วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หนังสือที่อยากแนะนำให้อ่าน

       หนังสือดี ๆ  ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตและความคิดเราได้ แม่ดาวเลยอยากแนะนำ "ครู" ที่สอนวิชาการเลี้ยงลูกด้วยการสร้างวินัยเชิงบวก (อย่างถูกต้อง) ให้กับทุก ๆ ท่านได้รู้จักกัน     

       1.   101 เคล็ดวิธีสร้างเด็กดี มีความสุข   เขียนโดย ดร.ปิยวลีและอ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร (ครูใหม่ครูหม่อม)  สำนักพิมพ์ เนื้อหาอ่านง่ายมาก ๆ ค่ะ อ่านสนุก  สำหรับแม่ดาวเรียกได้ว่าเป็นคู่มือการเลี้ยงลูกที่ดีมาก คือไม่ใช่แค่อธิบายกว้าง ๆ เหมือนหนังสือจิตวิทยาการเลี้ยงเด็กทั่วไป แต่ยกตัวอย่างให้เราเห็นภาพชัดเจน อ่านแล้วเราสามารถทำตามได้ง่าย  101 เนี้ยคือผู้ให้กำเนิดแม่ดาวคนใหม่เลยนะคะ

       2.   พูดกับลูกอย่างไร ฟังลูกพูดอย่างไร ของสำนักพิมพ์ BeeMedia เป็นหนังสือแปลค่ะ และเป็นหนังสือแปลเล่มแรกที่แม่ดาวอ่านแล้วเข้าใจ ที่เคยอ่าน ๆ ไม่จบเล่มก็วางแล้ว งง อ่านแล้วไม่อิน เบื่อ วาง มีหลายเล่มที่ซื้อมาแล้วอ่านไม่จบ ฮ่าๆๆ  ตอนนั้นที่หาซื้อคือแม่ดาวมีปัญหาเรื่องทักษะการฟัง รู้ตัวว่าเราต้องปรับปรุงเรื่องนี้อย่างมากก็เลยไปยืนหา หนังสือที่เกี่ยวกับวิธีการฟังลูกพูด มีหลายเล่มนะคะ แต่ตัวเองสะดุดกับเล่มนี้ที่สุด เลยซื้อมาและไม่ผิดหวังจริง ๆ นอกจากแม่ดาวจะได้ วิธีการเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว ยังได้รู้เพิ่มในเรื่อง วิธีการชมลูกเพิ่มเติมมาด้วย แต่ละบทจะมีแบบฝึกหัดท้ายบทให้ได้ลองทำด้วยนะคะ เนื่องจากแม่ดาวฝึก 101 มาได้สักระยะใหญ่ ๆ เล่มนี้ถ้าจำไม่ผิดซื้อถัดจากเรียนรู้ 101 มา 1 ปี (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) แบบฝึกหัดท้ายบทก็เลยหมู ๆ สำหรับแม่ดาว ฮ่าๆๆๆ ทำถูกเกือบหมด เรียกว่าแทบจะทั้งหมดก็ว่าได้ ผิดอยู่ไม่กี่ข้อ  สำนักพิมพ์นี้แม่ดาวอุดหนุนเขาหลายเล่มแล้ว ใครสนใจก็สามารถซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นน้ำทั่วไป แต่ซื้อผ่านเว็บของสำนักพิมพ์เลยจะถูกกว่า ลดเยอะกว่ามาก

      3.   แนะนำวิธีเลี้ยงลูกแบบ Happy ของสำนักพิมพ์รักลูก เป็นหนังสือแปลจากจิตแพทย์ชาวญี่ปุ่น นายแพทย์ไดจิ โทโมโกะ โอตะ  เล่มนี้ชอบมากเป็นที่สุด (ไม่นับ 101 นะ อันนั้นไม่สามารถจัดอันดับได้ มันอยู่เกินกว่าอันดับ 1 สำหรับแม่ดาว) เพราะถูกจริตแม่ดาวเป็นที่สุด เล่มเล็ก พกสะดวก ภาพปกน่ารัก น่าอ่าน มีคำบรรยายพร้อม ภาพการ์ตูนย์ประกอบ 4 สีตลอดเล่ม ไม่ใช่วาดการ์ตูนย์ประกอบภาพน่ารัก ๆ นะคะ แต่วาดเป็นเรื่องราวแม่ลูก เหมือนที่เวลาเราอ่านหนังสือการ์ตูนย์แบบนั้นแหละ แล้วเขาก็จะวาดเปรียบเทียบความรู้สึกลูกและแม่ออกมาได้ดีมาก ๆ โดนมาก ๆ   แม่ดาวอ่านแล้วรู้สึกเหมือนคุณหมอท่านนี้เขียนหนังสือมาเพื่อให้แม่ดาวเองเลย ฮ่าๆๆ จริง ๆ นะคะ อ่านแล้วรู้สึกโหย.....ที่สุดอ่ะ  เข้าใจเรามากว่าสามีที่อยู่ข้างกายมากมายซะอีก เวลาที่แม่ดาวท้อ ๆ บางทีก็กลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้  แต่เล่มนี้คือสำหรับคนไม่เคยอ่าน 101 อ่านแล้วจะได้ วิธีปฏิบัติน้อยกว่ามากนะคะ
            ขายดีมากจนคุณหมอท่านนี้เขียนเพิ่มอีก ชุดนี้มี 3 เล่มค่ะ  แม่ดาวพอเห็นชื่อคุณหมอซื้อเลยไม่เปิดดูข้างในด้วยนะ ชอบเป็นการส่วนตัว ปัจจุบันมีออกมาอีก 2 เล่ม เกี่ยวกับการดูแลลูกยามเจ็บป่วย1-2  แล้วก็มีเลี้ยงเด็กวัย 10 ปีขึ้นไป ใครสนใจลองไปดูที่ร้านหนังสือนะคะ แม่ดาวมีครบแต่ยังอ่านไม่หมด แต่เท่าทีอ่านต้น ๆ เรื่องของการลูกวัย 10 ปี ก็คล้าย ๆ กัน กับตอนเด็ก ๆ ต่างนิดหน่อย ความคิดแม่ดาวนะ

           หนังสือ 3 เล่มนี้ หากถามว่าอยากได้แค่ 1 เล่ม แม่ดาวจะแนะนำเล่มไหน ถ้าคนชอบอ่านหนังสือแม่ดาวแนะนำเล่มแรก 101 เพราะเล่มนี้มีวิธีต่าง ๆ ที่แม่ดาวใช้ในชีวิตประจำวัน และมีวิธีหลากหลาย คิดดู 101 วิธี   หากไม่ชอบอ่านหนังสือมีเวลาไม่มาก อ่านเล่มสุดท้าย เลี้ยงลูกแบบ Happy  แต่ก็อย่างที่บอกเราได้แค่การเข้าใจลูก เข้าใจตัวเองเหมือนมีจิตแพทย์มาคุยด้วยประมาณนั้น แต่วิธีมีน้อยกว่ามาก

            ทุกวันนี้แม่ดาวก็ยังต้องพึ่งหนังสือพวกนี้ค่ะ อ่านแล้วเวลามีปัญหาบางอย่างที่คิดไม่ออกก็จะเอา 3 เล่มนี้มาเปิด ๆ ดูสารบัญหาเรื่องที่ต้องการแล้วอ่านทบทวน  แม่ดาวสมองปลาทองมากค่ะ จำอะไรได้ไม่นาน ขนาดสวดมนต์เกือบทุกวันช่วงนี้นะคะ ก็ยังต้องเปิดหนังสือท่อง ๆ เองไม่ได้ ก็จำไม่ได้อ่ะนะ  บางทีไม่มีปัญหาท้อ ๆ แค่ได้เอามาเปิดผ่าน ๆ ก็สบายใจ อย่าง 101 ของแม่ดาวเนี้ยมีลายเซ็นด้วยนะ เปิดอ่านข้อความของครูใหม่ครูหม่อมเวลาที่เราท้อ สักพักเราก็จะฮึดสู้ต่อได้ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ขอกำลังใจเท่าไหร่ เพราะเริ่มมีแหล่งพลังที่สร้างได้จากตัวเอง  

          สุดท้ายนี้แม่ดาวอยากให้ทุก ๆ คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านหลังนี้ ร่วมด้วยช่วยกันบอกต่อเผยแพร่ความรู้นี้ต่อไป แม่ดาวบอกแล้วนะคะ ว่าความรู้เหล่านี้ไม่ได้มีไว้ขาย กำลังใจก็เช่นกัน อยากให้พวกเรามาช่วยแบ่งปันกันต่อ ๆ ไป และอยากขอให้ทุก ๆ คนช่วยกันแบ่งปันความทุกข์ ความสุข ความรู้ กันในพื้นที่บ้านหลังนี้ เพื่อต่อเติมความรู้เดิมที่แม่ดาวมี แนวความคิดหากหลากหลายมันก็จะคิดอะไรได้มากขึ้น ช่วยกัน ๆ นะคะ แม่ดาวเองก็เริ่มจะท้อ ๆ นะ เหมือนโพสต์เอง เออ...เองคนเดียว ไม่รู้ว่าอ่านกันไหม ทำกันไหม 

         ขอย้ำว่าแม่ดาวไม่ได้อยากมีชื่อเสียง ไม่ได้อยากให้ใครมาจดจำชื่อ แต่สิ่งที่อยากได้คือจดจำความรู้ แนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ให้ดี และปฏิบัติตามแนวทางของตนโดยอยู่บนพื้นฐานแนวคิดบวก และช่วยกันเผยแพร่ส่งต่อขยายวงออกไปให้สังคมไทยได้ตื่นรู้ว่าการเลี้ยงด้วยแนวคิดบวกเนี้ยมันดียังไง บอกตามตรง ตั้งแต่ใช้มาอย่างถูกวิธี แม่ดาวยังไม่เห็นข้อเสียเลย ถ้าเราใช้เป็นนะคะ

หลักสูตรจัดการความทุกข์เบื้องต้น


            วันนี้แม่ดาวมีคาถาวิเศษ ที่ใช้ทุกครั้งเวลาเจอกับ ความทุกข์ คาถานี้แม่ดาวได้จากการที่แม่ดาวสนใจอ่าน ฟัง และปฏิบัติธรรมะ ก็เพิ่งเริ่มได้ไม่นานหรอกค่ะ  เป็นหลักสูตรการจัดการความทุกข์เบื้องต้น
           
คาถาขจัดทุกข์  ยอมรับ  เรียนรู้ อยู่ปัจจุบัน

            คาถานี้เด็ดมากใช้ได้บ่อย ๆ ยิ่งใช้ยิ่งขลัง แต่ไม่ใช่แค่ท่อง ๆ ตามตัวอักษรแล้วความทุกข์มันจะหายได้นะคะ  มาแม่ดาวจะถ่ายทอดวิธีการใช้คาถานี้ให้ 
            1.  เริ่มจากการที่เราต้องพยายามมีความระลึกรู้ตัวอยู่บ่อย ๆ เท่าที่เราจะสามารถทำได้ นั่นคือหมั่นสังเกตุอาการทางกายและอาการทางใจของเราเสมอ ๆ  รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ตอนนี้ และร่างกายแต่ละส่วนของเรากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ หรือที่เรียกว่า การมีสติ นั่นเอง
            2.  ตัดความคิดปรุงแต่งออกซะ เพราะมันจะทำให้เราจมอยู่ในวังวนของความทุกข์
            3.  คิดบวกเสมอ ๆ   
            4.  วิธีการที่จะจัดการกับความทุกข์ด้วยแนวคิดบวก ๆ (ปัญญา)

วิธีที่แม่ดาวใช้ฝึกตลอด ก็คือ ฝึกการมีสติกับการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งที่เราต้องเตรียมไว้เพื่อสร้าง สติ  คือ ความตั้งใจ ความขยัน ความอดทน และความพยายาม   ฝึกแรก ๆ ยากมาก ท้อนะ แต่ไม่ถอย ตอนฝึกแรก ๆ ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหรอก ที่บอกว่าไม่ต้องไปคิด ให้ใช้กายและจิตไประลึกรู้   พูดง่ายทำยากนะ  งงด้วย  ไม่ให้คิด แล้วไอ้ความคิดกับจิตเนี้ย มันไม่เหมือนกันตรงไหนอ่ะ งง  คุยกับตัวเอง แต่ก็ไม่ได้มานั่งค้นหานะ ว่าภาษาทางธรรมแบบนี้ ความหมายคืออะไร  

พอได้แนวคิดนี้มาก็ลงมือทำเลยทันที เป็นพวกชอบลองวิชา ฮ่า ๆๆ แรก ๆ คิดตลอด เดิน นะ ก้าวเท้าซ้าย ก้าวท้าวขวา มือแกว่งยังไง ฯลฯ เดินแบบต้องคิดเนี้ยยากนะ  ขา 2 ข้างเนี้ยแทบจะทะเลาะกัน เดินยากแฮะ เดินแบบต้องคิด เอ....แต่เขาบอกไม่ให้คิด แล้วไม่คิดจะรู้ได้ไงฟ่ะ บ่น ๆ แบบนี้ เรื่อย ๆ  แต่ก็ไม่หยุดนะ  

ด้วยความที่ตัวเราเบื่อหน่ายความทุกข์มาก ไม่อยากอยู่กับมันนาน อยากทำอะไรก็ได้ให้มันหาย ๆ สักที  แล้วก็เห็นว่ามันดีต่อลูกเราด้วย  มันก็เลยยอมทำตามได้ง่าย อะไรว่าดีทำหมด ไม่ว่าจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ  ประกอบกับที่ตัวเองมีความสงสัยคาใจ  ทำแค่นี้ มันจะดีจริง ๆ เหรอ มันจะหายทุกข์ได้เหรอ  ก็ทนทำๆ ๆ  ต่อไป ทำกับทุก ๆ เรื่องในชีวิตประจำวัน ฝึกไปทุก ๆ วันเท่าที่จะพอมีสติ  นานวันเข้า ก็รู้สึกเลยว่าเอ่อ....อันนี้เราไม่ได้คิดเลย จิตมันเข้าไปรู้เอง มันกลายเป็นระบบอัตโนมัติ จากตอนแรกต้องบังคับตัวเองให้คิด   อธิบายให้เข้าใจยากนะ มันต้องลองทำ และทำไปเรื่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน อย่าหยุด จะเห็นผล  แม่ดาวฝึกการมีสติมาประมาณ 1 ปีนะ  ชีวิตดีขึ้นมาก  เมื่อก่อนทุกข์ง่าย หายยาก  แต่เดี๋ยวนี้ทุกข์ยาก หายง่าย  สุดยอดป่ะหล่ะ  

            พอทำแบบนี้ได้แล้ว คือพอจะมีสติแล้วนะ ปัญญามันจะตามมาเอง  แต่อย่าหยุดฝึกนะ เพราะความทุกข์มันก็จ้องจะเล่นงานเราอยู่เสมอ ๆ อย่าเผลอแล้วกัน เผลอเมื่อไหร่ ทุกข์โผล่ให้เห็นเชียว แม่ดาวเลยต้องมีคาถาประจำตัวไว้ขับไล่ความทุกข์ให้ออกไปจากใจ พอเผลอใจปุ๊ปทุกข์มาเลย อย่างนี้ต้องเจอคาถานี้ ท่องเลย ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบันท่องเรียกสติตัวเอง

เราฝึกมาแล้วท่องแค่ประโยคนี้เรียกกำลังสติกลับมาได้มากเลย หรือใครชอบร้องเพลงร้องเพลงก็ได้ ร้องเพลงเรียกสติตัวเอง มี 2 เพลงที่แม่ดาวชอบมาก คือ live and lern ของกมลา สุโกศล และก้อนหินก้อนนั้น ของโรส ศิรินทร์ทิพย์ แต่เพลงแรกจะเรียกสติได้ดีกว่า หากอารมณ์นั้นแม่ดาวแบบไม่ไหวแล้วไม่มีอารมณ์จะร้องเพลงก็เปิดฟังเอาต้องเป็นต้นฉบับด้วยนะคนอื่นแม่ดาวไม่อิน เป็นเพลงปลุก สติ ประจำตัว เดี๋ยวนี้...แม่ดาวแค่ท่องคาถามันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อก่อนต้องมีเสียงเพลงและดนตรีประกอบด้วย  แม่ดาวเนี้ยล่อหลอกลูกเก่ง แล้วยังล่อหลอกตัวเองเก่งด้วยนะ ฮ่าๆๆ

เอาสัก 1 ตัวอย่าง ที่พ่อแม่หลายท่านอาจจะเจอ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนะ เพื่อจะได้เห็นภาพเข้าใจง่ายขึ้น

เช้านี้เรามีนัดประชุมตอนเช้ากับลูกค้า แล้วเราต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนก่อนด้วย อีกทั้งเช้านี้ลูกเราก็งอแงร้องไห้ประท้วงไม่ยอมไปโรงเรียน
การระลึกรู้ เรารู้สึกโมโหลูก (เพราะเราต้องรีบไปประชุมแล้วลูกงอแง) เราพูดตะคอกใส่ลูกเสียงดังมาก ลูกกลัวและร้องไห้หนักกว่าเดิม
ความคิดปรุงแต่งที่อาจเกิด  ทำไมลูกต้องมางอแงในเช้าวันนี้ด้วย ยิ่งรีบ ๆ อยู่ แล้วจะไปประชุมทันไหมเนี้ย ลูกค้าคนนี้สำคัญมาก หากผิดนัดเจ้านายด่าเราแน่ 
คิดบวก  ลูกอาจไม่สบายเลยงอแงแบบนี้  
วิธีการบวก ๆ คือ หากเพิ่งฝึกจะยังคิดอะไรบวก ๆ ไม่ออกค่ะ แม่ดาวจะอาศัยจำมาแล้วพูดไป ไม่ได้คิดเอง คิดไม่ออก  หรือจัดการตามที่พอจะคิดได้ที่บวกที่สุด เช่น อุ้มลูกขึ้นรถไปทั้งน้ำตา และเอาชุดไปให้ครูเปลี่ยนให้ที่โรงเรียน แต่คุณก็ต้องทนรับนะคะว่ามันต้องเครียดแน่ ๆ หากเป็นแบบนั้น 
หากเป็นแนวคิดบวก คือ นั่งลง กอดลูก มองตาลูก และขอโทษที่แม่ตะคอกใส่ ทำให้ลูกต้องเสียใจกว่าเดิม และบอกลูกว่าวันนี้แม่มีนัดประชุมสำคัญมาก หากไปไม่ทันแม่จะโดนเจ้านายดุ แม่คงเสียใจมาก แม่อยากให้ลูกทานข้าว แต่งตัว เพื่อไปโรงเรียน ลูกจะแต่งตอนนี้ หรืออีก 3 นาทีค่ะ แล้วเราจะได้ไปพร้อมกัน  
พูดแบบนี้ถึงในใจเราจะโกรธลูกมากอยู่ เครียดอยู่ ก็เห็นผลได้นะคะ แค่มันอาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องกดอารมณ์ไว้ก่อน กัดฟันพูดไป และบังคับเสียงให้ไม่สูง คือธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดีที่สุดคือการกระทำที่ออกมาจากใจบวก ๆ จริง ๆ มันก็เห็นผลเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แหละ จากที่แม่ดาวเคยทำนะ

ฝึกการมีสติ ฝึกทุกวัน ทุกเวลา ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาทีตามลำดับ พอทำได้ใจจะโล่ง สมองจะโปร่งคิดอะไรออกง่าย จัดการทุกข์ได้ง่ายขึ้น แต่อันนี้หลักสูตรเบื้องต้นนะคะ อย่าลืมว่าเรายังมีหลักสูตรต่อไปอีก อิอิ 

ก็อยากจะย้ำ บ่อย ๆ นะ ว่าพวกนี้แม่ดาวก็ศึกษามาแบบนิดหน่อย แต่ปฏิบัติเยอะ ไม่ได้เก่งอะไรมากทุกวันแม่ดาวก็ยังเจอกับความทุกข์ จัดการได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เรื่องที่ยังจัดการไม่ได้ก็วางไว้ก่อน ปล่อยผ่านไป พอคิดออกค่อยกลับมาลองทำใหม่ หากยังไม่ได้ก็ทำเหมือนเดิม วางไว้ ให้ใจเย็น คิดเป็นแล้วค่อยคิด 

แม่ดาวจะเอาใจช่วยทุก ๆ คนนะคะ ให้บอกตัวเองว่า "เราต้องทำได้ และเราต้องทำเลย" เพื่อลูก เพื่อเรา เพื่อครอบครัว อย่ามัวแต่คิด ๆ แล้วมักไม่ค่อยจะได้ทำ เคยดูโฆษณาไหม "ทำไมต้องรอ" ลองไปหาดูนะคะ แม่ดาวชอบแนวคิวโฆษณาตัวนี้มาก ๆ จนจำไม่ได้ว่ามันคือโฆษณาอะไร สนใจแค่สโลแกน 5555