วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

เก็บตกงานเสวนา “แจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ลดหรือเพิ่มปัญหาสังคม” ภาค 2

        ต่อกันที่แพทย์หญิงจันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ นะคะ  ท่านนี้ถูกใจเป็นพิเศษเก็บรายละเอียดมากเยอะฮ่าๆๆ คุณหมอบอกว่าเด็ก ๆ ที่สมองดีมาก เขาจะสามารถเปลี่ยนรูปธรรมเป็นนามธรรมเองได้  ส่วนหนึ่งมันก็อยู่ที่เราที่จะต้องช่วยกันเสริมสร้างศักยภาพของสมองลูก ๆ หลาน เราด้วยนะคะ เสริมสร้างพัฒนาการให้สมวัย

        ท่านได้ร่วมทำงานวิจัยเกี่ยวกับสมองเด็กไทย พบว่าเด็กไทยมีความสามารถในการเรียนรู้น้อยลง IQ ต่ำลงเรื่อยๆ  จากครั้งแรกที่ทำการสำรวจ IQ เฉลี่ยอยู่ที่ 92  อีก 5 ปีไปสำรวจอีกเหลือ 89 และตัวเลขล่าสุดคือ 87  เป็นตัวเลขที่น่าตกในนะคะ เด็กไทยไอคิวลดลงต่ำลงเรื่อยๆ  สงสัยกันไหมค่ะว่าทำไม  ลองคิด ๆ กันดูซิค่ะ ว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากอะไรได้บ้าง  ทั้ง ๆ ที่หากวัดไอคิวเด็กแรกเกิดของไทยไม่แพ้ชาติใดไหนโลกเลยนะคะ คุณหมอบอกว่าไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 130 กว่า ๆ ซึ่งคุณหมอบอกว่าสูงกว่าบางประเทศเสียอีก

                ใครเป็นคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายอย่างนิ่งนอนใจนะคะ ตัวเลขเหล่านี้กำลังบอกอะไรเรา เราควรจะต้องทำอะไร อย่างไร เพื่อให้สมองของลูก ๆ หลาน ๆ ของคุณไม่เป็นดังเช่นสถิติตัวเลขดังกล่าว  ทราบ ๆ กันดีว่าสมองในช่วงวัย 0- 6 ปีแรกเป็นวัยโอกาสทองของชีวิต ได้ยิน ได้อ่านกันบ่อย ๆ  เราให้ความสนใจกับช่วงวัยนี้กันเป็นอย่างมาก  แล้วหากลูก  ๆ หลาน ๆ ท่านเลยวัยนี้ไปแล้วท่านก็เริ่มนอนใจ ชิว ๆ อะไรก็ได้แล้วหรือเปล่าค่ะ   คิดแบบว่าก็ทำดีตอนต้นแบบสุดๆ แล้ว ตอนที่เลยวัยโอกาสทองไปแล้วก็อะไรยังไงก็ได้ เหนื่อยแล้ว ทุ่มเทมากแล้ว คงอยู่ตัวแล้วแหละ  สบาย ๆ เรื่อย ๆ ดีกว่า มีใครคิดแบบนี้ หรือทำแบบนี้บ้างไหมค่ะ  

        ทุกวินาที ทุกช่วงวัยของลูก หลาน ของเรามีค่าเสมอ อยากให้คิดว่าทุก ๆวัน ทุก ๆ วัย มีความสำคัญไม่แพ้กันเลย  อยากให้ใส่ใจดูแลกันให้เต็มที สม่ำเสมอ เช่นมีใครลูกอายุเกิน 6 ขวบแล้ว หรือลูกอ่านหนังสือเองได้แล้ว ก็เลิกเล่านิทานให้ลูกฟัง เลิกอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังบ้างค่ะ   แม่ดาวเคยฟังมานะคะ การที่เด็กที่อ่านหนังสือได้แล้ว หรือเราคิดว่าเขาโตมากแล้ว เขาก็ยังต้องการให้พ่อแม่ หรือผู้ปกครองอ่านหนังสือนิทานให้ฟังอยู่ดี  แต่ก็อาจมีเด็กบางคนเนอะที่อาจจะอยากอ่านให้เราฟังเอง   การอ่านนิทานไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องสนุก ๆ เป็นกิจกรรมสร้างความบันเทิงกับลูกเท่านั้น  มันยังเป็นการสร้างสายใยความผูกพันธ์ มันสื่อถึงความรัก ความอบอุ่น ความใส่ใจ ที่เรายังมีต่อเขา  มีบางท่านที่แม่ดาวเคยถามเขาก็บอกว่าลูกอ่านเองได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องการ ขี้เกียจจะอ่านบ้าง ปกติก็ไม่ได้อยากจะอ่าน แต่ที่อ่านเพราะเห็นว่ามันสำคัญ มันดี ต่อสมองลูก อันนี้ทำแบบตามหน้าที่เนอะ  อยากให้ใส่ใจ ใส่ความรู้สึก ใส่ความรักถ่ายถอดผ่านไปช่วงเวลาการอ่านนิทานด้วยค่ะ 

        ลูกแม่ดาวชอบให้แม่ดาวอ่านนิทานให้ฟังมาก ๆ  วันไหนโดนทำโทษ งดนิทาน เนี้ยถึงขั้นน้ำตาไหล เสียงสั่นพร่ากันเลยทีเดียว  แม่ดาวคิดว่าอาการพวกนี้ไม่ได้เกิดจากอาการลงแดงอยากฟังนิทานแสนสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ตีความว่า เขารู้สึกว่าวันนี้เขาขาดความรัก ความใส่ใจส่วนนี้ไป มันหายไป ถึงต้องย้ำว่าหากทำโทษ ด้วยการงดนิทาน ก็อย่าไปพูดประมาณ เยาะเย้ย ถากถาง ซ้ำเติม เช่น “อยากไม่ทำตามข้อตกลงดีนัก  ก็ต้องเสียใจแบบนี้แหละ ทีหลังก็อย่าทำแล้วกัน” อะไรประมาณนี้ แต่ให้พูดประมาณว่า “แม่เข้าใจนะคะว่าลูกเสียใจ ผิดหวังที่ไม่ได้ฟังนิทาน  แต่พรุ่งนี้นะคะลูกมีโอกาสมีสิทธิ์ที่จะเลือกเองได้ว่าลูกจะได้ฟังหรือไม่ได้ฟังนิทานกับแม่  แม่ก็อยากเล่านิทานให้ลูกฟังใจจะขาดแล้วเนี้ย”  ประมาณ ๆ นี้ คือ บอกว่าเราเข้าใจความรู้สึกเขา  และให้เขาคิดทบทวนเองว่าพรุ่งนี้หากเขาอยากจะฟังนิทานเขาควรทำตัวอย่างไร  ไม่ต้องบอกตรง ๆ  แต่ทิ้งไว้ให้เขาคิดเอง  และยืนยันความสัมพันธ์ว่าอันที่จริงตัวเราก็อยากจะเล่านิทานให้ฟัง แต่ติดตรงที่เราตกลงกันไว้แล้ว เราต้องรักษาข้อตกลงนั้น อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็นด้วยค่ะ ว่าหากเราพูดอะไรกับใครแล้วเราต้องรักษาคำพูดของเรา  “คำพูดเป็นนายเรา” แม่ดาวสอนเขาอย่างนั้น 

        คุณหมอกล่าวถึง หลักสูตรภาษาอังกฤษในสมัยก่อน ที่ได้เรียนภาษาอังกฤษกันตอน ป. 5  ฮ่าๆๆ แม่ดาวก็เรียนตอนนั้นเหมือนกัน คุณหมอบอกว่าไม่ต้องแปลกใจที่คนรุ่นนั้นไม่เก่งภาษาอังกฤษ เพราะหลักสูตรที่นำมาสอนนั้น เป็นหลักสูตรที่นำมาจากต่างประเทศ และเป็นหลักสูตรของเด็กปฐมวัย ที่นำมาสอนเด็กวัยประถมศึกษา เมื่อมันไม่เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัย ทำให้เด็ก ๆ เบื่อหน่าย ไม่สนใจที่จะเรียน เรียกว่าเร้าใจไม่พอให้สนใจฟังฮ่าๆๆ   อ่ะจริงนะเนี้ย.....นี่เพิ่งรู้อีก 1 เหตุผลที่ตัวเองเป็นปรปักษ์กับภาษาอังกฤษส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลักสูตรไม่เหมาะกับเรานี่เอง  รู้เหตุผลเดียวคือไม่ชอบครูที่สอน ครูโหดมาก  ดุแบบไม่มีเหตุผล ฮ่าๆๆ  นินทาครูอีกเนอะ

        เอาเป็นว่า เท่าที่ฟังมาคุณหมอท่านนี้ คงไม่เห็นด้วยกับการแจกแท็บเล็ตกับเด็กป.1 แน่ ๆ  แท็บเล็ตก็คล้ายกับทีวี ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีสัมผัสได้ครบ ไม่มีมีความสามารถที่จะพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีให้เด็กวัยนี้  (แม่ดาวคิดว่าเด็กวัยอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก)  มันก็คงทำได้แค่มีภาพกับเสียง มีแค่2 สัมผัส อ๋อ...มีนิ้วสัมผัสด้วยเนอะ อย่างไรก็ตามก็ไม่ครบ 6 สัมผัสที่คุณหมอบอกอยู่ดีแหละ  ยิ่งปฐมวัยด้วยนั้นยิ่งต้องเรียนรู้จากของจริง ผ่านการสัมผัสจริง ๆ อย่างสมบูรณ์ สมองถึงจะพัฒนาไปอย่างมีศักยภาพ  อย่าไปหวังพึ่งกับเทคโนโลยีมากนัก เราเป็นคน คนนี่แหละจะมีศักยภาพที่จะสอนคนให้เป็นคนที่มีประสิทธิภาพได้มากที่สุด

        เราผู้เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องเป็นคนวางรากฐาน ลงเสาเข็มของลูกของเราให้ดีมั่นคงเสียก่อน จากนั้นก็จะเป็นทางโรงเรียนที่จะช่วยเสริมต่อยอดความรู้ ความคิด จิตสำนึกต่าง ๆ ต่อไป แต่ก็ไม่ใช่ พอถึงวัยเข้าเรียนแล้ว ก็ทิ้งไว้ฝากสมองลูก ๆ หลาน ๆ เราไว้ให้ทางโรงเรียนดูแล  เราก็ยังต้องเป็นตัวหลักอยู่ดีนะคะแม่ดาวว่า  ส่วนหลังคาที่คุณหมอว่า คือเทคโนโลยี อันนี้ควรจะมาเป็นอันดับสุดท้าย ท้ายสุด เอาเป็นว่าให้รากฐานมั่นคง เตรียมความพร้อมกันให้ดี แล้วเรื่องเทคโนโลยีค่อยว่ากัน

        สมองเด็ก ๆ เนี้ยมหัศจรรย์มากนะคะ  แม่ดาวเคยมีหลานก็เคยทึ่งกับความคิด คำพูด การกระทำของเขามาแล้ว พอมาเจอกับตัวเองมีลูกเป็นของตัวเองจริง ๆ  ยิ่งอึ้ง ทึ่งกับสมองเด็ก ๆ เอาไว้จะกระจายประสบการณ์น่ารัก ๆ ของเจ้าเหล่าตัวน้อย ๆ   ความคิดบางอย่างของเขาพอพูดออกมาแล้ว ก็ทำให้เราถึงกับอึ้งไปนานเลย  ไม่คิดว่าเด็กน้อยวัยแค่นี้เขาจะคิดแบบนี้ได้  ดังนั้นอย่าประเมินศักยภาพของสมองลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านต่ำนะคะ  การทำงานของสมองของเขาเนี้ยมหัศจรรย์ความคิดจริง ๆ

        ท่านที่ 3  ต่อมาคือ รองศาสตราจารย์นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก   คุณหมอท่านนี้ออกจะพูดถึงเกี่ยวกับเกมส์กับเด็กซะเยอะค่ะ  บอกว่าธุรกิจเกมส์ในบ้านเราพัฒนาและเติบโตไปรวดเร็วมาก ๆ และปัญหาที่พบในเด็กติดเกมส์ก็มีเพิ่มมากขึ้น ๆ

        เด็กวัยประถมศึกษาติดเกมส์กันเยอะมาก ต้องเสียเงินแต่ละวันไปหลายร้อยบาทกับการเล่นเกมส์ เช่นไปซื้อการ์ดเกมส์ และการ์ดเกมส์นี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อที่เราก็รู้จักคุ้นเคยกันดีที่แถว  ๆ บ้านของท่าน  ทุกอย่างง่ายไปหมดเนอะ  แม่ดาวเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเล่มเกมส์เท่าไหร่  ไม่ใช่คนชอบเล่นเกมส์มากนัก แต่ก็เล่นบ้างค่ะ เมื่อก่อนที่เห็นจะชอบเล่นจริง ๆ จัง ๆ ก็เป็นเกมส์ The Sim มีใครเคยเล่นไหมน้อ  ฮ่าๆๆ สนุกนะ ติดเลยแหละ วันนั้นก็หมกมุ่น แต่งบ้าน ซื้อเฟอร์นีเจอร์ เล่นเกมส์ยังโกงเงินในเกมส์อีกนะ ฮ่าๆๆ  บ่งบอกนิสัยเลย คนไทยมักจะเห็นผลิตเกมส์มาขาย แล้วก็มีหนังสือสูตรโกงเกมส์ทำมาตาม ๆ กัน  สอนให้โกงตั้งแต่เล็ก  แต่แม่ดาวเลิกเล่นไปนานแล้วนะคะ ส่วนเกมส์อื่น ๆ ก็ไม่ค่อยติด เห็นจะมีอีกเกมส์ ที่เคยเล่นกับลูก ก็ Plant vs Zombie อันนี้ลูกเป็นคนส่งเสริมสนับสนุนให้เราติดเกมส์ ติดไปพักนึง และเรียกสติตัวเองกลับมาฮ่าๆๆ  พลาดค่ะพลาด ลูกมามอมเมาแม่ให้ติดเกมส์

        นี่ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่มีความคิดที่คิดว่าน่าจะดีแล้ว ยังติดเลยค่ะ แล้วเด็ก ๆ เยาวชนจะไปเหลือเหรอค่ะ เกมส์มันก็คือตัวกิเลศดี ๆ นี้เอง มอมเมา เยาวชนเนอะ  ส่วนเกมส์ที่สร้างสรรค์ ๆ ก็เห็นว่ามีอยู่นะคะ  เห็นลูกก็เคยเล่นกับป๊าเขา แต่มันไม่สนุกเร้าใจเท่าเกมส์พวกต่อสู้ ฯลฯ เขาก็จะชอบเกมส์แบบนี้มากว่า  เกมส์ที่ใช้สมอง ไม่ใช้ความรุนแรง สัญชาติญาณผู้ชายมันไม่ได้ ชีวิตคือการต่อสู้ ฮ่าๆๆ 

        เอาเป็นว่าก็พอจะเข้าใจ รับได้นะกับการเล่นเกมส์ แต่ต้องปลูกฝัง ปูพื้นความคิด แม่ดาวไม่ห้ามลูกเล่นเกมส์นะคะ ให้เล่นได้ แต่ต้องมีกำหนดเวลา และขอร้องว่าให้เล่นเกมส์ที่มันสร้างสรรค์หน่อยนะลูก   โดยเราเป็นคนเสนอทางเลือกให้เขาเช่น จะเล่น 10 หรือ 15 นาที ครับ ลูกเป็นผู้เลือกเองค่ะ    ส่วนเรื่องเกมส์ที่เขาเล่นบางครั้งหากป๊าเขาเล่นเกมส์พวกที่ไม่สร้างสรรค์ ทำลายสมองลูก ทำลายพื้นฐานโครงสร้างจิตใจที่แม่ดาวอุตส่าห์ก่อร่างสร้างเอาไว้ ก็ต้องมีการตักเตือนทั้งป๊าและลูก   ป๊าเนี้ยยากค่ะ เข้าใจกันยากจริง ๆ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ทำไม่ได้  ยับยั้งชั่งใจไม่ได้  ลูกนี่ดีกว่าค่ะ เขารู้จักยับยั้งชั่งใจ

        หลังที่ผ่านการบำบัด อบรม พูดคุยเรื่องพิษภัยจากการเล่นเกมส์แล้ว เขาก็ดีขึ้นมาก หลัง ๆ ไม่เรียกว่าติดแล้ว ใช้คำว่าชอบเล่นแทนฮ่าๆๆ  คืออาการไม่ถึงขนาดลืมตาตื่นมาเรียกหาแท็บเล็ต กลับมาจากโรงเรียนร้องหาเแท็บแล็ต ที่ช่วงนึงที่ซื้อมาแรก ๆ เป็นเลย ตอนนี้เขาควบคุมตัวเองได้ดีเลย    ครั้งหนึ่งป๊าแอบไปเล่นเกมส์ในห้อง และลูกก็เดินเข้าไปเห็น เขาก็เดินออกมาฟ้องเราว่า “แม่ครับ ป๊าเล่นเกมส์รุนแรงไม่สร้างสรรค์อีกแล้ว แม่ช่วยไปดุป๊าหน่อย ดีโด้จะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว”  ได้ยินประโยคนี้แล้วแม่ดาวก็อดอมยิ้ม ภูมิใจในความคิดของลูกไม่ได้ค่ะ 

        มาในส่วนของคุณหมอต่อ  คุณหมอบอกว่าแท็บเล็ตอาจเป็นสื่อนำไปสู่เกมส์ออนไลน์ต่าง ๆ ได้  แต่ตรงนี้ทางท่านวรพัฒน์ก็กล่าวประมาณว่าศักภาพของแท็บเล็ตที่แจกมันไม่ได้ทำอะไรได้มากมายนัก  มันก็น่ากลัวนะคะ หวั่น ๆ ใจเหมือนกัน

        ท่านเสนอว่าควรมีมาตรการในการจัดการป้องกัน เช่น ให้เด็กลงทะเบียนก่อนเข้าใช้เว็บต่าง ๆ โดยใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรืออาจทำระบบล็อคเครื่องว่าหากเล่นเกมส์ให้เล่นได้ 2 ชม.เท่านั้น  หรือมาตรการกับร้านเกมส์ ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าร้านเกมส์ได้ในช่วง 4-6 โมงเย็นเท่านั้น  ฯลฯ  มันก็เป็นเพียงการเสนอความคิดเห็นนะคะ ส่วนคนที่เขามีอำนาจนั้นเขาจะเห็นพ้องและนำไปคิดต่อยอดทำต่อหรือไม่อย่างไร เราประชาชนชาวไทยก็ต้องคอยติดตามลุ้น ๆ กัน
        คุณหมอเล่าถึงตัวอย่างเด็กอ้วนคนนึงเป็นคนไข้ของคุณหมอ  อยู่แค่ชั้นป.5  เข้ามารักษาตัว มีน้ำหนักตัวถึง 270 กก. เขาติดเกมส์มาก ติดมาเป็นปี ใช้ชีวิตแทบจะอยู่แต่ในร้านเกมส์ เล่นเกมส์ยันสว่าง ไม่ยอมไปโรงเรียน ขณะที่เข้ามารักษาตัวก็ขอยืมโน้ตบุ๊คของนักศึกษาแพทย์เล่นเกมส์อีก  มียืมบัตรเครดิตผู้ปกครองเตียงข้าง ๆ เพื่อไปซื้อไอเท็มเกมส์ต่างๆ สรุปพ่อแม่ต้องมาใช้หนี้ประมาณ 7000 บาท

        แม่ดาวได้ฟังแล้ว ก็ปวดใจแทน สงสารทั้งเด็ก และครอบครัว  สถาบันครอบครัวนี่แหละค่ะจุดสำคัญของการเริ่มต้นทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง สิ่งแวดล้อม สังคมภายนอกอื่น ๆ มันก็ต้องส่งผลกระทบกันบ้าง แต่หากครอบครัวเราอบอุ่นมากพอ มีการปลูกต้นจิตสำนึกให้เติบ
โตมั่นคงแข็งแรง  ลูกเราอาจไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมายเหล่านี้  หรือหากเกิด แต่ไม่น่าจะหนักหนาเกินจะเยียวยา แก้ไขได้

        มีอีกเรื่องการดูทีวีจะทำให้เด็กพูดได้ช้า  พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่ดาวนึกถึงเด็กคนนึง ที่เขาเป็นเพื่อนเล่นกับน้องดีโด้น่าจะเล่นกันมาตั้งแต่ 2 ขวบ  หากจำไม่ผิดเขาพูดได้ตอนประมาณ 3 ขวบได้แล้ว และพูดเป็นคำ ๆ  ส่วนพูดเป็นประโยคเนี้ยน่าจะหลังจากเข้าเรียนนะคะ ถ้าจำไม่ผิด  เกิดจากแม่เขาไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เพราะทำงานหาเลี้ยงชีพ และเขาเองก็ติดละครทีวีมากๆๆๆๆ    เวลาลูกอยู่คนเดียวก็จะเปิดทีวีให้ลูกดู ใช้ทีวีเลี้ยงลูก  เขาก็ไม่อยากทำนะคะ เขาบอกว่าเขารู้ แต่ไม่รู้จะทำวิธีไหน ด้วยตัวเขาเองก็ไม่ได้มีการศึกษาอะไรมากนักด้วย  คิดออกคือวิธีนี้ง่ายด้วย ได้ผลด้วย แต่เขายังไม่เห็นผลระยะยาวของมัน

        ช่วงหลัง ๆ มานี่ไม่ค่อยมีเวลาได้พาไปเล่นด้วยกันเท่าไหร่  กิจกรรมแม่ดาวกับลูกเยอะในช่วงเลิกเรียน ก็เลยห่าง ๆ กันไป จำได้ว่าครั้งนึง ที่พามาเล่นด้วยกัน ซึ่งแม่ดาวก็จะเล่นอยู่กับเขาด้วย  ให้กระดาษคนละ 1 แผ่น ให้เขาวาดโรงเรียนของแต่ละคน  น้องดีโด้ได้ยินปุ๊บก็จับดินสอวาด ๆ ลาก ๆ ไปตามประสา  ส่วนเด็กคนนี้เขานั่งงง และมองหน้าเรา  เราก็เอ๊ะ....หรือเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูดนะ  เลยย้ำช้า ๆ อธิบายเยอะ ๆ เขาก็เข้าใจและบอกว่า  วาดไม่เป็น ไม่รู้จะวาดยังไง  นี่ไงค่ะผลของการที่เด็กดูทีวีตลอด ๆ สมองด้านความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการแบบเด็ก ๆ ของเขาถูกเจ้ากล่องสี่เหลี่มสูบกลืนหายไปในกล่องดำ  ดีโด้มีแถมขอวาดอีกภาพ อยากจะวาดโลกในจินตนาการของตัวเองอีกภาพ  วาดเสร็จก็มานั่งเล่าบรรยายให้แม่และเพื่อนฟัง

        แต่เด็กคนนี้เขาเป็นเด็กที่มีพื้นฐานจิตใจดีนะคะ  มีความอ่อนน้อมถ่อมตน  มีความขยันเรียนมาก เขาชอบเรียนหนังสือมาก หนังสือพวกเส้นประ แม่ดาวซื้อให้กี่เล่ม พร้อม ๆ ดีโด้ เขาเขียนหมดภายในเวลาไม่กี่วัน  น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการส่งเสริมในเรื่องการพัฒนาสมองตามวัย   แม่ดาวเข้าใจพ่อแม่เขามากนะคะ  เคยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้ง พูดโน้มน้าวจนวันหนึ่งเขาก็ขอให้เราช่วยซื้อหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมาให้เขาอ่านบ้าง  ซื้อมานานแล้วค่ะ ไปถามทุกวันนี้หนังสือเล่มนั้นก็ยังอ่านไม่จบ  ก็ยังติดละครเหมือนเดิม  แต่เขาชอบให้แม่ดาวคุยให้ฟังมากกว่า เวลาไป เขาก็จะถามว่าลูกเป็นยังงี้นะ ทำยังไง  แต่เขาขอแบบแก้ปลายเหตุนะคะ ฮ่าๆๆ รู้ตัวด้วยนะ ว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเองซะเยอะ แต่ถ้าจะให้แก้ไขตัวเองทำไม่ได้  

        คุณหมอพูดถึงเรื่อง เด็กติดเกมส์ นั้นเป็นปัญหาใหญ่ของคนทั่วโลก  จิตแแพทย์ทั่วโลก กำลังจะจัดอาการติดเกมส์นี้ให้อยู่ในกลุ่มโรค “โรคติดเกมส์”  “โรคติดอินเตอร์เน็ต”  น่ากลัวขึ้นทุกวันนะคะ   ถึงไม่ต้องจัดว่ามันเป็นโรค แม่ดาวมองว่ามันก็เป็นโรคมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแล้ว เป็นอะไรที่ต้องเยียวยารักษา บำบัด  แค่เพิ่งจะเห็นความสำคัญ ตระหนักเห็นชัดในปัจจุบัน

        ส่วนโรค “บ้าซื้อของ”  “บ้าความงาม”  ไม่รู้ได้จัดเป็นโรคหรือยัง คืออะไรทีมันเกินพอดี มากเกินไป มันก็ชัดเจนนะคะ ว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ  ต้องรักษา  เราเองหลง ไม่รู้สึกตัว เลยไม่รู้ว่า นี่แหละเราเป็นโรค มีอาการทางจิตแล้ว ต้องพยามมีสติค่ะ พอสติมา ปัญญาจะเกิด เราจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราเป็นไหม  ไม่แน่ใจก็ไปพบจิตแพทย์ถามเลย ว่าใช่ หรือไม่ 

        คนสุดท้าย คุณอรุณี  อัศวภาณุกุล ผู้แทนผู้ปกครองเด็กที่ได้รับแท็บเล็ต  ได้กล่าวถึงปัญหาที่ตัวเองพบ เช่นเต้าเสียบปลั๊กเพื่อชาร์ตไฟของโรงเรียนไม่เพียงพอ แต่ยังไม่ได้รับมาใช้อย่างจริงจัง มีการแจ้งประชุมผู้ปกครองให้เข้ามารับแท็บเล็ตเพื่อถ่ายภาพเป็นหลักฐานว่าได้รับจริงไว้ก่อน  ส่วนตัวเครื่องยังเก็บไว้ที่โรงเรียนอยู่  มีความสงสัยในเรื่องการดูแล ว่าจะเก็บไว้ที่ไหนยังไง  เพราะไม่อยากนำกลับมาที่บ้าน หากเสียแล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย  ฯลฯ  

                ฟัง ๆ แล้วก็นะคะ เห็นหลาย ๆ ปัญหามากมาย  แต่คุณอรุณีของมองถึงแง่ดีว่า ในนั้นมีการลงเพลงเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ด้วย ปลูกจิตสำนึกที่ดีในการรักและเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์เนอะ  อันนี้ก็เห็นด้วย  และกล่าวว่าจากความเห็นส่วนใหญ่ของผู้ปกครองที่โรงเรียนนั้นก็ชื่นชอบ ยินดีมากกับกับที่ลูกจะได้รับแท็บเล็ต มันก็คนละมุมมองเนอะ  ต่างคนต่างความคิด 

        หลังจากจบ 4 ท่านนี้ก็มีผู้ขอร่วมแสดงความคิดเห็นอีกมากมาย  ส่วนใหญ่(มาก)ก็คิดเห็นเป็นแนวทางเดียว ๆ กัน คือไม่เห็นด้วย  มองว่าไม่เหมาะสมกับเด็กวัยนี้   มีท่านนึงพูดถึงเรื่องหากมีแท็บเล็ตเพื่อสร้างโอกาสความเท่าเทียมกันทางการศึกษาให้เด็ก มองว่าแล้วทำไมผันเอางบประมาณพวกนี้ไปทุ่มกับการเสริมสร้างศักยภาพให้ครู พัฒนาครู  พัฒนาสื่อการเรียนการสอนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เทคโนโลยี อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน   มีอีกท่านที่ประทับใจเป็นตัวแทนคนพิการตาบอด ออกมาเรียกร้องสิทธิว่า หากอยากทำเช่นนั้นจริง คนตาบอดก็เหมือนไม่ได้รับสิทธินั้น เขาจะได้อะไรจากแท็บเล็ตนี้ เยาวชนกลุ่มนี้เขาก็มีอยู่บนโลกนะคะ  อีก 1 มุมมองที่ตัวเองไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย
       
        สรุปคือ ทุกอย่างที่พูด ๆ กัน เสวนากัน นั้น แต่ละคนก็คงมีคำตอบอยู่ในใจที่แตกต่างกันไป  จะลดหรือเพิ่มปัญหาสังคม ก็แล้วแต่ว่าใครคิดยังไง   แม่ดาวได้คำตอบให้ตัวเองชัดเจนตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้ทราบข่าวนี้แล้ว  ถึงจะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเด็ก ไม่ได้มีความรู้ลึก รู้กว้าง สายตากว้างไกลอะไรมากนัก  แต่ก็มองว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่จะให้เด็กในวัยประถม 1 ได้ใช้แท็บเล็ต เห็นตรงกับแพทย์หญิงจันทร์เพ็ญ ว่าไม่ได้ต่อต้าน แค่ค้านว่าไม่ใช่วัยนี้ได้ไหม ควรเตรียมความพร้อมทุก ๆ อย่างให้ดีเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ ผู้สอน คนในครอบครัวที่จะดูแลในการใช้งาน ระบบการจัดการ มาตรการดุแลต่าง ๆ ฯลฯ มันยังมีอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ 

        แต่ทำไงได้หากนโยบายมาแล้ว เราก็ต้องรับ อย่างที่บอก ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบันค่ะ  หาวิธีอยู่กับสิ่งนี้ให้ได้แบบเราไม่ทุกข์มาก ส่งผลกระทบให้น้อยที่สุดเท่าที่เราจะสามารถ  ก็พวกเราเป็นพ่อแม่พันธุ์ใหม่กันใช่ไหมค่ะ สู้ ๆ นะคะ อย่าท้อ  ปัญหามีไว้ให้เราแก้ ไม่ได้มีไว้ให้เรากลุ้มนะคะ
  
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น