป็นเรื่องที่พูดยากมากเลยนะเนี้ย
ดีโด้          ใช่.....เล่าแล้วกลัวแม่ดุ  กลัวแม่เสียใจด้วย  เป็นเรื่องไม่ดี
แม่            อืม.....แล้วปกติ เวลาลูกทำอะไรผิด แม่ดุลูกมากเลยเหรอ
ดีโด้          ไม่เลย แม่ใจดี แม่ไม่ค่อยดุ แต่บางทีก็มีบ้างนะ
แม่            นั่นซิ ......แม่คิดว่าแม่สามารถรับฟังลูกได้ทุกเรื่องนะ และสัญญาว่าแม่จะไม่ดุเลย จะรับฟังดี ๆ เชื่อใจแม่ไหม
ดีโด้          ดีโด้ก็อยากบอก แต่ไม่อยากบอกนี่
แม่            อืม.........เอาแบบนี้ไหม เรามาผลัดกันเล่าเรื่อง  ลูกเล่าเรื่องของลูก  แม่จะเล่านิทานพิเศษก่อนนอนเพิ่มให้วันนี้  (ปกติแค่ไหนแค่นั้นตามตกลงกันก่อนเข้านอน)    (โน้มน้าวใจไม่ได้ผล งั้นต้องล่อใจ)
ดีโด้          อืม... ก็ได้ ขอ 2 เรื่องได้ไหม
แม่            ได้ สบายมาก ไม่มีปัญหา (ได้ผล อิอิ)
ดีโด้          วันนี้ชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ มีการสอบแหละ
แม่            อืม...สอบภาษาอังกฤษเนอะ
ดีโด้          เอ๊ะ....ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่การสอบ แต่ครูบอกว่าเป็นการทดสอบ
แม่            อ๋อ...ทดสอบเนอะ
ดีโด้          ใช่  แล้วดีโด้ทดสอบได้  0  (คะแนน) 
แม่            ได้ 0 เหรอลูก อืม..ข้อสอบคงยากมากเลยเนอะ
ดีโด้          ก็ยากนิดหน่อย  ทำได้บางข้อ  แต่ว่าที่ได้ศูนย์ เพราะดีโด้ลอก
แม่            ลอกเพื่อนข้าง ๆ เหรอลูก
ดีโด้          เปล่า  ไม่ได้ลอกเพื่อน แต่ลอกสมุดตัวเอง แต่คุณครูห้ามเปิดดู  แต่ดีโด้ทำไม่ได้ก็เลยเปิด
แม่            อืม...แล้วสอบอะไร ยังไงเหรอ เช่น สอบเขียนคำว่าอะไร สอบเติมคำ ข้อสอบเป็นแบบไหนลูก
ดีโด้          ก็สอบเขียนคำ
แม่            อ๋อ...เขียนคำที่ลูกเรียนผ่านมาแล้วแบบนี้ใช่ไหม เช่น cat bat rat
ดีโด้          ใช่ ๆ  มีคำพวกนี้ด้วย
แม่            เอ...แต่คำพวกนี้ลูกก็เขียนได้นี่นา แม่จำได้ ว่าลูกเขียนได้
ดีโด้          ก็เขียนได้ที่แม่บอก แต่คำอื่น ๆ เขียนไม่ได้ 
แม่            อ๋อ....ก็เลยอดใจไม่ไหวแอบเปิดดูหนังสือ
ดีโด้          ใช่ๆ  (เสียงระรื่นเลย)  แม่ไม่เสียใจเหรอ ดีโด้ได้ศูนย์

แม่            ไม่เสียใจที่ดีโด้ได้ 0  แต่เสียใจที่ดีโด้ไม่ซื่อสัตย์  แม่ว่าครูเองก็คิดแบบแม่นะ 
ดีโด้          ดีโด้ขอโทษ ก็มันทำไม่ได้นี่นา
แม่            ถึงแม่จะเสียใจเรื่องลูกไม่ซื่อสัตย์ แต่แม่มีก็มีเรื่องดีใจนะ
ดีโด้          ดีใจเรื่องอะไร
แม่            ก็เรื่องที่ลูกกล้าหาญไง  กล้าที่จะบอกกับแม่ กล้าที่จะพูดให้แม่ฟัง ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่ลูกเองก็ลำบากใจมากเนอะ   กล้าหาญนั้นดีแล้ว  อย่าลืมเรื่องความซื่อสัตย์ด้วยนะลูก
ดีโด้          คราบ (ลากเสียงยาน)   แต่แม่ไม่ต้องเสียใจเรื่องศูนย์นะ ดีโด้แก้ตัวเลขเองแล้ว ครูให้ศูนย์แล้วดีโด้ก็ให้คะแนนตัวเองเต็มเลย (พูดแบบครึกครื้น) 
แม่            ดีโด้ครับ ต่อให้ลูกจะเขียนแก้เลข   ลบออก ยังไงซะความจริงก็คือความจริง  ลูกหลอกคนอื่นได้ แต่รู้อยู่แก่ใจ หลอกตัวเองไม่ได้หรอกลูก
ดีโด้          ก็ดีโด้ไม่อยากได้ศูนย์นี่
แม่            ไม่อยากได้ศูนย์  ก็ไม่ยาก ดีโด้ทำได้ แม่เชื่อ  จำได้ไหม คนเราอยากจะเก่งเราทำได้  ทำยังไง จำได้ไหม
ดีโด้          ไม่รู้ซิ
แม่            ก็ที่แม่เคยบอกไง  ขยัน ฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ  ถ้าดีโด้อยากทำข้อสอบได้คะแนนเยอะ ๆ ก็ต้องทำแบบนี้แหละ
ดีโด้          ก็ดีโด้ไม่อยากทำ
แม่            นั่นซิ   ดีโด้ไม่อยากทำ  อย่างนั้นก็ต้องยอมรับผลของการกระทำของลูกเอง
ดีโด้          ก็ดีโด้ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบเขียน มันน่าเบื่อนี่
แม่            แม่เข้าใจ  ว่าดีโด้ชอบเล่นชอบสนุก ก็ธรรมดาแหละลูก ก็ลูกยังเป็นเด็ก   เด็กก็ต้องชอบเล่น ชอบสนุกเป็นธรรมดา
ดีโด้          แล้วถ้าสอบจริง ล่ะ
แม่            หมายถึง ว่าถ้าสอบจริง ๆ แล้วลูกได้ศูนย์คะแนนเหรอ 
ดีโด้          ใช่
แม่            อืม....แม่ก็ไม่ว่าอะไรนะ  ไม่ใช่ปัญหาของแม่นี่นา  ปัญหาของหนู  
ดีโด้          อย่าเรียกว่า หนู ได้ไหม ดีโด้ไม่ชอบ
แม่            จ้าๆๆ ก็แม่ลืมนี่นา ก็เรียกแบบนี้มันชินแล้ว แล้วได้ศูนย์คะแนนดีโด้รู้สึกยังไง
ดีโด้          ไม่ชอบ
แม่            ไม่ชอบ แล้วรู้สึกอายเพื่อน อายครูด้วยไหม หรือยังไง
ดีโด้          อายด้วย
แม่            นั่นซิ......ลูกไม่ชอบได้ศูนย์คะแนน  รู้สึกอายเพื่อนและครู  อย่างงั้นน่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง
ดีโด้          ขยัน ทำซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ
แม่            ใช่  ลูกรู้   เหลือแค่ลูกลงมือทำเนอะ
ดีโด้          เฮ้อ.....เบื่อเรียนจริงๆ  อยากเกิดเป็นแม่บ้างจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน
แม่            ฮ่าๆๆ   แม่เองเมื่อตอนเป็นเด็กก็คิดแบบนี้แหละ  อยากจะเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ไม่ต้องเรียน  แต่พอเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ แล้ว กลับรู้สึกว่าอยากกลับไปเรียน อยากกลับไปเป็นเด็กๆ อีก   ไว้ดีโด้โตขึ้นก็รู้เองแหละ  เอาเป็นว่าตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบันก่อนเนอะ

                จากนั้นก็ทำตามสัญญานิทานพิเศษ และนอนกอดกันเช่นเคยเหมือนทุกวัน    
                ด้วยลูกแม่ดาวนั้นปกติ เขาจะเป็นเด็กที่อยากเป็นที่รัก อยากเป็นที่ 1 ในสายตาคนอื่น ๆ รอบ ๆ ตัว มักกดดันตัวเองบ่อย ๆ ถึงไม่มีใครกดดันฮ่าๆๆๆๆ   เป็นเด็กคิดมาก ชอบคิดตีความตามประสา  เด็กบางคนอาจไม่รู้สึกอะไรมากกับเรื่องการวัดผล แต่ลูกแม่ดาวไม่ชอบเลย ไม่ชอบให้ใครว่าให้คะแนน ตัดสิน พิพากษา ประมาณนี้  ไม่ชอบการแข่งขัน เพราะกลัวจะแพ้ กลัวจะดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น ดังนั้นแม่ดาวจึงต้องหมั่นดูแลและรักษาดวงใจเสมอ ๆ ฮ่าๆๆๆ   การที่แม่ดาวได้พูดคุยแบบนี้ ช่วยให้ลูกผ่อนคลายความกังวล ความเครียดในเรื่องการเรียน การสอบไปได้ในระดับนึง  เมื่อเขารู้ว่าแม่เข้าใจ แม่ไม่โกรธ ไม่ตำหนิ  เขาก็อุ่นใจไปได้บางส่วน  อีกส่วนก็อยู่ที่ตัวเขาความคิดของเขา   แม่ดาวไม่คาดหวังว่าการพูดคุยแบบนี้จะกระตุ้นให้เขาเกิดความขยันหมั่นเพียรมากขึ้น  แค่เป็นการผ่อนคลายความเครียดให้ลูกแค่นั้น ส่วนเขาจะขยันหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่   เป็นแม่เนี้ยต้องใช้สมองคิดเยอะเนอะ ว่าไหม


วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตื่นตัว…แต่ไม่ตื่นตูม


                จากที่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของเด็กน้อยวัย 5 ขวบ ที่ถูกรุ่นพี่ป1 ต่อยจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จนในที่สุดก็เสียชีวิต  เป็นข่าวที่น่าตกใจ สะเทือนใจ และหวั่นใจ ในเวลาเดียวกัน   ข่าวนี้เป็นข่าวที่ไม่ดี เป็นข่าวร้าย แต่ข่าวนี้เป็นข่าวที่มีประโยชน์นะคะว่าไหม  การจากไปของเด็กน้อยรายนี้ เราควรนำมาช่วยกันดูแลและแก้ไข หันกลับมามองในโลกความเป็นจริง สิ่งที่เป็นอยู่รอบตัวเราเป็นอย่างไร เราเองมีส่วนไหมในการส่งเสริมพฤติกรรมความรุนแรงดังกล่าว 

                ได้ยินกันก็เยอะ อ่านเจอกันก็บ่อย หากใครที่เป็นพ่อแม่ที่ใส่ใจคุณภาพการเลี้ยงลูกนั้น ความรุนแรงเหล่านี้มันสะสมเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ก่อตัวมาทีละนิด ๆ  เริ่มมาจากสถาบันครอบครัวไล่มาจนถึงโรงเรียนตลอดจนสังคมสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ  แฝงอยู่รอบ ๆ ตัวมากมาย หากเราสังเกตเราจะเห็น ไม่ว่าจะเป็นจากทีวี เกมส์  หนังสือการ์ตูนย์ ลองเปิดตาและเปิดใจรับรู้กันเนอะ  มีเยอะมากจริง ๆ 

                เห็นแล้ว รู้แล้ว อันดับแรกให้ทำใจยอมรับเสียก่อน  เราเปลี่ยนโลกนี้ให้ได้ดังใจเราไม่ได้จริงไหม  แล้วอะไรล่ะ ที่เราจะช่วยกันเปลี่ยน ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันทำได้  เราทำได้แน่ ๆ ค่ะ อย่างน้อยที่สุดก็เริ่มจากเปลี่ยนความคิดของเราเอง เรามักเห็นความรุนแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านเป็นเรื่องปกติ เช่นการตีลูก การทำโทษลูกในแบบต่าง ๆ ที่มีความรุนแรง  การพูดจาด่าทอโดยใช้คำพูดที่สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้กับเด็กโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยความพลั้งเผลอ หรืออาจจะด้วยความตั้งใจก็มี   แต่ยังเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็ไม่อยากใช้วิธีการหรือคำพูดไม่ดีแบบนี้ แต่มันอดไม่ได้ อารมณ์(โกรธ)พาไป   การตีนั้นอันที่จริงสำหรับบางบ้านนั้น ฟังๆ เขาก็บอกว่า เขาตีแบบมีเหตุผลนะ ไม่ใช่ตีแบบใช้อารมณ์  ตีด้วยความเข้าใจและไม่ใส่อารมณ์  เช่นนั้นก็ควรมีวิธีการตีอย่างมีหลักการเนอะ หากใครอยากตีลูก ก็ควรเรียนรู้วิธีการตีอย่างมีเหตุผลไว้สักหน่อย  ว่าเขามีวิธีการกันอย่างไร ที่ตีแล้วกายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ

                แต่โดยส่วนตัวแม่ดาวแล้ว แม่ดาวเลือกที่จะไม่ตี แต่ใช้วิธีการอื่นๆ  ในเชิงบวกแทน  บัวยังมี 4 เหล่า แล้วพ่อแม่อย่างเราก็คงเป็นเช่นนั้นเนอะ  เคยมีคนบอกกับแม่ดาวว่าคนที่จะอ่านบทความพวกนี้ ก็คงเป็นคนที่คิดคล้าย ๆ เรา ดังนั้นสิ่งที่แม่ดาวทำคล้ายจะสูญเปล่าเสียมากกว่า ฮ่าๆๆ   ทำด้วยใจเนอะบอกตามตรงว่าไม่คาดหวัง ณ ปัจจุบัน  ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อย เคยได้ยินคำพูดนี้ หรืออ่านผ่านมากันมาบ้างไหมค่ะ  แม่ดาวทำแบบนั้น

                ในส่วนเนื้อหาเรื่องความรุนแรงในเด็ก  วิธีการรับมือ/จัดการการแก้ปัญหาเมื่อเด็กถูกรังแกก็มีมากมายให้ได้อ่าน แม่ดาวก็มีโพสต์ไว้ให้ใน Facebook แล้วเนอะ ลองตามอ่านกัน  ส่วนที่พิมพ์วันนี้ขอเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดและวิธีการจัดการเมื่อลูกถูกรังแก หรือเห็นคนอื่นถูกรังแก ขอเน้นไปที่โรงเรียนเนอะ เพราะอาจจะเจอกันบ่อย

                ย้อนไปเมื่อสมัยลูกแม่ดาวเข้าเรียนอนุบาล 1  ไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก ทัศนคติแม่ดาว ณ ตอนนั้นอาจไม่เหมือนตอนนี้สักเท่าไหร่ฮ่าๆๆ สุดโต่งมากๆ  แต่อยู่บนพื้นฐาน แนวคิดบวก  มีพื้นฐานว่าอยากจะเลี้ยงลูกด้วยแนวคิดนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม  แต่วิธีปฏิบัตินี่ซิยังไม่ได้สักเท่าไหร่   เมื่อลูกไปเรียนและกลับมามีบาดแผลตามร่างกาย ร้องไห้โยเยไม่อยากไปโรงเรียนและบอกว่าไม่อยากไปเพราะถูกเพื่อนแกล้ง  หัวใจคนเป็นแม่ ณ ตอนนั้น เจ็บแทนลูกมากมายนัก  อันดับแรก โกรธครูที่ดูแลลูกเราไม่ดี  อันดับต่อมาโกรธเพื่อนลูกที่มาทำร้ายลูกเรา  คือหยิกแบบเป็นรอยทั้งสองแขน  แต่ก็เก็บอาการต่าง ๆ ไม่ได้แสดงทีท่าออกไปเท่าไหร่ แต่ใจเรามันสื่อถึงใจลูกได้ง่ายมาก คิดไปเยอะ แต่แสดงออกไม่เยอะเท่าที่คิด ฮ่าๆๆ   อันที่จริงตั้งแต่ก่อนลูกจะเข้าเรียนก็จะมีการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้เยอะพอสมควร รู้ว่ายังไงเสียมันต้องเกิด ดังนั้นสอนไว้ ให้ลูกรู้ มีการซ้อมแสดงบทบาทสมมติด้วย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รอดฮ่าๆๆ  ยังเด็กเนอะ 3 ขวบตอนนั้น สอนเข้าใจ รู้เรื่อง เล่นบทบาทสมมุติได้เป๊ะ  เอาจริงสติหายปัญญาหดฮ่าๆๆ  ณ ตอนนั้นไม่ได้จัดการอะไรมาก ครูเองก็มาขอโทษตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์  เราก็รับคำขอโทษแต่ยังคา ๆ ใจ  แอบเคือง  ส่วนกับเด็กฝ่ายที่กระทำนั้นก็ไม่ได้จัดการอะไรเลย เพราะก็เข้าใจว่าเขาเด็กอยู่ และแต่ละบ้านแต่ละคนก็ถูกเลี้ยงมาแตกต่างกัน  แต่ก็มีแอบโกรธพ่อแม่เด็กฮ่าๆๆ  

                วิธีการจัดการ ณ ตอนนั้นเท่าที่จำได้คือ
1.      พูดคุยและรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นของลูก ตอนนั้นจะถามเยอะกว่าฟังฮ่าๆๆ
2.       จากนั้นนำมาชวนกันคิด ชวนกันคุย เนื่องจาก ณ ตอนนั้นมีการสอนหลักการจัดการเบื้องต้นเมื่อถูกเพื่อนแกล้งไปแล้ว  จึงข้ามขั้นการสอนไป  มาชวนคิด ชวนคุย แบ่งปันความคิดกัน  ถามลูกว่าลูกคิดว่าหากเกิดอีกจะจัดการอย่างไรให้เขาอธิบาย  หากเราเห็นด้วยก็จบ ข้ามไปขั้นต่อไป  หากไม่เห็นด้วยให้ช่วยเสนอแนวทางแก้ไขในแบบของเรา และแม่ดาวนั้นไม่สอนลูกให้ตอบโต้ด้วยความรุนแรง  เช่น ให้ลูกบอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ลูกเจ็บ และจะไม่เล่นด้วยจากนั้นให้เดินหนีไป  หรือหากรุนแรงมากพิจารณาแล้วว่าเจ็บมาก เพื่อนไม่ฟัง เดินหนีเลย   หากเขาตามมาแกล้งอีกให้บอกครู จำได้คร่าว ๆ ประมาณนี้ค่ะ
3.  ซ้อมบทบาทสมมุติก่อนลงสู่สนามจริงฮ่าๆๆๆ  อันนี้จำเป็นและสำคัญมากนะคะ  แม่ดาวจะซ้อม ๆ กับลูกจนมั่นใจว่าเขาพูดได้คล่องแล้ว และเข้าใจดีแล้ว แต่จะทำแบบขำ ๆ เขาจะได้ไม่เบื่อ ส่วนมากก็จะทำไปขำแม่ไปประมาณนั้น
4.  ติดตามผล หากยังไม่ดีขึ้น ยังถูกแกล้งอยู่ย้อนกลับไปเริ่มข้อ 1 ใหม่ฮ่าๆๆ  ทำไปสัก 3-4 ครั้งหากไม่ดีขึ้น แม่ดาวจะแจ้งคุณครูทราบด้วยตัวเอง  คิดว่าลูกพูดแล้วครูอาจไม่ใส่ใจมาก หากเราพูดเองน่าจะดีกว่า  แต่ทั้งนี้ส่วนมากจะพิจารณาด้วยว่าความรุนแรงที่ลูกได้รับมากน้อยประการใด หากถึงขั้นบาดเจ็บมากก็คงรีบไปแจ้งครูทันที 

ผ่านมาหลายปีก็มีการพัฒนาวิธีการบ้างเล็กน้อย แต่ความคิดนั้นพัฒนาไปเยอะมากฮ่าๆๆๆ เริ่มฉลาดขึ้น คิดบวกได้มากขึ้น ไม่ได้แค่แนวความคิด แต่คิดได้ตามแนวที่เคยอยากทำ และทำได้จริง  ปัจจุบันลูกชายอยู่ชั้นป.1  ลักษณะนิสัยไม่ค่อยยอมคนสักเท่าไหร่ แต่โดนแม่ครอบไว้ ปรามไว้ตั้งแต่เล็กๆ  อันที่จริงเขาเป็นเด็กที่รุนแรงเหมือนกันนะคะ  แต่เขาพอจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีในระดับนึง  ฝึกๆ มา    ลืมเล่าไปนิดสมัยที่เรียนชั้นอนุบาลนั้น เขามาขอเรียนเทควันโด้ แม่ดาวก็ไม่สนับสนุนเท่าไหร่นัก นอกจากเปลืองเงินแล้วยังเป็นการติดอาวุธให้ลูกอีก  แต่ลูกอยากเรียนและป๊าส่งเสริมด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนมุมมองเป็นว่า เรียนไว้เผื่อใช้งานแทนฮ่าๆๆ  ไว้เพื่อป้องกันตัวก็น่าจะดีเนอะประมาณนี้

หากจำไม่ผิดน่าจะตอนอยู่อนุบาล 2 โดนเพื่อนแกล้งบ่อยมาก มาเล่าให้แม่ฟัง ใช้วิธีต่าง ๆแล้วก็ไม่ดีขึ้น ป๊าชี้โพรงให้ใช้เทควันโด้จัดการซิ เป็นการป้องกันตัว  แม่ดาวก็ทักท้วงนะ แต่.....เขาไม่ฟังค่ะ  อยากใช้ตั้งแต่ต้นเป็นทุนบวกกับป๊าเปิดทางให้ อีกวันกลับมาเล่าให้ฟังจัดการไปเรียบร้อย เพื่อนมาแกล้งอีก ไม่ใช้แล้ววิธีที่ผ่านมา แตะเพื่อนกลับ เพื่อนหนีแล้วก็ยังตามไปเตะอีก ประมาณเก็บกดแค้นใจมานานแล้ว วันนี้ขอสักหลายๆ  ที มีโอกาสแล้ว แค้นนี้ต้องชำระ  กลับมายิ้มแป้นหน้าบานเล่าให้แม่ฟังอย่างภาคภูมิใจ  ประหนึ่งนักกีฬาไทยได้เหรียญทองฮ่าๆๆ   แม่ดาวฟังก็สลด ใจเหี่ยว พลังหมด โอ้....ที่เผ้ากล่อมเกลาลูกเรามา แค่เพียงไม่กี่ประโยคของป๊าก็สามารถทำลายกำแพงที่แม่กั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย   สอนลูกว่า ลูกใช้วิธีการแบบนี้แม่ไม่เห็นด้วย เพราะอะไร ชวนคุย  สุดท้ายก็ใช้คำพูดว่า ก็แค่ใช้ป้องกันตัว   แม่ดาวบอกว่าหากลูกใช้แค่ใช้ป้องกันตัว แล้วทำไมต้องตามไปเตะอีก เมื่อเพื่อนวิ่งหนีไปแล้ว  ลูกบอกสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เขาทำลูกก่อนทำมาตั้งนานหลายที นี่ก็แค่เอาคืน  ยิ่งฟังลูกเล่ายิ่งปวดใจ ณ ตอนนั้น  ทำได้แค่บอกจุดยืนของเรา และไปพูดคุยกับสามี  เหมือนขำ ๆ นะคะ แต่ไม่ขำสักนิด  สามีเห็นด้วยกับลูกอยู่ดี จบไป ต่างคนต่างมุมมอง แม่ดาวกับสามีมีมุมมอง มีความคิดหลาย ๆ เรื่องที่ต่างกันจนน่าปวดใจ

กลับมาที่ปัจจุบันสักทีฮ่าๆๆ   มาดูวิธีการจัดการในปัจจุบันกันบ้าง เมื่อลูกถูกเพื่อนแกล้งจะทำอย่างไร

1.  รับฟังเรื่องราว อย่างไม่พิพากษาตัดสินความ ฟังเฉยๆ ไปก่อน  รับฟังด้วยใจปกติ  ให้เขาพูดให้จบ เล่าให้หมด  จากนั้นชวนพูดคุยแบบไม่ชี้นำ  พูดคุยเรื่อยๆ สบาย ๆ ให้ลูกเราผ่อนคลายความโกรธ ความอัดอั้นในใจไปก่อน ให้บ่นระบายว่างั้น  การที่แม่ดาวปล่อยให้ลูกได้ระบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ลูกบรรเทาความคับแค้น ความอัดอั้นในใจไปได้เยอะ  แต่ต้องฟังให้เยอะ พูดให้น้อยนะคะ  ไม่ใช่แนวสอบสวนสืบสวนคดีความหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ

2.  จากนั้นเหมือนเดิมค่ะ ชวนกันคิด ชวนกันคุย แบ่งปันแนวทางการแก้ไขปัญหา ส่วนมากแม่ดาวจะให้เขาคิดเองแล้ว ณ ตอนนี้ ลูกคิดว่าจะจัดการแก้ไขกับปัญหาเรื่องนี้อย่างไร แบบไหน เพราะมีประสบการณ์มามากพอสมควรฮ่าๆๆ 

3.  ให้เขาจัดการเองและติดตามผล
และผลที่ติดตามคือ ยังแกล้งอยู่เหมือนเดิมฮ่าๆๆ  อ้อ....เรื่องของลูกแม่ดาวนี้เท่าที่ฟัง เป็นการที่เพื่อนเขามักเล่นแรง ชอบแหย่เหย้าเอาสนุก(คนเดียว) ที่ฟังแม่ดาวไม่คิดว่าเป็นการแกล้งนะคะ เหมือนเล่นไม่เป็น แต่ลูกเราตีความว่า เพื่อนคนนี้ชอบแกล้ง นิสัยไม่ดีประมาณนี้  อันนี้ต้องฟังเขาไว้นะคะ แม่ดาวไม่ค้าน ช่วงที่ฟัง ก็ฟังไม่เถียง ฟังไปเรื่อย  จะออกความคิดเห็นเมื่อถึงขั้นที่2 

เมื่อผลยังแกล้งอยู่จึงถามเขาว่าต้องการตัวช่วยไหม (แม่) ฮ่าๆๆๆ ช่วยคิด แต่ไม่ลงมือช่วยเองนะคะ  หากเขาบอกจัดการได้ขอคิดเองก่อนก็ปล่อย ให้เขาคิดและที่นี้เริ่มกลับมาช่วยซ้อมบทบาทสมมุติอีกครั้งเพื่อความมั่นใจในการปฏิบัติการจริง    ครั้งนี้เขายังคิดเองได้อยู่ เราแค่รอติดตามผล    และผลปรากฎว่ายังไม่สำเร็จฮ่าๆๆ   งานนี้ลูกขอตัวช่วยแล้ว  แม่ดาวได้เสนอความคิดเห็นซะที คันปากมานาน ต้องข่มใจงับปากตัวเองไว้ ปล่อยให้ลูกตัดสินใจและลองทำด้วยตัวเอง  

ลืมบอกค่ะ ทุกครั้งที่เขาคิดดีคิดได้จะชื่นชมเขาทุกครั้ง เช่น ลูกแม่คิดดี ทำดีเนอะ แม่ภูมิใจจริง ๆ ประมาณนี้   แต่เวลากลับมาได้แผลกาย แผลใจ ก็ช่วยเยียวยารักษาทั้งแผลกายและแผลใจ เริ่มจากรับฟังอย่างตั้งใจ และแสดงให้เขารับรู้ว่าเราไม่ใช่แค่รับฟัง แต่เราเข้าใจ เห็นใจ ห่วงใยด้วย

มาถึงแม่ดาวแนะนำบ้าง  วิธีการปฏิบัติ
1. หากเป็นแม่ แม่จะ   คือจะใช้คำนี้นำบ่อย ๆ   เช่น หากแม่ถูกเพื่อนแกล้งอีก แม่จะบอกเพื่อนด้วยเสียงดัง ๆ ว่า ทำแบบนี้แม่เจ็บ และจะไม่เล่นด้วย  จากนั้นเดินหนีไป  แล้วหากเพื่อนตามจะบอกเสียงดังขึ้นอีกตามลำดับ สัก 2-3 ครั้ง
2.  หากเป็นแม่ แม่จะหาเพื่อน ๆ มาเป็นตัวช่วย จัดการกับเพื่อนคนนี้ โดยขอให้เพื่อนๆช่วยกันพูดเสียงดังๆ ออกมาว่า อย่าทำกับเพื่อนแบบนี้  ไม่งั้นจะฟ้องครู  (คือตัวเองขู่ว่าจะฟ้องครูเพื่อนไม่กลัว )
3.  หากแม่เดินหนี แล้วเพื่อนตาม แม่จะวิ่งไปหาคุณครู เพื่อบอกกับครูว่า เกิดอะไรขึ้น
4.  หากครูไม่อยู่  แม่จะตะโกนดัง ๆ หนักกว่าเดิม ขอให้เพื่อนๆช่วย แม่คิดว่าเพื่อนกันไม่ทิ้งกันหรอกเนอะ ฮ่าๆๆๆ
5. แม่จะไม่เล่นกับเพื่อนคนนี้อีก  แต่แม่ไม่ได้โกรธ  จะบอกเพื่อนว่า พร้อมมาเล่นด้วยกันดี ๆ แบบไม่ทำร้ายกันเมื่อไหร่จะเล่นด้วย  และหากเขาอ้อนวอน จะใจแข็งขอให้เขาพิสูจน์ตัวเอง 1 วัน ว่าจะไม่แกล้งเราอีก

ทั้งนี้หากหนักหนาสาหัสมาก จะแนะนำให้บอกครู  ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองฝ่ายเดียว แต่เพื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วย  เพราะเพื่อนบางคนอาจไม่กล้าพอที่จะบอกครู ประมาณว่าเขาคือ ฮีโร่ ที่ช่วยทั้งตัวเองและเพื่อน    ทั้งนี้ด้วยลูกจะบอกแม่ดาวว่าเกรงใจครู ครูเขางานเยอะ เด็ก ๆ ก็ซนมาก ครูเหนื่อยมากประมาณนี้ เลยต้องใช้เหตุผลนี้เข้าช่วยตะล่อมให้บอกกับคุณครู เพราะน้องดีโด้ไม่กลัวคุณครู เขาบอกนะคะ แม่ดาวไม่ได้ตีความเอง

ต่อมาวิธีคิด
1.   แม่คิดว่า เพื่อนลูกคนนี้ไม่ใช่เด็กเกเร แต่เล่นไม่เป็น เขาน่าส่งสารออกนะ เพราะลูกเล่าว่าเพื่อน ๆ ในห้องเอือมระอาไม่ค่อยมีใครอยากจะเล่นด้วย   และที่เขามาเล่นกับลูก (ลูกตีความว่าแกล้ง)  เพราะคงเห็นว่าลูกเล่นด้วยสนุก เขาคงรักและชอบหนูมาก จึงมาเล่นแบบพิเศษแต่กับหนู ซึ่งแม่ก็เข้าใจว่าลูกไม่ชอบ  แม่เองก็ไม่ชอบ แต่อยากให้เข้าใจเพื่อนบ้าง
2.   สอนให้เขาเห็นว่า  เราเล่นแรงแบบนี้ เกเรเพื่อน แกล้งเพื่อน หรือพูดจากไม่เพราะ ผลลัพธ์ที่จะได้ก็อย่างที่เห็น คือไม่มีใครอยากคบ อยากเล่นด้วย   ย้ำเรื่องกรรมและวิบากกรรมเป็นการสอนพุทธศาสนาไปในตัว
3.   ถามเขาเลยว่าเพื่อนแกล้งลูก ลูกคิด และรู้สึกอย่างไร   เขาบอกโกรธที่ใจและเจ็บที่กาย ประมาณนี้  หากเป็นแม่ แม่เป็นหนู  แม่จะเจ็บแต่กาย แต่จะไม่เจ็บใจ ไม่งั้นทุกข์แย่  เจ็บ 2 ต่อ  เจ็บกายแล้วยังเจ็บใจด้วย  สอนให้เขาให้อภัย เวลาเราให้อภัยไม่โกรธใครใจเราจะเบา ๆ และเป็นสุขเนอะ   เพื่อนทำร้ายเราเจ็บกายแล้ว ทำไมเรายังมาทำร้ายตัวเองด้วยการโกรธเพื่อนให้เจ็บใจอีก  แบบนี้ไม่ฉลาดเนอะ (ด้วยลูกเป็นเด็กที่อยากให้คนมองว่าฉลาด)  

ซักซ้อมภาคปฏิบัติและติดตามผล   

และผลคือ
ลูก            แม่ครับ วันนี้....(ชื่อเพื่อน)ไม่แกล้งดีโด้แล้ว
แม่            ดีจังเลยครับลูก ลูกได้ผลใช่ไหมวิธีที่เราคุยกัน
ลูก            ใช่ครับ วันนี้......ไม่แกล้งดีโด้เลยกอดดีโด้ทั้งวัน
แม่            (งงๆ)  โอ้...ดีจังเลย แต่เพื่อนกอดลูกเพราะอะไรเหรอครับ
ลูก            อันที่จริง ......ไม่ได้กอดจริงๆ หรอก ดีโด้คิดเอา ว่าเพื่อนกอด เวลาเพื่อนทุบหลัง ก็คิดว่ามากอดหลังดีโด้ เวลาเพื่อน..................ก็คิดว่ามากอดดีโด้ 
แม่            (เอ่อ............แบบนี้หลอกตัวเองเปล่าเนี้ย จะดีไหมนะที่คิดแบบนี้)   อ๋อ....เหรอครับ งั้นลูกก็ไม่เจ็บเลยซินะ  (ถามหยั่งอาการ)
ลูก            เจ็บซิแม่ โดนทุบหลักดังมากๆๆๆเลยนะ ไม่เจ็บได้ไง   แต่เจ็บแค่กายแหละ ใจไม่เจ็บตาม ดีโด้สบายใจมากเลย
แม่            (คิดหนัก นี่เราสอนผิดหรือถูกเนี้ย)  แม่ดีใจนะครับที่ลูกเจ็บแค่กาย  ไม่เจ็บใจตามไปด้วย แต่จะดีมากเลยครับหากลูกแก้ปัญหาไม่ให้เจ็บกายได้ด้วย (ฮือๆๆๆ สงสารลูก)
ลูก            คงยากนะแม่   .........เขาไม่กลัวใครเลย  ครูเขาก็ไม่กลัว ขนาดโดนดุไปหลายรอบ ยังไม่เข็ด ไม่กลัวสักนิด  ดีโด้ไม่เห็นเขาจะกลัวใครเลย  ดีโด้ทำใจแล้ว 
แม่            อ้าว....ลูกทำใจได้แล้ว  แล้วเพื่อนคนอื่นๆ  ที่โดนแกล้งล่ะ เขาจะทำไง  
ลูก            ก็ไม่ค่อยแกล้งคนอื่นเท่าไหร่  เห็นมีแต่ชอบผลักหัวเพื่อนบ้างนิดหน่อย (คือไม่รุนแรงเท่าที่ทำกับเขา)
แม่            จ๊ะ......แล้วไม่ลองวิธี งดเล่นกับเพื่อนก่อนบ้างเหรอลูก
ลูกไม่ตอบอะไร  บอกแต่ไม่เป็นไรอย่างเดียว ทำใจได้สบายมาก   แต่เท่าที่สังเกตลูกเขาก็ร่าเริงดี  พูดคุยปกติ ไม่ค่อยร้องตอนเช้าว่าจะไม่ไปเรียนเพราะเพื่อนคนนี้แกล้งแล้วนะคะ   ก็ไม่รู้ยังไงเหมือนกัน แต่ก็เผ้าติดตามเรื่อยๆ ทุกวัน ชวนคุยทุกวัน   นี่ก็ว่าหากไม่ดีขึ้น ทางกายนะคะ  จะไปคุยกับเด็กคนนั้นสักที  ต้องหาโอกาสเหมาะ ๆ  ช่วงเวลาไม่ได้ตรงกันเลย  ด้วยคนอื่นๆ  เรียนพิเศษแทบทั้งหมด  เหลือแต่เขากับเพื่อนไม่กี่คนที่ไม่ได้เรียน จะมีเรียนก็ 2 วัน แต่ไม่ได้เรียนวิชาการ เป็นว่ายน้ำและเทควันโด้   รอๆๆๆๆ และรอติดตามต่อไป  หมายถึงแม่ดาวนะคะ 

วันนี้มีสอนเพิ่มเรื่องหากเห็นเพื่อนหรือคนอื่นที่โรงเรียนถูกรังแกหรือทะเลาะกันให้จัดการดังนี้
1.   เข้าไปบอกเสียงดัง ๆ เช่น ทำแบบนี้ไม่ได้นะ  จะไปบอกครู  แต่ไม่ให้ลงสนามจัดการคลุกวงในกับเขาด้วย ให้อยุ่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ และใช้เสียงเป็นพอ
2.  ให้ชวนเพื่อนมามุงและตะโกนดัง ๆ ด้วยกัน และส่งม้าเร็ว หรือจะไปเองก็ได้ไปบอกครู หรือผู้ใหญ่ที่อยู่แถวนั้นให้ช่วย
3.  เน้นย้ำเรื่อง อย่าปล่อยให้ใครมารังแกเรา หรือปล่อยให้เขารังแกใคร 
                                ขอเป็นอีกพลังในการขับเคลื่อนต่อต้านและลดความรุนแรงนะคะ     สำหรับตอนนี้ง่วงเป็นที่สุด คิดมุขไม่ออกแล้ว ขอจบแบบห้วน ๆ สั้น ๆ  โปรดช่วยกันดูแลและรักษาลูกและโลกของเราด้วยนะคะ   อย่าลืมคำนี้  ทำได้เท่าที่จะทำ ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อยให้เป็นไป      

                  ต้องขอบคุณรายการโทรทัศน์ช่องน้ำดี ที่นำเรื่องดี ๆ แบบนี้มาแบ่งปัน ได้แนวคิดนี้จากการดูสัมภาษณ์รายการอะไรจำไม่ได้ฮ่าๆๆๆ  แต่ดีมาก และไม่ได้ดูตั้งแต่ต้น จะค้นดูก็ไม่ได้เพราะจำชื่อรายการไม่ได้ฮ่าๆๆ  ดูแบบไม่พร้อมอีกต่างหาก  แหม....เสียดายจัง