เรื่องพิมพ์ขึ้น เมื่อ 2 มิถุนายน 2012 เวลา 13:31 น.
ช่วงนี้น้องดีโด้มีปัญหาพฤติกรรมให้แม่ดาวต้องบอก และบ่นเป็นประจำ (บางทีมันอดไม่ได้เนอะ) อีกทั้งยังมีปัญาหาโดนเพื่อนแกล้งที่โรงเรียนทุกวัน(อีกแล้วครับพี่น้อง) พอดีได้ดูข่าวนักการเมืองทะเลาะกันในสภา ความคิดนี้ก็ปรากฎแวบขึ้นมาในหัว เออ...ใช่ ใช้วิธีนี้กันดีกว่า ก่อนที่แม่ดาวคุยกับลูกเรื่องเราจะแก้ไขกันยังไง แม่ดาวจะเกริ่นนำกับลูกก่อนว่า
แม่ ดีโด้ครับ แม่รู้สึกไม่ดีมาก ๆ เลยช่วงนี้
ดีโด้ แม่รู้สึกไม่ดีเรื่องอะไรครับ (ครับเนี้ย มีบ้างไม่มีบ้าง ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะได้ยิน)
แม่ ก็แม่รู้สึกช่วงนี้แม่ขี้บ่นมาก จนแม่เหนื่อย และเครียด แม่ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
ดีโด้ ดีโด้ก็ไม่ชอบเหมือนกัน
แม่ นั่นซิ.......แม่อยากให้ดีโด้ช่วยแม่หน่อยได้เปล่าลูก เพราะแม่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า ที่เวลาเราถอดออกแล้ว มันไม่อยู่ในที่ ๆ มันควรจะอยู่ แล้วก็พวกถุงขนม กล่องนม พวกเนี้ย มันก็ชอบหนีออกมาจากถังขยะอยู่เรื่อย แม่ไม่ชอบเลยเห็นแล้วมันไม่เป็นระเบียบ มันรกตาไปหมด บ้านรก ๆ แม่เครียดมาก ดีโด้ช่วยแม่คิดได้ไหมว่าเราควรทำไง
ประโยคนี้แม่ดาวแก้ไขจากความจริงนะคะ เพื่อใครอ่านแล้วอยากใช้จะได้นำใช้ได้ถูกต้อง เพราะตอนแรกจะระบุเลยว่า ปัญหาคือน้องดีโด้..........ซึ่งไม่ควรพูดแบบนั้น จะทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกตำหนิ แล้วอาจปิดใจไม่คุยด้วย แต่น้องดีโด้เขาก็รับได้ แต่หากแม่ดาวพูดแบบนี้ตอนแรกก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้ กลัวใครมาอ่านแล้วอยากทำ แล้วจำไปใช้ผิด ๆ เลยต้องแก้ให้ก่อน
ดีโด้ (นิ่ง ๆ ไป รู้ตัวว่าผิด) ได้ครับ แต่คิดไม่ออก
แม่ เอางี้ไหมลูก เรามาประชุมกัน รอป๊ากลับมาก่อนพรุ่งนี้เราค่อยประชุมร่วมกัน จะได้ช่วยกันคิดเนอะ
ดีโด้ (ยิ้มแป้น เขาชอบการประชุมมาก) ดี ๆ แม่ รอป๊าก่อน พรุ่งนี้เราประชุมกันเลย
แม่ งั้นเรามาเขียนปัญหาของพวกเราเอาไว้ก่อนดีเปล่าครับ
ดีโด้ ดีครับ ดีโด้เขียนเองนะ (เขียนไม่เป็น แต่ใช้แม่ดาวเขียน ส่วนเขาวาดภาพประกอบข้างหลังข้อความ บนกระดาษไวท์บอร์ด
วันนี้จะเป็นวันหยุดของทุกคน เลยคุยกับน้องดีโด้และสามีว่า วันนี้เราจะมีประชุมกัน และเขียนเตือนไว้บนกระดาน (เวลาเขียนจะวาดภาพประกอบโดยดีโด้)
เรื่องที่ 1 ปัญหาการถอดเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้าแล้วมันไม่อยู่ในที่ ๆ มันควรจะอยู่ ไม่เป็นระเบียบ ( คือเมื่อก่อนเค้าก็ใส่เองไม่ต้องบอก หลัง ๆ มานี่ ถอดทิ้งตลอด พูดทุกวัน จนแม่และลูกก็เบื่อ)
เรื่องที่ 2 ปัญหาเรื่องทานขนม นม ไม่เป็นที่ ทานแล้วไม่ทิ้งถังขยะ (แปลกไหมเมื่อก่อนไม่ต้องให้บอกให้เตือน ตอนนี้เป็นทุก ๆ วัน)
เรื่องที่ 3 ปัญหาเรื่องดีโด้โดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งเป่าแป้งใส่ตาทุกวัน คืออันนี้ดีโด้เค้ามองว่ามันเป็นปัญหาที่น่าหนักหนาสาหัสสำหรับเค้ามากเลย
เวลาที่ประชุมเวลาที่เราจะพูดเรื่องปัญหาเราในข้อ 1 และข้อ 2 ของดีโด้ จะไม่ระบุชื่อหรือเจาะจงไป ว่าปัญหาอยู่ที่ตัว "ดีโด้" เพราะเค้าจะไม่ชอบรู้สึกว่าเค้าเป็นตัวปํญหาของบ้าน จะพูดลอย ๆ ว่า ตอนนี้เรามีปัญหาคือปัญหาที่มีเสื้อผ้าเกลื่อนกลาดบนพื้น ไม่เป็นระเบียบ ประมาณนั้น แต่ใน ข้อ 3 จะพูดระบุไปเลยว่า ปัญหาของดีโด้ เขาจะได้รู้ว่าเราให้ความสำคัญมากด้วยเช่นกัน
วิธีการนี้หลักสำคัญคือ ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นของตนออกมาก่อน และระหว่างที่แต่ละคนเสนอแนวทางการแก้ปัญหา ทุกคนต้องนั่งเพียงแค่รับฟังยังไม่ต้องวิพาก วิจารณ์หรือโต้แย้ง แต่ถ้าตัวเด็กซึ่งเค้าจะยังไม่เข้าใจ เค้าจะโต้แย้งและตัดสินทันที เมื่อได้ฟังแนวทางที่เค้าไม่พอใจ รับไม่ได้ เราก็แค่คอยบอกเค้าว่า เราต้องเป็นเพียงผู้ฟังที่ดีก่อน ตอนนี้เรามีหน้าที่รับฟังเพียงอย่างเดียว เดี๋ยวพอเสนอเสร็จทุกคนเราจะมาช่วยกันลงความคิดเห็น ซึ่งดีโด้ก็เป็นแบบนั้น พอไม่พอใจจะเอาปากกามากากบาทออกทันที และโวยวายไม่ยอมรับความคิดเห็น แม่ดาวก็ต้องคอยเตือนว่าควรทำตัวอย่างไรในที่ประชุม ยกตัวอย่างให้เขาเห็นว่า หากแม่ทำแบบนี้บ้างดีโด้รู้สึกยังไง โวยวายไม่ยอมรับความคิดเห็นของดีโด้ พอได้ความคิดเห็นแล้วก็ให้พูดคุยกันถึงแต่ะละแนวทาง จากนั้นก็ให้ลงคะแนนเสียงยกมือเลือก ใช้เสียงข้างมาก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังประชาธิปไตยในตัวเด็ก เริ่มจากครอบครัวของเราก่อน
วิธีนี้ทำให้เราได้รู้เลยว่าลูกของเรา เค้าสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเค้าเอง เราเพียงแค่ออกอุบายนิดหน่อย ทำเป็นมาประชุม แต่เราคัดค้านได้นะคะถ้าลูกของเราออกความคิดที่ไม่น่าปฏิบัติตามเลย ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเวลาประชุมแบบนี้ เด็ก ๆ เค้าจะให้ความสำคัญ และแสดงความคิดที่ดีออกมา โดยที่เราไม่ต้องบังคับ เค้ารู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดี แค่เค้าก็เบี้ยวเราไม่อยากจะทำแค่นั้น
จากที่เราได้ประชุมกันและสรุปออกมาคือ
เรื่องที่ 1 แก้ปัญหาโดยให้ไปถอดเสื้อผ้าตรงตะกร้าผ้าเลย ทำป้ายติดไว้ที่ตะกร้าผ้า (ที่จริงดีโด้เค้าอ่านหนังสือไม่ออกนะ ป้ายเค้าจะเขียนเองและวาดภาพประกอบ) และมีผู้คุมกฎ และผู้ช่วยผู้คุมเกฎคอยดูแล นี่เป็นความคิดเห็นจากตัวน้องดีโด้เองเลย เค้ารู้ว่าตัวเองด้วยนะว่าต้องมีผู้ช่วยคอยเตือนเค้าอีกที เพราะเค้าก็รู้ว่าเค้าเองก็คงพลาดทำไม่ได้ทุกครั้ง อ้อลืมบอกผู้คุมกฎก็คือตัวน้องดีโด้เอง
เรื่องที่ 2 แก้ปัญหาโดยเวลาจะทานอะไรให้ทานบนโต๊ะทานอาหารเท่านั้น และมีผู้คุมกฎและผู้ช่วยเหมือนเดิม ข้อนี้แม่ดาวเสนอและได้รับผลโหวตจ้า 55555
เรื่องที่ 3 แก้ปัญหาโดยให้แม่ดาวไปบอกครูประจำชั้น และน้องดีโด้ก็จะไม่ทาแป้ง และจะคอยระวังภัยด้วยตัวเอง อันที่จริงปกติดีโด้ไม่ทาแป้งอยู่แล้วเวลาอยู่บ้านและเคยแจ้งครูไปแล้วว่า น้องไม่ทา แป้งจะก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้นะจะบอกให้หมอบอกมา แต่ครูก็ยังทาให้ทุกวัน ก็ไม่อยากจะไปเรื่องมากก็เลยปล่อยเลยตามเลย ปัญหานี้ดีโด้บ่นทุกวัน บอกว่ามันแสบตา แก้ปัญหาเองแล้วด้วยโดยบอกกับเพื่อนแล้ว บอกกับครูก็แล้ว บอกทุกวันก็ยังโดนแกล้งทุกวันอยู่ดี
ข้อนี้ดีโด้เค้าเสนอเอง ชอบเหตุผลเค้ามากที่ว่าจะไม่ทาแป้ง เค้าบอกว่าเดี๋ยวเค้าจะบอกครูว่าไม่ขอทาแป้ง ทาจนหน้าเป็นผื่นหมดแล้ว 5555 (แพ้แป้ง) แต่จุดสำคัญอยู่ที่เค้าบอกว่า ถ้าเค้าไม่ต้องทาแป้งเค้าก็จะมีมือคอยปิดตา และมีสติคอยระวังตัวเวลาเพื่อนจะเป่าแป้งเข้าตา นึกภาพตามนะ เวลาครูทาแป้ง คุณครูจะเดินแจกแป้งตามโต๊ะโดยให้เด็ก แบมือ 2 มือชิดกัน และครูจะปีบแป้งซึ่งเยอะมาก 5555 ดีโด้บอก เพราะที่บ้านมีการจำลองเหตุการณ์ แล้วแม่ดาวเป็นครูประจำชั้นบีบแป้งใส่มือดีโด้ ซึ่งดีโด้จะเล่นเป็นเพื่อนคนที่แกล้งเป่าแป้งใส่ ป๊าบิ๊กเป็นดีโด้ พอแม่บีบแป้งแล้วให้เค้าทำ เค้าก็ทำท่าว่า เพื่อนจะเอามือถูแป้งก่อนจากนั้นก็จะเป่าใส่ แต่เราบีบน้อยไง ก็เลยไม่เห็นปัญหา ดีโด้บอกว่า แม่ ๆ ต้องบีบๆๆ เยอะ ๆ ๆๆ ครูเค้าจะบีบเยอะๆๆๆ ใส่มือ 55555 น้องดีโด้เค้านั่งติดกับเด็กคนนี้ค่ะ เค้าเลยโดนแกล้งตลอด แต่ที่น่าประทับใจกว่านั้น คือ แม่ดาวเสนอให้เค้าขอครูย้ายที่นั่ง คำตอบที่ได้ คือ "แม่ถ้าดีโด้ย้ายที่นั่ง เพื่อนคนอื่นก็โดนแกล้งต่อจากดีโด้อยู่ดี" โอ้โห.......ที่สุดค่ะลูกชาย น่ารักมาก เค้าไม่ได้แค่จะแก้ปัญหาแค่ให้ตัวเองปลอดภัย แต่เค้ายังห่วงใยเพื่อนคนอื่นด้วย ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆๆ
ข้อนี้ดีโด้เค้าเสนอเอง ชอบเหตุผลเค้ามากที่ว่าจะไม่ทาแป้ง เค้าบอกว่าเดี๋ยวเค้าจะบอกครูว่าไม่ขอทาแป้ง ทาจนหน้าเป็นผื่นหมดแล้ว 5555 (แพ้แป้ง) แต่จุดสำคัญอยู่ที่เค้าบอกว่า ถ้าเค้าไม่ต้องทาแป้งเค้าก็จะมีมือคอยปิดตา และมีสติคอยระวังตัวเวลาเพื่อนจะเป่าแป้งเข้าตา นึกภาพตามนะ เวลาครูทาแป้ง คุณครูจะเดินแจกแป้งตามโต๊ะโดยให้เด็ก แบมือ 2 มือชิดกัน และครูจะปีบแป้งซึ่งเยอะมาก 5555 ดีโด้บอก เพราะที่บ้านมีการจำลองเหตุการณ์ แล้วแม่ดาวเป็นครูประจำชั้นบีบแป้งใส่มือดีโด้ ซึ่งดีโด้จะเล่นเป็นเพื่อนคนที่แกล้งเป่าแป้งใส่ ป๊าบิ๊กเป็นดีโด้ พอแม่บีบแป้งแล้วให้เค้าทำ เค้าก็ทำท่าว่า เพื่อนจะเอามือถูแป้งก่อนจากนั้นก็จะเป่าใส่ แต่เราบีบน้อยไง ก็เลยไม่เห็นปัญหา ดีโด้บอกว่า แม่ ๆ ต้องบีบๆๆ เยอะ ๆ ๆๆ ครูเค้าจะบีบเยอะๆๆๆ ใส่มือ 55555 น้องดีโด้เค้านั่งติดกับเด็กคนนี้ค่ะ เค้าเลยโดนแกล้งตลอด แต่ที่น่าประทับใจกว่านั้น คือ แม่ดาวเสนอให้เค้าขอครูย้ายที่นั่ง คำตอบที่ได้ คือ "แม่ถ้าดีโด้ย้ายที่นั่ง เพื่อนคนอื่นก็โดนแกล้งต่อจากดีโด้อยู่ดี" โอ้โห.......ที่สุดค่ะลูกชาย น่ารักมาก เค้าไม่ได้แค่จะแก้ปัญหาแค่ให้ตัวเองปลอดภัย แต่เค้ายังห่วงใยเพื่อนคนอื่นด้วย ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆๆ
ใครมีปัญหาประมาณนี้อยากแก้พฤติกรรมของลูกที่เราไม่ชอบ หรือลูกกำลังมีปัญหาลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะจ๊ะ
หมายเหตุ : บรรยากาศ วิธีการพูดในการประชุมต้องเป็นแบบผ่อนคลายเป็นกันเองนะจ๊ะ อย่าเครียด กดดันกันแบบในสภาอ่ะ
***20 ก.ค. 55 สรุปผลการใช้ ปัญหาในเรื่องที่ 1 กับ 2 นั้นยังมีอยู่ แต่ดีขึ้นคือ ไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาจะทำ มีนึกได้บ้างก็ทำเอง หรือลืมตัวผู้ช่วยอย่างแม่ดาวก็ต้องเตือนใช้แค่คำว่า “ดีโด้ครับ ถุงเท้าครับ” หรือหากอารมณ์เบิกบานก็จะหยอดมุข “โอ๊ะ...ทำไมกางเกงในกระโดดออกมาจากตะกร้าเองได้นะ” ช่วงที่แม่ดาวเกิดอาการบ่น ๆๆ เป็นหมีกินผึ้งมันเกิดจากเราป่วยด้วย เหนื่อยกายด้วย เหนื่อยใจด้วย สัญญาเก่า ๆ ก็จะเข้ามาครอบงำจิตใจ แต่พอรู้สึกตัวชัด ๆ ก็จะฮึดกลับมาเป็นแม่ดาวนางฟ้าของน้องดีโด้เหมือนเดิม
ดังนั้นอย่าไปตำหนิตัวเองนะคะ คนเราทำผิดกันได้เสมอ ๆ แต่หากเรารู้ว่าผิด ก็อย่ามัวแต่เฝ้าบ่น เพ่งโทษตัวเอง ทำร้ายจิตใจตัวเองอยู่แบบนั้น ให้เปลี่ยนความคิดทั้งหมดมาเป็นพลังผลักดันให้เราลุกขึ้นต่อสู้ต่อไป ทุกข์เราจะไปยึดเอาไว้นานทำไมให้ใจเราเศร้าหมอง ผิดแล้ว ก็รู้ว่าผิด ผิดแล้วต้องทำยังไง ต้องหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่มัวแต่ไปร่ำไห้อยู่กับมัน