วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการสร้างวินัยเชิงบวก

           อยู่ ๆ ก็นึกถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา  เหล่านี้เป็นปัญหาที่ตัวเองสงสัยใคร่รู้ตอนเริ่มใช้การสร้างวินัยเชิงบวกแบบถูกทาง

        1.  การสร้างวินัยเชิงบวกมุ่งเปลี่ยนพฤติกรรมใครกันแน่
        อันที่จริงจากประสบการณ์การสร้างวินัยเชิงบวกไม่ได้มุ่งเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของลูก แต่มุ่งเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพ่อแม่เสียมากกว่า  เพราะพ่อแม่คือ ต้นแบบ ของลูก และเป็นต้นเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเหล่านั้น   หากเรายังมองลูกด้วยสายตาว่าลูกเป็นเด็ก “เจ้าปัญหา” เขาก็คงจะเป็นเด็กเจ้าปัญหาอยู่อย่างนั้น  แม่ดาวตอนแรก ๆ ที่เริ่มใช้แล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะมัวไปมุ่งที่จะเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของลูกเสียเป็นหลัก   ใช้ไปสักระยะมองเห็นแจ่มชัดว่า นี่มันผิดนี่นา  เราต้องเปลี่ยนที่ตัวเราต่างหาก หลายเรื่องของลูกที่เรามองว่าสร้างปัญหา เป็นปัญหา อันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรามองปัญหานั้นเสียใหญ่โต และลูกก็จะคิดตามเราเช่นกันว่า “เขาเป็นเด็กมีปัญหา” เขาเป็นเด็กไม่ดี ทำให้พ่อแม่ปวดหัว ไม่สบายใจ เขาเองก็พลอยจิตตกกับเราไปด้วย  ทั้ง ๆ ที่อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาเลย เป็นเรื่องปกติมาก ๆ ในสิ่งที่เขาเป็น  เราต่างหากที่มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต 
        หลาย ๆ ครั้งต้นเหตุก็เกิดจากที่ตัวเราพ่อแม่นี้แหละค่ะ ที่ไปจุดชนวนพฤติกรรมร้าย ๆ ให้กับลูก โดยที่เราไม่รู้ตัว  หากใช้สติปัญญามองให้ดีแล้ว เราจะรู้สึก ระลึกรู้ได้เลย อย่างที่แม่ดาวก็มานั่งมองย้อนดูพฤติกรรมตัวเองบ่อย ๆ  เช่น บางทีแค่เราเปลี่ยนคำพูดนิดนึง ปรับอารมณ์ตัวเองอีกสักหน่อย ลูกจะคล้อยตามและไม่อาละวาดเป็นปีศาจแบบนี้ หึ ๆ ลองนั่งทบทวนกันนะคะ  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นปัญหาของลูกจะเกิดขึ้นจากตัวเราทั้งหมด  เพราะบางครั้งปัญหานั้นก็อาจเกิดจากความคิดและพฤติกรรมของตัวลูกเอง 
        ดังนั้นเราต้องมองปัญหาให้ออกว่า ปัญหาที่เกิดนั้นแท้จริงเกิดจากใคร  ผู้ปกครอง หรือ ตัวเด็ก เราจะได้แก้ให้ถูกจุดนะคะ

        2.  การสร้างวินัยเชิงบวก ทำแล้วปราศจากน้ำตา หรือความขัดแย้งกับลูกเลยใช่ไหม หรือลูกของเราจะดีขึ้นเห็นทันตาเลยหรือเปล่า 
        ข้อนี้จากที่แม่ดาวใช้มาเอง การสร้างวินัยเชิงบวกไม่ได้ใช้แล้วลูกเราจะไม่มีปัญหาปราศจากน้ำตา แต่เป็นการลดความขัดแย้งให้น้อยที่สุด กระทบกับความรู้สึกลูกและเราน้อยที่สุด บางทีบางเหตุการณ์ก็ไม่เกิดความขัดแย้งใด ๆ เลย ปราศจากน้ำตาเลยก็มี  แต่ที่ไม่มีเลยแน่ ๆ
คือการทำร้ายร่างกาย ความบอบช้ำจากบาดแผลทางกายอันนี้ไม่มี เพราะเราไม่ทำฮ่าๆๆๆๆ     ส่วนเห็นผลได้เร็วมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัววผู้ปกครองและนิสัยของเด็กด้วย
        อย่างลูกชายแม่ดาว ซึ่งจัดประเภทเป็นเด็กเลี้ยงยากเนี้ย  อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าลูกคนอื่น ๆ ที่เขาอยู่ในประเภทเด็กเลี้ยงง่าย  แต่เห็นผลนะคะ เห็นได้ชัดแล้วด้วยตอนนี้  คนอื่น ๆ บางคนที่ไม่รู้จักตั้งแต่แรก อาจมองไม่เห็น แต่หากคนที่รุ้จักสนิทกันจะเห็นชัดเลยว่าเขาดีขึ้นมากมาย  ตัวเแม่ดาวเองซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดกับลูก บอกได้เลยว่า น้องดีโด้มี EQ และ IQ ดีขึ้นมากจากก่อนที่ใช่แบบมั่ว ๆ มึน ๆ ต้องบอกว่า หากเราใช้ถูก ใช้เป็นแล้วเราจะเห็นผลค่ะ  

        3.  การสร้างวินัยเชิงบวก หากเราใช้คนเดียวจะเห็นผลไหม จะประสบความสำเร็จหรือไม่
        ข้อนี้แม่ดาวตอบด้วยประสบการณ์ตรงเช่นกันว่า  เห็นผลค่ะ  เพราะแม่ดาวใช้เป็นอยู่คนเดียว ส่วนสามีออกแนวต่อต้านซะส่วนใหญ่ ส่วนจะประสบความสำเร็จได้ 100 % เลยไหม แม่ดาวไม่ยืนยัน  แต่ ณ ตอนนี้ แม่ดาวก็ยังเชื่อมั่นว่า “ทำดี ก็ต้องได้ดี”  ถึงเราจะทำคนเดียว แต่เป็นส่วนใหญ่ที่ลูกอยู่กับแม่ดาว  แม่ดาวถึงคิดว่าเขาก็น่าจะดีได้ในอนาคต   อันที่จริงปัจจุบันก็เห็นผลหลายอย่าง ชื่นใจหลายเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นการที่การที่เขาเป็นเด็กที่ห่วงใยเอาใจใส่ความรู้สึกของเรา พูดขอบคุณ ขอโทษเราเองโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ  ฯลฯ 
        หากถามว่า ตอนนี้แม่ดาวมีปัญหาเรื่องลูกให้ปวดหัวอยู่ไหม  มีค่ะปัญหา แต่ไม่ค่อยจะปวดหัว รู้จักที่จะวางใจให้เป็น  เลยไม่ปวดหัวกับลูก แต่ที่ยังปวดหัวอยู่คือปัญหาพ่อของลูกฮ่าๆๆๆ ปัญหานี้โลกแตกนะ  แต่ก็ผ่อนคลายไปเยอะแล้วค่ะ  ตึงบ้าง ผ่อนบ้าง ตามประสา นี่แหละรสชาติของชีวิต มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

        อันนี้เป็นปัญหา 3 ข้อหลัก ๆ หนัก ๆ ที่เคยอยู่ในหัวแม่ดาว มาตอนนี้ตอบเองได้สบาย ๆ ต้องทำเองค่ะแล้วจะรู้ ไม่ทำไม่รู้   ใครบอกว่าการสร้างวินัยเชิงบวกดียังไง อย่าเพิ่งไปเชื่อนะคะ ฮ่าๆๆ ลองทำให้รู้ด้วยตัวคุณเองพิสูจน์ด้วยตัวเอง  เหมือน ๆ กับหากใครบอกว่ามะนาวนี้มันเปรี้ยว เราเห็นมะนาว ลูกเขียว ๆ กลม ๆ แบบนี้นะ มันต้องเปรี้ยว รู้เพราะคนอื่นบอก ๆ ต่อกันมา  แต่ไม่รู้ได้ลึกซึ้งว่าความเปรี้ยวนั้นมันขนาดไหน เข็ด น้ำลายแตกอย่างอะไร อันนี้จะรู้ได้ต้องลองชิมด้วยลิ้นของตัวเองดูนะคะ

2 ความคิดเห็น:

  1. ดีใจจังค่ะ มีครูใหม่เข้ามายืนยันอีก 1 เสียง เสียงนี้มีความหมายและสำคัญมากมายนะคะเนี้ย ปลื้มใจจริง ๆ

    ตอบลบ